ทดสอบ(4wheels) 20 Apr 2021
MG HS PHEV VS MITSUBISHI OUTLANDER PHEV
ครอสส์โอเวอร์เสียบปลั๊กดูจะเป็นสิ่งที่ไม่ไกลเกินไปอีกต่อไปแล้ว ด้วยความต้องการ และต้นทุนที่ลดลงมาตามปริมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ครอสส์โอเวอร์พลัก-อิน ไฮบริด มีราคาต่ำกว่า 2,000,000 บาท ครั้งนี้เราจึงเลือกรถ 2 รุ่น ที่ถามถึงกันมากในช่วงนี้ คือ MG HS PHEV (เอมจี เอชเอส พีเอชอีวี) ที่เพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 122 แรงม้า ลงไปบนเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC เทอร์โบ TGI ความจุ 1.5 ลิตร 162 แรงม้า ให้กำลังสูงสุดรวม 284 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ กับ MITSUBISHI OUTLANDER PHEV (มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี) โฉมใหม่ เครื่องปั่นไฟของนักเดินทาง ขับได้ ใกล้เคียงของเดิม ช่วงล่างเน้นความนุ่มนวล เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร 128 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ 82 แรงม้า ที่ล้อคู่หน้า และ 95 แรงม้า ที่ล้อคู่หลัง กำลังรวม 305 แรงม้า มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ S-AWC
EXTERIOR ภายนอก
MG HS PHEV เป็นรถเอสยูวีที่ผสานเครื่องยนต์เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า ในรูปแบบของพลัก-อิน ไฮบริด ซึ่งกำลังเป็นทเรนด์ของรถในยุคสมัยนี้ และเป็นอีกตัวเลือกของ MG HS (เอมจี เอชเอส) ในกลุ่มครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี ที่ทั้งจากรูปลักษณ์ภายนอก และห้องโดยสารที่โดนใจ ไม่ต่างจากรุ่นเครื่องยนต์เบนซินบลอคเล็กติดเทอร์โบ และระบบความปลอดภัย กับระบบช่วยเหลือการขับขี่ ที่ให้มาแบบจัดเต็ม กับราคาที่น่าคบ
MG HS PHEV คงความหรูหรากับเส้นสายโค้งมน กระจังหน้าดีไซจ์นมีเอกลักษณ์ ไฟหน้า LED PROJECTOR พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน และไฟท้ายแบบ LED
MG HS PHEV มีขนาดตัวรถ ยาว/กว้าง/สูง 4,574/1,876/1,664 มม. ฐานล้อ 2,720 มม. เท่ากับ MG HS เทียบกับคู่แข่งอย่าง MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ที่มีขนาด 4,695/1,800/1,710 มม. ก็จะสั้น และต่ำกว่า แต่อวบกว่า และใหญ่กว่า HONDA CR-V (ฮอนดา ซีอาร์-วี) และ MAZDA CX-5 (มาซดา ซีเอกซ์-5) นิดหน่อย
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ใหม่ ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีอเนกประสงค์ 5 ที่นั่ง แบบพลัก-อิน ไฮบริด ขับเคลื่อน 4 ล้อ
ภายนอกสะดุดตากับตัวอักษร OUTLANDER ที่ขอบฝากระโปรงหน้า ไฟหน้าเฉี่ยวแบบ LED ปรับระดับสูง/ ต่ำอัตโนมัติ มาพร้อมไฟหรี่แบบ LED, กระจังหน้าแบบไดนามิค ชีลด์ เสริมด้วยการ์ดกันชนหน้าสีดำเงาตัดด้วยเส้นสายขอบคิ้วโครเมียม บริเวณกันชนหน้าได้รับการติดตั้งเซนเซอร์ 4 จุด พร้อมด้วยไฟตัดหมอกหน้า ชายประตูทั้ง 4 บานเสริมด้วยคิ้วโครเมียม ด้านซ้ายของตัวรถติดตั้งช่องเติมน้ำมัน ด้านขวาเป็นช่องเสียบชาร์จไฟแบบ 2 หัว คือ หัวชาร์จแบบ TYPE 1/ช่องชาร์จไฟแบบ BI-DIRECTIONAL CHARGER
ไฟท้ายขนาดใหญ่แบบ LED เสริมหล่อด้วยสปอยเลอร์หลัง พร้อมไฟเบรคดวงที่ 3 แบบ LED และเสาอากาศแบบครีบฉลาม
INTERIOR ภายใน
ภายในห้องโดยสารเน้นความโค้งมน บริเวณคอนโซลหน้า และแผงข้างประตู ใช้วัสดุที่ให้สัมผัสนุ่ม (SOFT TOUCH) ในรุ่น X (เอกซ์) เบาะนั่งคู่หน้าทรงสปอร์ทปรับไฟฟ้าสีดำสลับแดง ส่วนเบาะหลังนั่งสบาย พับแบบ 60:40 พนักพิงปรับองศาได้ และใช้ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบปรับโทนแสงได้มากถึง 64 เฉดสี (INTERACTIVE AMBIENT LIGHT) หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ (PANORAMIC SUNROOF) ขนาดใหญ่ยักษ์ มีพื้นที่ถึง 1.1 ตรม.
สิ่งอำนวยความสะดวกติดตั้งมาให้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลที่มีมาตรวัดขนาด 7 นิ้ว แสดงข้อมูลทั้งเรื่องการขับขี่ ระบบความปลอดภัย ระบบความบันเทิง และระบบนำทาง พร้อมหน้าจอหลักแบบทัชสกรีนขนาด 10 นิ้ว ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ I-SMART และกล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ พวงมาลัยมัลทิฟังค์ชัน ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกโซน พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ฝาท้ายเปิด/ปิดด้วยไฟฟ้า และเสริมความปลอดภัยด้วยถุงลมนิรภัย 6 จุด
ผลการทดสอบระดับเสียงรบกวนในห้องโดยสารของ MG HS PHEV ที่ความเร็ว 120 กม./ชม. มีตัวเลขเพียง 62 เดซิเบล จัดว่าเงียบ ดีกว่า MITSUBISHI OUTLANDER PHEV รถในกลุ่มพลัก-อิน ไฮบริด และรถที่ใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียวอย่าง HONDA CR-V และ MAZDA CX-5
ภายในใช้โทนสีดำเป็นหลักตัดกับคิ้วโครเมียม คอนโซลหน้า และแผงแดชบอร์ดใช้วัสดุซอฟท์ทัชแต่ดีไซจ์นดูเรียบ พวงมาลัยแบบ 4 ก้าน มีฟังค์ชันการใช้งานครบครัน พร้อม PADDLE SHIFT ที่ด้านหลังพวงมาลัย มาตรวัดแสดงข้อมูลการขับขี่ชัดเจน คอนโซลเกียร์ ใช้วัสดุแบบ PIANO BLACK ตัดด้วยขลิบขอบโครเมียม นอกจากนี้ ยังมีปุ่มเลือกโหมด SAVE CHARGE, โหมด EV ปุ่มเกียร์ P แยกออกมา
ส่วนระบบการขับเคลื่อนก็มีให้เลือกใช้งานได้ที่ปุ่ม TWIN MOTOR 4WD โหมดสปอร์ทก็ยังมีให้เลือก ส่วนอีกปุ่มข้างๆ เป็นเบรคมือไฟฟ้า และ AUTO HOLD พร้อมให้กล่องที่เท้าแขน, ที่ห้องโดยสารตอนหน้าให้ตัวปรับเลื่อนสายเบลท์ที่ตำแหน่งผู้ขับขี่ และผู้โดยสารมาให้ครบครัน
หน้าจอขนาด 8 นิ้ว พร้อมระบบเชื่อมต่อแบบไร้สาย BLUETOOTH, รองรับระบบ APPLE CAR PLAY ด้านล่างมีช่องเสียบไฟ 12 โวลท์ ปุ่มเปิด/ปิดประตูท้ายรถ, ช่องเก็บกุญแจ, ช่องต่ออุปกรณ์ USB 1 จุด, ปุ่มควบคุมการทำงาน BLIND SPOT, ปุ่มควบคุมการจ่ายไฟ AC 1,500 วัตต์ และปุ่ม ECO MODE
ห้องโดยสารตอนหลัง กว้างขวาง มีช่องลมแอร์หลังที่เท้าแขน มาพร้อมกับช่องต่ออุปกรณ์ USB 1 จุด, ช่องจ่ายไฟ AC 1,500 วัตต์ แบบปลั๊ก 3 ขา เบาะนั่งแถว 2 นั่งสบายปรับเอนได้มาพร้อมที่เท้าแขนบริเวณตำแหน่งกลางเบาะ และตัวเบาะสามารถปรับพับได้แบนราบ เพิ่มพื้นที่เก็บของขนาดใหญ่
ENGINE เครื่องยนต์
ขุมพลัง MG HS PHEV มีกำลังสูงสุดรวม 284 แรงม้า โดยแบ่งเป็นกำลังจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC เทอร์โบ TGI ความจุ 1.5 ลิตร 162 แรงม้า ที่ 5,500 รตน. แรงบิด 25.0 กก.-ม. ที่ 1,700-4,300 รตน. ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 122 แรงม้า แรงบิด 23.0 กก.-ม. ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ EDU ควบคุมด้วยไฟฟ้า ช่วยให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ทำได้ฉับไว และนุ่มนวล ในโหมดขับขี่สามารถเลือกปรับได้หลายโหมด เช่น EV, ECO, NORMAL, SPORT และ SUPER SPORT เหมือนเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 1.5 ลิตร
ผลทดสอบด้วยดาทรอน อัตราเร่งช่วงต้น 0-100 กม./ชม. และ 0-400 ม. ความเร็วปลาย 0-1,000 ม. MG HS PHEV ทำได้ 9.8/17.1/30.2 วินาที ซึ่งดีกว่า MG HS เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ติดเทอร์โบ ที่ทำไว้ 10.6/17.9/32.4 วินาที ดีกว่า MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ทำได้ภายในเวลา 9.9/17.5/31.2 วินาที เล็กน้อย ด้วยน้ำหนักที่เบากว่าอยู่ 155 กก.
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC MIVEC ขนาด 2.4 ลิตร กำลังสูงสุด 128 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 20.3 กก.-ม (199 นิวตัน-เมตร?) ?มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ด้านหน้ากำลังสูงสุด 82 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 14.0 กก.-ม. (137 นิวตัน-เมตร) และด้านหลังกำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 19.9 กก.-ม. (195 นิวตัน-เมตร) แบทเตอรี LITHIUM-ION 300 โวลท์ (VOLTS) 13.8 กิโลวัตต์/ชั่วโมง (kWH)? กำลังรวม 305 แรงม้า มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ S-AWC (SUPER–ALL WHEEL CONTROL)
เกียร์อัตโนมัติแบบซีวีที มีบวก/ลบ และโหมดให้เลือกใช้ทั้ง NORMAL และ SPORT ในโหมด SPORT เน้นอัตราเร่ง และแรงบิดมาต่อเนื่อง
จากผลทดสอบดาทรอน อัตราเร่งตีนต้น 0-100 กม./ชม. และ 0-400 ม. MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ทำได้ภายในเวลา 9.9/17.5 วินาที ส่วนอัตราเร่งตีนปลาย 0-1,000 ม. ใช้เวลาเพียง 31.2 วินาที เร็วกว่า MITSUBISHI PAJERO SPORT 4WD GT-PREMIUM (มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ท ขับเคลื่อน 4 ล้อ จีที-พรีเมียม) ที่ทำเอาไว้ 12.4/18.7/33.8 วินาที และ MITSUBISHI TRITON DOUBLE CAB GT-PREMIUM AT (มิตซูบิชิ ทไรทัน ดับเบิลแคบ จีที-พรีเมียม เกียร์อัตโนมัติ) ที่ทำเอาไว้ 11.2/17.9/32.9 วินาที
สมรรถนะช่วงเร่งแซง 60-100 กม./ชม. และ 80-120 กม./ชม. ทำได้ 5.4/7.0 วินาที เร็วกว่า PAJERO SPORT 4WD GT-PREMIUM (6.4/8.2 วินาที) และ MITSUBISHI TRITON DOUBLE CAB GT-PREMIUM AT (5.8/7.5 วินาที)
อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพียง 52.6 กม./ลิตร หรือ 1.9 ลิตร/100 กม. และไปได้ไกล 55 กม. ด้วยพลังไฟฟ้า 100 % (อ้างอิงผลการทดสอบจาก ECO STICKER) ตามมาตรฐาน NEDC มีอัตราการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับต่ำที่ 43 กรัม/กม.
EV DRIVE MODE ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100 % สามารถใช้งานได้ถึง 55 กม. ในความเร็วสูงสุดไม่เกิน 135 กม./ชม.
SERIES HYBRID MODE ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก โดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องยนต์ เมื่อกำลังไฟฟ้าของแบทเตอรี หรือขึ้นทางลาดชัน
PARALLEL HYBRID MODE ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมกำลังไปพร้อมกัน เมื่อขับในความเร็วสูง หรือเร่งแซง
นอกจากนี้ ยังมีปุ่มเลือกโหมด SAVE/CHARGE ซึ่งจะใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนไปจนกว่าแบทเตอรี มีประมาณ 80-90 %
SUSPENSION ระบบรองรับ
ระบบรองรับที่พัฒนาตามแบบ EURO TUNING SUSPENSION ได้รับการปรับตั้งให้เหมาะสมกับทุกสภาวะ การยึดเกาะมีประสิทธิภาพแม้เข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ซึมซาบแรงสั่นสะเทือนจากพื้นถนนได้ดี พวงมาลัยไฟฟ้าแปรผันมีน้ำหนักเหมาะสม
จากผลทดสอบเบรค ที่ความเร็ว 60/80/100-0 กม./ชม. MG HS PHEV ทำได้ 14.8/26.4/40.5 ม. ดีกว่า MG HS ทำไว้ 15.0/27.1/41.8 ม. และคู่แข่ง MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ที่ทำไว้ 16.4/29.1/45.6 ม. โดยอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย ใกล้เคียงกับ HONDA CR-V และ MAZDA CX-5
นอกจากนี้ MG ยังคงเน้นระบบความปลอดภัยให้ MG HS PHEV ด้วยระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ (FCW) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน (LDP) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ (TJA)
S-AWC เทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อระดับตำนานจาก MITSUBISHI ผสมผสานการทำงานของระบบเบรคป้องกันล้อลอค (ABS) ร่วมกับระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC: ACTIVE STABILITY CONTROL) ระบบควบคุมการขับเคลื่อน และการเบรคระหว่างล้อซ้าย และล้อขวา (AYC: ACTIVE YAW CONTROL) มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ติดตั้งที่เพลาหน้า/หลัง ควบคุมแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ และยังทำงานร่วมกับโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ ช่วยรักษาสมดุลอย่างอิสระทั้ง 4 ล้อ พร้อมโหมดให้เลือกใช้งานตามสภาพเส้นทางที่เหมาะสม
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ S-AWC มีโหมดการขับให้เลือก ประกอบด้วย NORMAL (ระบบกระจายแรงบิดแต่ละล้อตามสภาพถนน) SNOW? (ใช้สำหรับการขับขี่บนพื้นผิวถนนลื่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทรงตัว) LOCK (ใช้สำหรับสำหรับการขับขี่ที่ต้องการแรงฉุดลากสูงสุด เหมาะสำหรับการขับขี่บนพื้นผิวถนนขรุขระ หรือขับบนทราย) และ SPORT (เน้นอัตราเร่ง และการแปรผันที่ให้กำลังสูงสุด) ระบบทำงานผสานกับระบบช่วยเหลือต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้รถกลับมาอยู่ในสภาวะที่ควบคุมได้
ครบครันด้วยเทคโนโลยีระบบความปลอดภัย อาทิ ระบบสัญญาณเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (RCTA) ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (BSW) พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (LCA) และระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ (AHB) โดยระบบลอคความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (ACC) ไม่ได้ทำหน้าที่แต่เฉพาะรักษาระดับความเร็วให้คงที่เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ตรวจจับรถคันหน้า พร้อมควบคุมความเร็วและรักษาระยะห่างเพื่อความปลอดภัยจนกว่ารถจะหยุด
ผลทดสอบเบรคที่ความเร็ว 60-0/80-0/100-0 กม./ชม. MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ระยะเบรค 16.4/29.1/45.6 ม. ตามลําดับ
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ออกแบบมาเพื่อรถครอบครัวที่แท้จริง ทั้งภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางดูไม่อึดอัด การออกตัวที่นุ่มนวล ระบบความปลอดภัยต่างๆ ที่ครบครัน การควบคุมผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ S-AWC ที่ไว้ใจได้ ตอบโจทย์สายท่องเที่ยว
MG HS PHEV
MG HS PHEV ก็ถือว่าเป็นรถที่เหมาะกับการใช้งานในครอบครัว ระบบความปลอดภัยเพียบ ผสมผสานความเป็นยุโรป และเอเชียได้อย่างลงตัว บวกกับราคา 1,359,000 บาท ถูกสุดในกลุ่ม PHEV
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ใหม่ ยังสามารถผลิต และจ่ายพลังงานไฟฟ้าจากตัวรถมาใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่มีขนาดไม่เกิน 1,500 วัตต์ ด้วยการเสียบปลั๊กเข้ากับช่องจ่ายกระแสไฟฟ้าภายในตัวรถ เพื่อใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) 220 โวลท์
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV มีให้เลือก 2 รุ่น 3 สี ได้แก่ ขาว, เงิน และดำ ราคาเริ่มต้นที่รุ่น GT 1,640,000 บาท และ GT-PREMIUM 1,749,000 บาท ถือว่ากำลังดี ไม่สูงจนเกินไป ส่วนระยะเวลาการรับประกันแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน 10 ปี หรือ 160,000 กม. แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน