Quattroruote ทดสอบ
MERCEDES-BENZ C-CLASS
MERCEDES-BENZ C-CLASS โปรย ทายาทลำดับที่ 5 ของอนุกรมที่สืบทอดมายาวนาน อัดแน่นด้วยความทันสมัย หยิบยืมบางส่วนมาจากรุ่นพี่ตัวธงอย่าง S-CLASS ระบบความปลอดภัยที่เหนือชั้น และเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ที่โดดเด่นด้านการประหยัดเชื้อเพลิง รวบรัดตัดความแล้ว นี่คือ ซีดานที่ลงตัวที่สุดรุ่นหนึ่ง
รุ่น 220D MILD HYBRID PREMIUM
ราคา (จากผู้ผลิต)
• 56,956 ยูโร (ประมาณ 2,310,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
• ดีเซล เทอร์โบ 4 สูบเรียง
• 1,992 ซีซี
กำลังสูงสุด
• 200 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย
• จากผู้ผลิต 19.2 กม./ลิตร
• จากการทดสอบ 18.2 กม./ลิตร
• ความคุ้มค่า 7.97 ยูโร/100 กม.
ค่าไอเสียเฉลี่ย
• จากผู้ผลิต 131 กรัม/กม.
• จากการทดสอบ 146 กรัม/กม.
ระบบความบันเทิง คุณภาพในระดับสุดยอด
แผงคอนโซลออกแบบได้อย่างลงตัว มีมุมมองที่พอดีกับสายตาผู้ขับ และทำมุมเอียงเข้าหาเล็กน้อย จอภาพขนาด 11.8 นิ้ว (ตามขนาดที่แท้จริง) แสดงผลระบบ MBUX กับระบบความบันเทิงที่น่าสนใจมาก รายละเอียดต่างๆ ถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสม รวมถึงระบบเนวิเกเตอร์ แสดงผลจุดสำคัญในแผนที่ เช่น อนุสาวรีย์ต่างๆ เป็นแบบ 3 มิติ ขณะที่จุดแสดงตำแหน่งมีการอัพเดทตรงตามความเป็นจริง การใช้งานกับเมนูต่างๆ ทำได้ง่ายดาย แต่เราอยากแนะนำว่า หากกำลังขับขี่อยู่ การใช้งานด้วยระบบสั่งงานด้วยเสียงจะเหมาะสมกว่า ระบบดังกล่าวเข้าใจประโยคที่พูดออกมาได้ดี เริ่มต้นการทำงานด้วยวลี “HEY, MERCEDES” และยังรวมถึงการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การปรับอุณหภูมิในห้องโดยสาร การเลือกสถานีวิทยุ สามารถสนทนากับระบบ MBUX ก็ได้ เพื่อเปิดระบบปรับอากาศจากระยะทางไกล ระบบไฟส่องสว่าง รวมถึงการควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่บ้านจากในรถ หากเครื่องใช้ในบ้านดังกล่าวติดตั้งระบบรองรับ โดยปัจจุบันมียี่ห้อ BOSCH และ SAMSUNG ขณะที่หน้าจอขนาดใหญ่บนคอนโซลกลาง แสดงผลอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย สภาพอากาศ ใช้งานเวบเบราเซอร์ ค้นหาร้านอาหาร บาร์ส์ และโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ หรือ ใช้ปรับโหมดการขับขี่ทั้งหมด 4 รูปแบบ (ได้แก่ ECO COMFORT SPORT และ INDIVIDUAL ตามความต้องการของผู้ขับ)
การออกแบบที่ผสมผสานระหว่างความสวยงามลงตัว และระบบความบันเทิงที่ครบครัน
1. เบรคมือไฟฟ้า
2. ปุ่มใช้งานระบบไฟส่องสว่าง
3. ระบบครูส คอนทโรล แปรผัน
4. จอแผงหน้าปัดขนาด 12.3 นิ้ว
5. ก้านใช้งานระบบเกียร์
6. ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และระบบสตาร์ท/ดับอัตโนมัติ
7. จอภาพระบบสัมผัสขนาด 12 นิ้ว
8. วัสดุตกแต่งด้วยไม้สีดำ สลับวัสดุอลูมิเนียม
9. ปุ่มเสมือนบนหน้าจอ ควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยก 2 โซน
10. ปุ่มใช้งานโหมดการขับขี่ ปุ่มไฟฉุกเฉิน ปุ่มสแกนลายนิ้วมือ ปุ่มปรับระดับเสียง
11. ที่วางของพร้อมจุดวางแก้ว ช่องต่อ USB และแท่นชาร์จมือถือแบบไร้สาย
12. ที่พักแขน ข้างใต้เป็นที่เก็บของ
หลังจากทีมงานของเราเติมน้ำมันเต็มถัง 66 ลิตร พบว่าสามารถแล่นได้ไกลถึง 1,300 กม. เลยทีเดียว โดยไม่ต้องอาศัยการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งระบบ พลัก-อิน ไฮบริด แม้แต่น้อย จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่ถนนหลวง สู่การโดยสารอันนุ่มนวล สะดวกสบาย สมกับการนั่งมาในรถยนต์ซีดาน ไม่ใช่ เอสยูวี ขนาดใหญ่เทอะทะ แม้ต้องยอมรับอยู่บ้างว่าทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซลอาจลดความนิยมลงพอสมควรในปัจจุบัน เมื่อแล่นผ่านช่องเก็บเงินของทางด่วน เราใช้ความเร็วที่ 130 กม./ชม. อย่างคงที่ ที่ 1,600 รตน. เท่านั้น เป็นผลดีจากระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ทำให้ผู้ขับมีความเพลิดเพลินมาก เสียงรบกวนเล็ดลอดเข้ามาภายในห้องโดยสารซึ่งเป็นธรรมดา แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น รวมถึงเสียงของยางขณะแล่น ที่ความเร็วระดับดังกล่าว มีเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารที่ 67 เดซิเบล เท่านั้น เทียบง่ายๆ คือ ผู้โดยสารสามารถพูดคุยสนทนากันได้ตามปกติ โดยไม่ต้องใช้เสียงเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความรำคาญให้แก่ใครหลายๆ คน
อีกส่วนหนึ่งมาจากระยะฐานล้อที่เพิ่มขึ้น (จากเดิม 2,840 เป็น 2,870 มม.) จึงทำให้มีระยะช่วงขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนซุ้มอุโมงค์เกียร์ยังคงมีอยู่ ตามปกติวิสัยของรถยนต์ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง อย่างน้อยการเดินทางกับผู้โดยสาร 4 คน ก็มีความสะดวกสบายเหลือเฟือ เชื่อว่าการโดยสารเป็นระยะทางไกล คือ สิ่งที่น่ารื่นรมย์มากๆ สำหรับ C-CLASS (ซี-คลาสส์) รุ่นนี้ (รหัส W206)
ประหยัดน้ำมันยอดเยี่ยม
นอกเหนือจากความสะดวกสบายแล้ว การแล่นบนทางหลวงที่ใช้ความเร็วคงที่ ทำให้รถรุ่นนี้มีระยะทำการที่ไปได้ไกลมากๆ จากอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำ เนื่องจากเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 200 แรงม้า พ่วงด้วยระบบไฮบริดขนาดเล็ก และตัวถังที่ลู่ลมเป็นอย่างดี ทำให้จิบน้ำมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตลอดเส้นทางบนทางหลวง ทีมงานทดสอบของเราทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยได้ที่ 20.6 กม./ลิตร และมีตัวสูงสุดที่ 20.8 กม./ลิตร ในช่วงเส้นทางนอกเมือง เป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับรถยนต์ขนาดเล็กด้วยซ้ำไป บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของ C-CLASS รุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี
โดยรวมแล้ว การขับขี่ทางไกลกับรถรุ่นนี้ เป็นไปอย่างนุ่มนวล สะดวกสบายมากๆ ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยมาอยู่ที่ระดับ 18.0 กม./ลิตร เนื่องจากการขับขี่ในตัวเมืองจะสิ้นเปลืองมากขึ้นที่ 15.1 กม./ลิตร ถือเป็นผลลัพธ์ที่ทำได้ดีไม่แพ้คู่แข่งในระดับเดียวกัน นอกจากนี้ เครื่องยนต์ดีเซลบลอคนี้ยังมีจุดเด่นอื่นๆ นอกเหนือจากการประหยัดเชื้อเพลิง นั่นคือ สมรรถนะที่น่าพอใจไม่น้อย แม้จะไม่ถึงกับดุดันเร้าใจถึงที่สุด ยิ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง BMW 320D (บีเอมดับเบิลยู 320 ดี) ที่ทำอัตราเร่งได้ดีกว่าเพียงชั่วเสี้ยววินาทีก็ตาม แต่ซีดานของ MERCEDES-BENZ (เมร์เซเดส-เบนซ์) คันนี้ มีการตอบสนองที่ดีเช่นกัน หากกดคันเร่งในจังหวะที่เหมาะสม อัตราเร่งมีความฉับไวไม่น้อย ชดเชยกับเวลาที่เสียไปในส่วนอื่นๆ ส่วนหนึ่งมาจากการส่งกำลังที่ไหลลื่นอย่างยอดเยี่ยมของเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ
จุดเด่นจาก S-CLASS
ขณะที่เราขับรถคันนี้ไปตามเส้นทางที่ทอดไกลอย่างเพลิดเพลิน ทำให้มีเวลาที่จะหันมาสำรวจส่วนอื่นๆ ของห้องโดยสาร เริ่มจากแผงคอนโซลหน้ารูปแบบใหม่ มีการออกแบบที่หรูหรา ใกล้เคียงกับซีดานตัวธงร่วมค่ายอย่าง S-CLASS (เอส-คลาสส์) พร้อมจุดเด่น คือ ระบบความบันเทิงที่ทันสมัย ตรงกลางมีหน้าจอขนาดใหญ่ จัดเรียงในแนวตั้ง ระบบสัมผัส มีขนาดใหญ่ถึง 12 นิ้ว แสดงผลระบบใช้งาน MBUX (เป็นอุปกรณ์ติดตั้งจากโรงงาน) ขณะที่แผงหน้าปัดแบบดิจิทอล แสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว (เปลี่ยนรูปแบบได้หลากหลาย) มองเห็นได้ชัดเจนผ่านพวงมาลัย อีกหนึ่งจุดเด่นที่เราเคยกล่าวถึงหลายครั้งแล้ว นี่คือ ระบบความบันเทิงที่ลงตัวเลยก็ว่าได้ รองรับการสั่งงานด้วยเสียง แม้กระทั่งประโยคที่มีความซับซ้อน ก็สามารถประมวลผลคำสั่งได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้มีระบบใช้งานผ่านแป้นระบบสัมผัสแบบที่เห็นมาแล้วในรถยนต์ของ MERCEDES-BENZ หลายรุ่น ช่วยให้การเลื่อนเมนูคำสั่งบนหน้าจอ ทำได้สะดวก และไม่ต้องละสายตาจากถนนในขณะขับขี่
หากต้องขับรถคันนี้เป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง ผู้เป็นเจ้าของควรเลือกติดตั้งชุดระบบช่วยเหลือการขับขี่เพิ่มเติมด้วย แม้จะมีราคาถึง 2,415 ยูโร แต่คุ้มค่าอย่างแน่นอน เพราะมีระบบความปลอดภัยที่ทันสมัยเพิ่มเติมเข้ามาหลายรายการ จากการทดสอบแต่ละระบบ ทีมงานของเราให้คะแนนเต็ม 5 ดาว แทบทุกหัวข้อ เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติของ C- CLASS มีจังหวะการทำงานที่เหมาะสม สามารถชะลอความเร็วได้ทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นหุ่นจำลองผู้ใหญ่กับรถเข็น และเด็กเล็กที่มีเป้สะพายหลัง รวมถึงวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว ระบบก็สามารถตรวจจับได้ จากการทดสอบในสนาม VAIRANO
เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ของ MERCEDES-BENZ ยุคปัจจุบันที่เราเคยทดสอบไปก่อนหน้านี้ พบว่าระบบรักษาตัวรถให้อยู่กลางเลน มีการทำงานที่นุ่มนวลกว่าเดิม เมื่อล้อเริ่มแล่นไปทับเส้นแบ่งเลนบนถนน ระบบจะค่อยๆ บังคับทิศทางของพวงมาลัยทีละน้อย โดยไม่รบกวนระบบเบรคแต่อย่างใด (ไม่เช่นนั้นผู้ขับอาจรู้สึกรำคาญได้) การทดสอบในส่วนถัดมา ประสิทธิภาพของระบบเบรคบนพื้นถนนแห้งไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ในสภาวะพื้นผิวถนนที่มีความลื่นมากขึ้น ระยะเบรคกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าที่คิดเอาไว้ โดยทำได้ที่ 127 ม. สำหรับการหยุดรถจากความเร็ว 100 กม./ชม. ภายใต้สภาวะที่ล้อข้างหนึ่งอยู่บนพื้นเปียก และล้ออีกฝั่งอยู่บนพื้นผิวขรุขระ สาเหตุของระยะเบรคที่มากเกินควร น่าจะมาจากการเลือกใช้ยางที่ลดทอนการเกาะถนนบางส่วน เพราะต้องการใช้งานยางที่มีค่าต้านการหมุนของล้อต่ำ เพื่อผลดีในแง่ของการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
ผลกระทบอีกประการจากยางที่เลือกใช้งาน คือ ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนขณะหักเลี้ยวแบบกะทันหัน ทำได้ไม่ดีนัก รวมถึงการทำอัตราเร่งในบางช่วงที่ไม่ต่อเนื่องเท่าไร (ช่วงความเร็ว 81 กม./ชม.) ซึ่งเป็นการทดสอบโดยการหักเลี้ยวต่อเนื่องอย่างฉับไวบนพื้นผิวเปียก แต่อย่างน้อย ระบบ อีเอสพี ก็มีจังหวะการทำงานที่ลงตัว ให้ความรู้สึกที่ปลอดภัย และมั่นคง ตัวรถไม่เสียการทรงตัวแม้แต่น้อย แต่หากขับขี่แบบเน้นสมรรถนะเต็มที่ ผู้ขับจะรู้สึกได้ว่า การยึดเกาะถนนลดน้อยลงอย่างชัดเจน
การเข้าโค้งที่มั่นใจได้
ระบบรองรับที่ปรับแต่งสไตล์สปอร์ทกับรถทดสอบ มีการตอบสนองที่น่าพอใจ การบังคับควบคุมทำได้ไร้ที่ติ ความหนึบแน่นของระบบรองรับไม่มากจนเกินไป รวมถึงขณะแล่นผ่านพื้นผิวขรุขระ และทางต่างระดับ โดยระบบรองรับดังกล่าวไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มแต่อย่างใด แต่หากใครที่ต้องการเน้นความนุ่มนวล สะดวกสบายเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องติดตั้งระบบรองรับแบบสปอร์ทก็ได้
อย่างไรก็ตาม C- CLASS รุ่นนี้ถูกปรับแต่งให้มีการเข้าโค้งที่มั่นคงมากพอ การควบคุมทิศทางของล้อคู่หน้า ทำได้ไม่ยากเย็น การตอบสนองมีความต่อเนื่องที่ดี ไม่แพ้คู่แข่งรายอื่นๆ เช่น ALFA ROMEO GIULIA (อัลฟา โรเมโอ จูลีอา) และ BMW 3-SERIES (บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 3) การหักเลี้ยวให้ความรู้สึกที่มั่นคง และยังสามารถควบคุมการตอบสนองของตัวรถได้ดี พวงมาลัยเน้นความสบาย และการตอบสนองที่ต่อเนื่อง มากกว่าการตอบสนองแบบฉับไว เพื่อการขับขี่ที่ไหลลื่น โดยรวมเป็นการปรับแต่งที่เข้ากับบุคลิกของรถยนต์จาก MERCEDES-BENZ ได้อย่างลงตัว
การรักษาระดับความเร็วของรถรุ่นนี้ทำได้ไม่ยากเย็น เป็นจุดเด่นที่น่าพอใจในแง่ของความสะดวกสบายของการขับขี่ อย่างไรก็ตาม การหันมาใช้ระบบรองรับด้านหน้า (เป็นแบบ 4 จุดยึด จากเดิมที่เป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท) และการปรับแต่งบางอย่างเพิ่มเติม ทำให้ความเร้าใจขณะขับขี่ถูกลดทอนลงบางส่วน ในส่วนนี้ เรามีความเห็นว่า GIULIA คือ รถที่ขับได้สนุกเร้าใจมากที่สุด ตามมาติดๆ กัน คือ BMW ซึ่งเราอาจจะนำมาเปรียบเทียบกันชัดๆ ในภายหลัง