เรื่องเด่น Quattroruote
ทดลองขับ FORD MUSTANG MACH-E
ค่ายรถสัญชาติอเมริกัน นำรูปแบบที่คุ้นเคยจากในอดีต มาสู่รถยนต์ยุคใหม่แห่งอนาคต ผลลัพธ์ คือ รถยนต์ที่มอบการขับขี่อันเร้าใจ และมีจุดเด่นมากมายซ่อนอยู่ รองรับการขับขี่ในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่มีปัญหา
หน้าจอขนาดใหญ่ตรงกลาง
ก่อนอื่นเลย เราอาจจะต้องวางชื่อที่คุ้นดั้งเดิมเอาไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นรหัสตัวแรงอย่าง “BULLIT” ชื่อของคนดังอย่าง STEVE McQUEEN หรือฉากไล่ล่ารถอันเร้าใจในเมืองซานฟรานซิสโก การมาถึงของชื่อ MUSTANG (มัสแตง) ครั้งนี้ เป็นการหลอมรวมกันระหว่างชื่อชั้นในอดีตอันเกรียงไกร และความนิยมในปัจจุบันที่หันเหไปทางเอสยูวี สไตล์สปอร์ท พร้อมกับระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ไม่ว่าจะทำใจรับได้หรือไม่ นั่นคือ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในความเป็นจริง คงเป็นเรื่องน่าเสียดาย หากรถสปอร์ทชื่อดัง สมรรถนะสูง ถูกกีดกันออกจากแวดวงรถยนต์ไฟฟ้าแบบเน้นสมรรถนะ พูดได้เลยว่าประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถือบังเกิดขึ้นในตอนนี้ กับ MUSTANG รุ่นใหม่ กับความทันสมัยรูปแบบใหม่ ทางออกที่ลงตัวย่อมหนีไม่พ้นรูปแบบตัวถังของครอสส์โอเวอร์สไตล์เอสยูวี มาดสปอร์ท กับการใช้งานที่มีความหลากหลายยิ่งขึ้น และยังขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า นับเป็นความท้าทายของการรังสรรค์ทางวิศวกรรม องค์ประกอบบางส่วนยังคงรูปแบบที่คุ้นเคยเอาไว้ แต่ก็เสริมจุดเด่นที่ทันสมัยอีกหลายประการ เส้นสายที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สมกับชื่อชั้นที่สั่งสมมาตั้งแต่ปี 1964 จากสปอร์ทคูเปที่สืบทอดมาช้านาน
ภายในห้องโดยสาร มีการติดตั้งแผงมาตรวัดแบบดิจิทอล หน้าจอมีขนาดค่อนข้างเล็ก แสดงผลความเร็ว ระบุว่าเป็นความเร็วบน “พื้นถนน” หนึ่งในรูปแบบที่คุ้นเคยจาก MUSTANG แต่ละรุ่นที่ผ่านมา นอกจากนี้ ห้องโดยสารถูกตกแต่งให้เน้นบรรยากาศของความล้ำสมัย โดดเด่นด้วยการแสดงผลผ่านหน้าจอบนตรงกลางของคอนโซลหน้า พร้อมฟังค์ชันการใช้งานที่หลากหลาย ผ่านจอสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 15.5 นิ้ว เป็นรูปแบบที่ชวนให้นึกถึงรถยนต์ไฟฟ้าของค่ายรถคู่แข่งอย่าง TESLA (เทสลา) ตำแหน่งของหน้าจอคล้ายกับรุ่น MODEL 3 (โมเดล 3) ส่วนขนาดหน้าจอที่ใหญ่โตชวนให้นึกถึงรุ่น MODEL S (โมเดล S) ส่วนแผงหน้าปัดหน้าผู้ขับจะเป็นหน้าจอขนาด 10.2 นิ้ว กับการแสดงผลข้อมูลเท่าที่จำเป็น ไม่หนาแน่นจนเกินไป ไม่มีการแสดงผลของรูปแบบการส่งพลังงานไฟฟ้า และการชาร์จไฟฟ้ากลับของตัวรถ ขณะที่ตำแหน่งของเบาะมีความลงตัว แม้รูปทรงของตัวเบาะ รวมถึงตำแหน่งโดยรวมจะเน้นอารมณ์สปอร์ทก็ตามที ผู้ขับจะนั่งค่อนข้างสูงขึ้นมาจากพื้นถนน ขณะที่ตัวเบาะสามารถปรับความสูงได้ แต่ปรับมุมก้ม/เงยไม่ได้
พื้นที่โดยรวมมีให้เหลือเฟือ ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง และรถที่เราได้ทดลองขับติดตั้งปุ่มสำหรับเปิดประตู ตามรูปขวาบน ประตูบานหน้าจะมีมือเปิดประตูขนาดเล็ก (การออกแบบยังดูไม่ลงตัวเท่าใดนัก) และมีระบบคีย์บอร์ดเสมือน ผู้ใช้งานสามารถพิมพ์รหัสผ่านสำหรับปลดลอคประตูได้ เรารู้สึกว่าตำแหน่งการติดตั้งใช้งานไม่สะดวกเท่าใดนัก กับที่เบาะผู้ขับ ตำแหน่งโดยรวมมีความเหมาะสมสำหรับทัศนวิสัยที่ดีพอ ตลอดจนการใช้งานปุ่มต่างๆ รวมถึงหน้าจอขนาดใหญ่ตรงกลาง มีความสะดวกสบายดีมาก รวมถึงการใช้งานปุ่มแบบดั้งเดิมก็ทำได้สะดวกเช่นกัน
ส่วนถัดมาที่ให้ความรู้สึกคล้ายกับของ TESLA กับหน้าจอขนาดใหญ่กว่า 15 นิ้ว มีการใช้งานที่ง่ายดายเกินคาด ส่วนใช้งานหลักจะอยู่ด้านบนของหน้าจอ ถัดมาเป็นปุ่มใช้งานขนาดใหญ่ สำหรับควบคุมระบบปรับอากาศ ฝั่งซ้ายบน เป็นสัญลักษณ์ของรุ่น MACH-E (มัค-อี) สำหรับใช้งานในการปรับแต่งระบบต่างๆ รวมถึงโหมดของการขับเคลื่อน ทางผู้ผลิตได้ระบุคำจำกัดความของแต่ละโหมดเอาไว้ด้วย เริ่มด้วยโหมด ACTIVE (ถูกระบุว่า “เน้นความสมดุล ขับสนุก และขับขี่เร้าใจ”) และยังมีโหมดที่น่าสนใจ คือ WHISPER (แปลตามศัพท์ คือ เสียงกระซิบ นั่นคือ “นุ่มนวล เงียบสงบ และปราศจากเสียงรบกวน”) ถัดมา คือ โหมดที่เน้นความดุดัน WILD ซึ่งเป็นโหมดที่ถูกระบุคำจำกัดความว่า “ความเร้าใจถึงขีดสุด โลดแล่นราวกับรถ และถนนเป็นหนึ่งเดียว” หลังจากที่ทดลองทุกโหมดแล้ว เราพอใจกับโหมด ACTIVE มากที่สุด ในแง่ของซุ่มเสียงขณะขับขี่ มีการติดตั้งระบบเสียงสังเคราะห์ใน MACH-E ตามแบบฉบับรถยนต์ไฟฟ้า แม้ต้องยอมรับว่าความเร้าใจไม่อาจเทียบกับเสียงของเครื่องยนต์แบบ วี 8 สูบ ที่ดังกระหึ่ม เสียงสังเคราะห์ยังไม่อาจทดแทนได้แม้แต่น้อย
อีกแง่หนึ่งแล้ว สมรรถนะที่ดุดันของรถรุ่นนี้ คือ ของจริง แม้ด้วยชื่อชั้นแล้ว บางคนอาจคาดหวังให้อัตราเร่งมีความฉับไวมากกว่านี้ เรารู้สึกว่าการตอบสนองของรถรุ่นนี้ทำได้ดีทีเดียว ตามคุณลักษณะของรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยพละกำลังที่สูง และความฉับไวตั้งแต่ออกตัว ใครที่ชื่นชอบรถยนต์สมรรถนะสูงน่าจะวางใจได้ ในรุ่น GT (จีที) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.5 วินาที โดยเตรียมทำตลาดในอนาคตอันใกล้นี้ ร่วมกับรุ่นย่อยอื่นๆ อัตราเร่งในระดับดังกล่าวอาจเทียบได้กับตัวแรงยุคดั้งเดิมภายใต้รหัส MACH 1 ที่ทำตลาดในช่วงปี 1960 จัดเป็น MUSTANG ที่มีความดุดันมากที่สุดรุ่นหนึ่ง และถูกนำไปพัฒนาเป็นรถแข่งอีกด้วย
คันเร่งอย่างเดียวก็เพียงพอ
ในแง่ของระยะทำการสูงสุด เราจะทำการทดสอบโดยตรงในภายหลัง ดังนั้นในเบื้องต้น เราจึงประเมินคร่าวๆ จากการทดลองขับในครั้งนี้ พบว่าสามารถแล่นได้เป็นระยะทางประมาณกว่า 350 กม. มีข้อเท็จจริงอีกประการที่เราค้นพบ นั่นคือ ขณะทำการทดลองขับ อุณหภูมิโดยรอบค่อนข้างต่ำ แต่กลับพบว่าไม่มีผลต่อระยะทำการโดยรวมเลย ผิดจากที่เคยคาดการณ์เอาไว้ว่าอากาศเย็นมีความเหมาะสมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า จุดที่น่าสนใจ คือ การใช้งานแป้นคันเร่งเพียงอย่างเดียว อาศัยเพียงแรงหน่วงของมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถทดแทนการใช้แป้นเบรคในเบื้องต้น สำหรับคู่แข่งรายอื่น การปรับแรงหน่วงดังกล่าว สามารถทำได้ผ่านแพดเดิล ชิฟท์หลังพวงมาลัย แต่กลับไม่สามารถทำได้ในรถรุ่นนี้ซะงั้น ขณะขับขี่แบบเน้นสมรรถนะ และเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ตัวรถมีความหนึบแน่นที่น่าพอใจ การตอบสนองของแรงบิดที่มากพอ ทำให้มีความคล่องแคล่วเป็นอย่างดี แม้จะไม่ถึงกับในระดับเดียวกับรถสปอร์ทขนานแท้ ขณะแล่นผ่านโค้ง MACH-E ให้ความมั่นคงที่น่าพอใจ และควบคุมได้ไม่ยากเย็น แม้ตัวถังจะค่อนข้างใหญ่ตามแบบฉบับครอสส์โอเวอร์ สไตล์เอสยูวี และน้ำหนักโดยรวมกว่า 2 ตัน นอกจากนี้ พวงมาลัยมีการตอบสนองที่แม่นยำ แม้น้ำหนักจะค่อนข้างเบาก็ตาม สำหรับการขับขี่แบบเน้นสมรรถนะ หลายคนอาจคาดหวังให้พวงมาลัยมีความเฉียบคมมากกว่านี้ แต่โดยรวม ถือว่าทำได้ดีพอ MACH-E จัดเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีบุคลิกเฉพาะตัว ไม่จำเป็นต้องตามรอยความสำเร็จจาก MUSTANG ในอดีตเสียทั้งหมด
ข้อมูลทางเทคนิค โครงสร้างตัวถังใหม่หมด
MACH-E ถูกพัฒนาโครงสร้างตัวถังขึ้นมาใหม่ทั้งหมด กับรูปแบบตัวถังที่มีพื้นราบเรียบราวกับสเกทบอร์ด ชุดแบทเตอรีจะถูกติดตั้งที่พื้นตัวถัง ความจุของแบทเตอรีจะมี 2 แบบด้วยกัน เริ่มที่ 75.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง สำหรับรุ่น STANDARD RANGE และ 98.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง สำหรับรุ่น EXTENDED RANGE อย่างไรก็ตาม ความจุที่สามารถใช้งานได้จริงจะลดน้อยลงมา อยู่ที่ 68 และ 88 กิโลวัตต์ชั่วโมง ตามลำดับ
ในส่วนของแบทเตอรี (ที่ถูกผลิตจากบริษัทสัญชาติเกาหลีใต้) รองรับการชาร์จแบบเร่งด่วนด้วยไฟฟ้ากระแสตรง เริ่มต้นที่ 115 กิโลวัตต์ และที่ 150 กิโลวัตต์ สำหรับแบทเตอรีขนาดใหญ่กว่า การชาร์จจากครัวเรือนรองรับได้สูงสุดที่ 11 กิโลวัตต์ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ถูกผลิตที่ประเทศเมกซิโก เป็นโรงงานที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 1960 ในช่วงทศวรรษหลังสุดเป็นโรงงานสำหรับผลิตรถยนต์ FORD FIESTA (ฟอร์ด ฟิเอสตา)
รุ่น AWD EXTENDED RANGE
ข้อมูลของรถที่นำมาทดสอบ
เครื่องยนต์
• มอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้งด้านหน้า และด้านหลัง
• กำลังสูงสุด 351 แรงม้า
• แรงบิดสูงสุด 59.6 กก.-ม.
แบทเตอรี
• ลิเธียม-ไอออน 98.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ระบบส่งกำลัง
• ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 4 ล้อตลอดเวลา
• ระบบเกียร์แบบอัตราทดเดียว
สมรรถนะ
• ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม.
• อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 5.1 วินาที
• ระยะทำการสูงสุด 540 กม.
มิติตัวถัง และน้ำหนักโดยรวม
• ระยะฐานล้อ 2,980 มม.
• ความยาว 4,710 มม. กว้าง 1,880 มม. สูง 1,630 มม.
• น้ำหนักโดยรวม 2,182 กก.
ราคา
• 66,850 ยูโร (ประมาณ 2,640,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
จุดชาร์จประจุไฟฟ้าแบบ CCS COMBO 2 รองรับหัวต่อได้ 2 รูปแบบด้วยกัน (ทั้งจุดชาร์จจากสายต่อเฉพาะทาง หรือจุดชาร์จทั่วไปจากครัวเรือน) รวมถึงการชาร์จเร่งด่วนจากจุดชาร์จไฟฟ้ากระแสตรงด้วย MACH-E รองรับการชาร์จได้สูงสุดที่ 150 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จระดับแบทเตอรีจาก 10-80 % ของความจุ 98.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง ในเวลา 45 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ ระบบเชื่อมต่อ SYNC 4 มีซิมคาร์ดฝังอยู่ภายในตัว โดยเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชัน FORD PASS ได้ทันที สามารถใช้งานแทนระบบกุญแจแบบดั้งเดิมได้ หากต้องการจะปลดลอคประตู ผู้ขับสามารถกดรหัสผ่านเป็นตัวเลข 4 ตัว บริเวณเสาบี ด้านนอกตัวรถ ขณะที่ส่วนที่เก็บสัมภาระท้ายมีรูปทรงสมมาตร และความจุที่เหลือเฟือถึง 402 ลิตร ตามข้อมูลจากผู้ผลิต และสูงสุดถึง 519 ลิตร หากรวมพื้นที่ใต้พื้นรถ เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป MACH-E มีพื้นที่เก็บของด้านหน้ารถด้วย มีความจุ 81 ลิตร