ทดลองขับ
Mitsubishi XForce HEV ทางเลือกใหม่...ของสายกิจกรรม
การออกแบบยานยนต์ของ Mitsubishi (มิตซูบิชิ) ที่เรียกว่า "Silky & Solid" สร้างความแตกต่างระหว่าง XForce (เอกซ์ฟอร์ศ) ของ Mitsubishi กับ Creta (กเรตา) ของ Hyundai (ฮันเด) เช่นเดียวกับ Xpander (เอกซ์แพนเดอร์) และ Stargazer (สตาร์เกเซอร์)
ใบหน้าใหม่ ในสไตล์ Mitsubishi
All New XForce HEV ผสานสไตล์ที่โดดเด่นของ Mitsubishi เข้ากับเส้นสาย และหลังคาแบบลอยตัว (Floating Roof) บนครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีคันใหม่
มิติตัวรถ ยาว/กว้าง/สูง 4,390/1,810/1,650 มม. ต่างกับ Hyundai Creta ที่มีขนาด 4,315/1,790/1,630 มม. เพียงเล็กน้อย แต่มีฐานล้อยาว 2,650 มม. เท่ากัน
หน้ากระจังไดนามิคชีลด์มาในเวอร์ชันแบบ 3 มิติ คล้ายกับตัวคอนเซพท์ ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้าย LED สี Smoke
ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 18 นิ้ว ดีไซจ์นลู่ลมตามหลักแอโรไดนามิค เพื่อประหยัดพลังงาน ระยะต่ำสุดถึงพื้น (Ground Clearance) สูง 183 มม. ประกอบกับซุ้มล้อที่มีสีตัดกับสีรถ ดูแข็งแกร่งตามแบบเอสยูวี
การออกแบบภายในทันสมัย
ห้องโดยสารที่ประณีตทุกรายละเอียด ตอบโจทย์การใช้งาน ด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซพท์ “Horizontal Axis" มีทัศนวิสัยที่ดี ภายในสีทูโทน Melange-Mocha พร้อมการตกแต่งด้วยผ้าแบบพิเศษกันน้ำ และคราบสิ่งสกปรก มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
หน้าจอแสดงผลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว จอแสดงผลการขับขี่ LCD ขนาด 8 นิ้ว จะแสดงข้อมูลเฉพาะสำหรับระบบขับเคลื่อนฟูลล์ไฮบริดอย่างชัดเจน เช่น ระดับพลังงาน แสดงสถานะ Eco, Power และ Charge
หน้าจอระบบสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว พร้อม Smartphone-link Display Audio (SDA) จอแสดงผลถูกออกแบบให้เป็นแบบ Multi-widget จอแบ่งออกเป็น 3 ส่วน เพื่อแสดงข้อมูลต่างๆ พร้อมกันบนหน้าจอเดียว อีกทั้งยังสามารถแสดงผลชุดมาตรวัดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมาตรวัด 3 ช่องของ Pajero โดยแสดงข้อมูลสำคัญ เช่น ระดับความสูง มุมเอียง และทิศทาง เพื่อเพิ่มความสนุกในการขับขี่ นอกจากนี้ ยังรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และ WebLink เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้
ระบบฟอกอากาศ nanoe X ที่จะช่วยสร้างอากาศบริสุทธิ์ และยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการเหนื่อยล้า ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร (Ambient Light) บริเวณคอนโซลหน้า และแผงประตูด้านหน้า
XForce HEV รุ่น Ultimate X มาพร้อมกับ Dynamic Sound Yamaha Premium Sound System ระบบเสียงที่กระจายเสียงผ่านลำโพงทั้งหมด 8 ตัว ทวีเตอร์คู่หน้าที่ถูกติดตั้งบริเวณเสาหลังคา (A-Pillar) ลำโพงวูเฟอร์ที่ติดตั้งบริเวณแผงประตูคู่หน้า และลำโพงโคแอกเซียล (Coaxial) แบบ 2 ทาง ที่ประตูคู่หลัง มีคุณภาพเสียงที่คมชัดอย่างมีมิติ เฉกเช่นการฟังเครื่องดนตรีแบบแยกชิ้น อีกทั้งยังสามารถเลือกรูปแบบเสียงได้ถึง 4 รูปแบบ ตามรสนิยม และอารมณ์ในการฟังเพลง
ห้องโดยสารขนาดใหญ่ที่สุดในรถระดับเดียวกัน พื้นที่เหนือศีรษะ พื้นที่หัวไหล่ และพื้นที่วางขาที่กว้าง นั่ง 5 คนได้สบาย โดยไม่รู้สึกอึดอัด
เบาะนั่งตอนหลังสามารถพับปรับแบบ 40:20:40 และปรับเอนได้ถึง 8 ระดับ พร้อมด้วยวัสดุหุ้มเบาะ "Heat Guard" ที่ช่วยสะท้อนความร้อนจากแสงแดด
Mitsubishi e:MOTION
หัวใจสำคัญของ XForce HEV คือ Mitsubishi e:MOTION ประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ ซึ่งเป็นการผสาน 3 เทคโนโลยีของ Mitsubishi ได้แก่ ระบบขับเคลื่อนฟูลล์ไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ล่าสุด โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ และระบบควบคุมการขับเคลื่อน และสมดุลขณะเข้าโค้ง (AYC) ระบบขับเคลื่อนฟูลล์ไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ ได้รับการถ่ายทอด และพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบพลัก-อิน ไฮบริด (PHEV) และเป็นการพัฒนาต่อยอดจากฟูลล์ไฮบริดรุ่นแรกอย่าง Xpander ทำให้มีประสิทธิภาพการส่งกำลังที่ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ได้พลัง และนุ่มนวลมากขึ้น
ระบบฟูลล์ไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 85 กิโลวัตต์ (116 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 255 นิวตันเมตร (26.0 กก.ม.) และแบทเตอรีขนาด 1.1 KWH สำหรับรถไฮบริด เสริมด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร รหัส 4A92 แบบ 4 สูบ MIVEC DOHC 16 วาล์ว จาก XPANDER HEV แต่ปรับให้กำลังเพิ่มขึ้นเป็น 107 แรงม้า (79 กิโลวัตต์) ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 134 นิวตันเมตร (13.7 กก.ม.) ที่ 4,500 รตน.
อีกทั้งยังเพิ่มกลไกตัดการเชื่อมต่อของมอเตอร์ ช่วยลดการสูญเสียพลังงานลงได้มาก ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ XForce HEV มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 24.4 กม./ลิตร และทำให้ได้ระยะทางในการขับขี่ต่อน้ำมัน 1 ถัง (42 ลิตร) ถึง 1,000 กม. สูงที่สุดในรถยนต์ระดับเดียวกัน
ระบบส่งกำลัง 2-Speed Transaxle เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับประสบการณ์การขับขี่แบบรถไฟฟ้า โดยการขับเคลื่อนในแบบไฮบริด จะให้ความเงียบ และมีอัตราเร่งที่ดี ทั้งในการขับขี่บนไฮเวย์ และในเส้นทางที่เป็นเนินลาดชัน
นอกจากนี้ มอเตอร์ไฟฟ้า เจเนอเรเตอร์ และระบบส่งกำลัง ทำงานผสานกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้มีการทำงานที่เงียบ ลดเสียงรบกวนอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ประสบการณ์การขับขี่เหมือนรถไฟฟ้า
ระบบขับเคลื่อนฟูลล์ไฮบริดรุ่นใหม่
มีทั้งการขับขี่แบบ EV Drive การขับขี่แบบ Hybrid-Series การขับขี่แบบ Hybrid-Parallel การขับขี่แบบ Hybrid-Motor Disconnected และการขับขี่แบบ Power Recenerative โดยระบบจะปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่โดยอัตโนมัติตามสภาพการขับขี่ และปริมาณพลังงานที่เหลืออยู่ในแบทเตอรี เพื่อให้ได้ทั้งประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงสูง และการขับขี่ที่ทรงพลัง เร้าใจด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
ขณะออกตัว ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบทเตอรี 100 % เงียบ และใช้พลังงานสะอาด ปราศจากการใช้เชื้อเพลิง และการปล่อยแกส CO2
ขณะเร่งความเร็ว หรือขับด้วยความเร็วปานกลาง ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเครื่องยนต์จะทำงานเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าแบทเตอรี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และกำลังในการขับเคลื่อน ซึ่งจะตัดสลับกับ EV Drive เมื่อไฟในแบทเตอรีเพียงพอ
ขณะขึ้นทางชัน หรือขึ้นเขา ระบบจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ในอัตราทด Low (เกียร์ต่ำ) เพื่อเพิ่มพละกำลัง และจัดการพลังงานในแบทเตอรี ในขณะเดียวกันเครื่องยนต์ยังคงสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าแบทเตอรีอย่างต่อเนื่อง และจะตัดสลับกับ Hybrid-Series ตามความเหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อน และประหยัดน้ำมัน
ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง หรือคงที่ ระบบจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ในอัตราทด High (เกียร์สูง) เมื่อความเร็วคงที่จะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เป็นหลัก และตัดการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าออก ในขณะเดียวกัน เครื่องยนต์ยังคงสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าแบทเตอรีอย่างต่อเนื่อง และจะตัดสลับกับ Hybrid-Series หรือ EV Drive ตามความเหมาะสม
ขณะลดความเร็ว หรือลงทางชัน ระบบจะเปลี่ยนพลังงานจากการชะลอความเร็ว หรือเบรค เป็นพลังงานไฟฟ้า และนำกระแสไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบทเตอรี
ระบบ HEV นี้ช่วยให้สามารถขับขี่ได้อย่างเงียบ สะอาดแบบรถ EV และยังรองรับการเดินทางระยะไกลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องพลังงานแบทเตอรีหมด
XForce HEV มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง และแบทเตอรีประสิทธิภาพสูงที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษสำหรับรถไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร MIVEC DOHC 16 วาล์ว ซึ่งถูกใช้งานครั้งแรกใน Xpander HEV โดยให้ประสิทธิภาพเชิงความร้อน (Thermal efficiency) ในระดับแนวหน้าของคลาสส์ พร้อมทั้งกำลังขับเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังติดตั้งปั๊มน้ำไฟฟ้า เพื่อลดการสูญเสียพลังงานจากระบบขับเคลื่อนเสริม (Auxiliary Drive Loss) ส่งผลให้ประสิทธิภาพเชิงความร้อนของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นมากกว่า 40 % ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงขึ้น และส่งเสริมประสิทธิภาพโดยรวมของระบบขับเคลื่อน เมื่อทำงานร่วมกับเจเนอเรเตอร์ และมอเตอร์ที่มีกำลังสูงสุด 85 กิโลวัตต์ All-New Mitsubishi XForce HEV จึงสามารถทำอัตราเร่งที่ราบรื่น ทรงพลัง และตอบสนองฉับไว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ
อีกหนึ่งเทคโนโลยี Mitsubishi e:MOTION มอบประสบการณ์การขับขี่ที่โดดเด่น คือ โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ
โดยแบ่งเป็นโหมดการขับขี่แบบรถไฟฟ้า 2 รูปแบบ และโหมดการขับขี่อีก 5 รูปแบบสภาพถนน ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ง่าย เพียงปลายนิ้วสัมผัส ผ่านสวิทช์ที่คอนโซลกลาง โดยระบบควบคุม เบรค เครื่องยนต์ มอเตอร์ และพวงมาลัย จะทำงานร่วมกัน เพื่อให้การขับขี่บนสภาพถนนที่หลากหลาย และเหมาะกับสภาพถนนในประเทศไทย
2 โหมดการขับขี่แบบรถไฟฟ้า โหมด EV Priority และโหมด Charge ช่วยให้ผู้ขับขี่เลือกขับขี่ในโหมด EV ตามสถานการณ์ได้
Charge Mode ใช้เครื่องยนต์ชาร์จแบทเตอรีเมื่อพลังงานเหลือน้อย ในขณะขับ หรือจอดรอได้ เพื่อให้สามารถใช้ไหมด EV ได้นานขึ้นตามต้องการ
EV Priority Mode ใช้พลังงานจากแบทเตอรีเพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์โดยไม่ต้องสตาร์ทเครื่องยนต์ โหมดนี้มีความเงียบสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
5 โหมดการขับขี่ทั่วไป ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมรถตามสภาพถนน ด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
Normal Mode: เหมาะกับการขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
Wet Mode: สำหรับถนนเปียกลื่น ลดการลื่นของยาง และเพิ่มเสถียรภาพแม้ในสภาพฝนตกหนัก
Gravel Mode: สำหรับถนนลูกรัง ลดอาการลื่นไกล และเพิ่มความมั่นคงบนถนนลูกรัง
Tarmac Mode หรือ Sport Mode: สำหรับถนนลาดยาง เน้นพละกำลัง เพิ่มความว่องไว และการควบคุมที่แม่นยำบนถนนคดเคี้ยว
Mud Mode: สำหรับถนนโคลน ให้การยึดเกาะที่ดีขึ้นแม้ในสภาพถนนที่เป็นโคลน และขรุขระ
เทคโนโลยีควบคุมต่างๆ
AYC (Active Yaw Control): ระบบควบคุมการขับเคลื่อน และสมดุลขณะเข้าโค้ง ควบคุมแรงขับ และแรงเบรคของล้อหน้าแต่ละข้าง เพื่อเพิ่มการทรงตัว และการควบคุมให้ปลอดภัย และมั่นใจยิ่งขึ้น
TCL (Traction Control System): ระบบป้องกันการลื่นไกล ป้องกันล้อหมุนฟรี
ASC (Active Stability Control): ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว
Electric Power Steering: พวงมาลัยไฟฟ้า ปรับน้ำหนักตามความเร็ว และสภาพถนน
เทคโนโลยีความปลอดภัย Diamond Sense
เทคโนโลยีความปลอดภัย 360 องศา โดยการตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัวรถด้วยกล้อง เซนเซอร์ และเรดาห์ที่แม่นยำ ทำงาน และมีสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบ เมื่อเกิดสภาวะฉุกเฉิน หรือ
ต้องระมัดระวัง ได้แก่
MAM with Moving Object Detection: กล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นกะระยะ ทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่ง แสดงภาพสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ พร้อมระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว
LCDN: ระบบเตือนเมื่อรถด้านหน้าออกตัว หรือเคลื่อนที่ไปด้านหน้า ระบบจะทำการแจ้งเตือนบนหน้าจอแสดงผล
BSW with LCA: ระบบเตือนจุดอับสายตา และระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน
FCM: ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ป้องกันความเสี่ยงที่จะชนรถคันหน้า และสบายใจกว่าด้วยการลดความเร็วเพื่อบรรเทาความเสียหายจากการชน
ACC: ระบบลอคความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติถึงจุดหยุดนิ่ง ระบบจะลอคความเร็วตามที่กำหนด และรักษาความเร็วให้คงที่ตามรถคันหน้า ตลอดจนช่วยเบรคจนถึงความเร็ว 0 กม./ชม. เพิ่มความสะดวกสบาย และปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่อต้องขับขี่ทางไกล
AHB: ระบบควบคุมไฟสูงโดยอัตโนมัติ สะดวก และปลอดภัยยิ่งขึ้น
RCTA: ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด ระบบจะส่งสัญญาณเตือน เมื่อพบว่ามีวัตถุเคลื่อนไหวด้านหลังรถ ขณะกำลังถอยรถออกจากช่องจอด
นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยแบบ Passive safety ด้วยการติดตั้งถุงลม 6 ตำแหน่ง มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นของทุกคนในห้องโดยสารอีกด้วย
คุณทำได้ เราลองมาแล้ว
หลังจากลองขับ Mitsubishi XForce HEV ทั้งในส่วนของการใช้งานฟังค์ชันมาตรฐานในรถรุ่นนี้ อย่างเทคโนโลยีความปลอดภัย Diamond Sense เทคโนโลยีความปลอดภัย 360 องศา กล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นกะระยะ ทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่ง แสดงภาพสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ พร้อมระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว มีความชัดเจน และทำงานได้ดี ทั้งในขณะถอยจอด และผ่านสิ่งกีดขวาง
ACC หรือระบบลอคความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ ระบบจะลอคความเร็วตามที่กำหนด และรักษาความเร็วให้คงที่ตามรถคันหน้าโดยอัตโนมัติ ตลอดจนช่วยเบรคจนถึงความเร็ว 0 กม./ชม. เพิ่มความสะดวกสบาย และปลอดภัย รวมทั้ง LCDN ระบบเตือนเมื่อรถด้านหน้าออกตัว หรือเคลื่อนที่ไปด้านหน้า ระบบจะทำการแจ้งเตือน พร้อมกับเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า
การเข้าโค้ง และเปลี่ยนช่องทางที่ความเร็วประมาณ 60 กม./ชม. AYC หรือระบบควบคุมการขับเคลื่อน และสมดุลขณะเข้าโค้ง ควบคุมแรงขับ และแรงเบรคของล้อหน้าแต่ละข้าง เพื่อเพิ่มการทรงตัว และการควบคุมให้ปลอดภัย และมั่นใจ
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในขณะใช้ Tarmac Mode หรือ Sport Mode สำหรับถนนปูน พละกำลังเร็วกว่าการใช้ Normal Mode ส่วนเรื่องการควบคุมรถเมื่อขับแบบสลาลอม ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันเล็กน้อย
ในสถานีทดสอบ Gravel Mode สำหรับถนนลูกรัง ลดอาการลื่นไกล และเพิ่มความมั่นคงบนทางดินสลับกับต้นหญ้า ขับแบบสลาลอม หมุนเป็นวงกลม 2 รอบ ยังควบคุม และบังคับให้อยู่ในช่องทาง และทิศทางตามที่ตั้งใจไว้ ถ้าใช้ Mud Mode สำหรับถนนโคลน ให้การยึดเกาะที่ดีขึ้น ขับง่าย แต่จะไปได้ไม่เร็วเท่า โดยมี AYC เข้ามาควบคุมเบรค
ในสถานีทดสอบ Wet Mode โหมดสำหรับถนนเปียกลื่น ลดการลื่นของยาง และเพิ่มเสถียรภาพแม้ในถนนที่เต็มไปด้วยน้ำ AYC ยังคงเข้ามาควบคุมเบรคแทบจะตลอดเวลา
XForce HEV เป็นการพัฒนาต่อยอดจากฟูลล์ไฮบริดรุ่นแรกอย่าง Xpander ทำให้มีประสิทธิภาพการส่งกำลังที่ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ได้พลัง และนุ่มนวลมากขึ้น และระบบส่งกำลัง 2-Speed Transaxle มีทั้งอัตราทด Low (เกียร์ต่ำ) และอัตราทด High (เกียร์สูง) เพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อน และประหยัดน้ำมัน
รวมทั้งโหมดการขับขี่แบบรถไฟฟ้า 2 รูปแบบ และโหมดการขับขี่อีก 5 รูปแบบสภาพถนน พร้อมระบบควบคุมการขับเคลื่อน และสมดุลขณะเข้าโค้ง ที่ทำให้ XForce HEV เป็นพระเอกขี่ม้าขาว ในกลุ่ม HEV หรือไฮบริด คันนี้ขับไปได้ทุกที่ ขับเท่ได้ทุกเวลา
XForce HEV มีจำหน่าย 3 รุ่นย่อย สีรถมีให้เลือกทั้งแบบทูโทน และโมโนโทน จำนวนถึง 8 สี
รุ่น Ignite ราคาเริ่มต้น 899,000 บาท
มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ ขาวมุก (White Diamond) เงิน (Blade Silver) และเทา (Graphite Grey)
รุ่น Ultimate ราคาเริ่มต้น 1,039,000 บาท
มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ ขาวมุก (White Diamond) หลังคาดำ เงิน (Blade Silver) เทา (Graphite Gray) และดำ (Jet Black Mica)
รุ่น Ultimate X ราคาเริ่มต้น 1,089,000 บาท
มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ ขาวมุก (White Diamond) หลังคาดำ เทา (Graphite Gray) หลังคาดำ เหลือง (Energetic Yellow) หลังคาดำ แดง (Spirit Red) หลังคาดำ และดำ (Jet Black Mica)
พร้อมข้อเสนอพิเศษสำหรับ XForce HEV ได้แก่
การรับประกันระบบไฮบริดเป็นระยะเวลา 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
รับประกันแบทเตอรีไฮบริดนานสูงสุดถึง 10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
รับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง เป็นเวลา 1 ปี
การรับประกันคุณภาพรถยนต์ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน) ฟรีค่าแรงเชคระยะนาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)
เลือกรับ แพคเกจบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี
ครอบครัว Mitsubishi รับส่วนลดเพิ่มสูงสุดถึง 30,000 บาท ผ่านแอพพลิเคชัน M-Drive
