เมื่อกล่าวถึงสมรรถนะของรถกระบะ ต้องบอกว่า Ford Ranger Raptor ครองบัลลังก์ด้านการขับขี่บนเส้นทางออฟโรดได้อย่างเหนือชั้น โดยมีเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ อันทรงพลังเป็นจุดเด่นที่ใครๆ ก็พูดถึง แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือ ช่วงล่างที่ช่วยให้คนขับควบคุมรถได้อย่างมั่นใจเมื่ออยู่บนเส้นทางสมบุกสมบัน
นอกจากระบบช่วงล่างที่ได้รับการพัฒนามาโดยเฉพาะให้มีปีกนกอลูมิเนียมน้ำหนักเบาทั้งบน และล่างรวมถึงชอคอับหลังที่มีระยะยืดยุบสูงพร้อมวัตต์ลิงค์ และแขนเต้นคู่แล้ว Ford Ranger Raptor รุ่นเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร V6 ในปัจจุบัน ยังติดตั้งชอคอับ Fox ที่มีเทคโนโลยีแบบไลฟ์ วาล์ว ออกแบบมาเพื่อคนรักการผจญภัย ให้พร้อมเผชิญหน้าทุกความท้าทาย โดยที่แรงสั่นสะเทือนจะไม่สร้างความเสียหายให้แก่แชสซีส์ของรถ
“การเปลี่ยนชอคอับเดิมให้เป็นแบบไลฟ์ วาล์วแบบกึ่งแอคทีฟ นับเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการแรงสั่นสะเทือนจากการขับขี่ และเพิ่มขีดความสามารถของ Ford Ranger Raptor” แมตต์ เกอร์แลค วิศวกรอาวุโส ฝ่ายพัฒนาพลศาสตร์ยานยนต์ของ Ford กล่าว
“ทีมออกแบบบอกเราว่าสุดยอดรถกระบะคันนี้จะตะลุยเส้นทางสมบุกสมบันได้ด้วยความเร็วสูงกว่ารุ่นก่อนหน้า และนั่นหมายความว่าแชสซีส์จะรองรับการกระแทกได้มากขึ้น”
“ขณะเดียวกัน ชอคอับ Fox แบบไลฟ์ วาล์ว ยังลดแรงสั่นสะเทือนของแชสซีส์ได้มากกว่ารุ่นก่อนหน้าเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วระดับเดียวกัน รถคันนี้จึงนับว่าเป็นการยกระดับมาตรฐานรถกระบะขึ้นไปอีกขั้น”
อีกขั้นของการควบคุม
Ford Ranger Raptor รุ่นปัจจุบันดุดันยิ่งขึ้นเพราะชอคอับ Fox แบบไลฟ์ วาล์ว มอบการควบคุมทั้งแบบพาสซีฟและกึ่งแอคทีฟ
ภายในกระบอกชอคอับ Fox ประกอบไปด้วยช่องบายพาสส์ซึ่งเป็นทางผ่านของน้ำมันที่มีความลื่นเป็นพิเศษด้วยส่วนผสมของเทฟลอน ไหลผ่านภายใน และภายนอกของลูกสูบ และไหลกลับออกมาทางช่องบายพาสส์ โดยวิศวกรของ Ford และ Fox เองเป็นผู้พัฒนาโครงสร้างที่พิถีพิถันของ Ride Zone ภายในกระบอกชอคอับนี้
“Ride Zone เป็นกลไกที่ทำให้ชอคอับสร้างแรงต้านในบริเวณที่มีการสั่นสะเทือน ช่วยให้คุณนั่งรถได้สบายบนทางราบ และยังช่วยซึมซับแรงกระแทกได้ทีบนเส้นทางที่สมบุกสมบันมากขึ้น”
Ride Zone นี้เองช่วยสร้างเอกลักษณ์ให้รถ Ford Ranger Raptor ทำงานอย่างหนัก และใช้เวลานานกว่าจะวางตำแหน่งโซนต่างๆ ของชอคอับอย่างแม่นยำเพื่อให้รถ Ford Ranger Raptor ปรับการทำงานของช่วงล่างตามสภาพพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว และตอบสนองต่อการสั่งการของผู้ขับขี่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
แมตต์ ให้ข้อมูลอีกว่าการขับขี่ใน "โหมดปกติ" ของ Ford Ranger Raptor อาศัยการทำงานของชอคอับจากฟังค์ชันของระบบไลฟ์ วาล์วเพียงเล็กน้อย “เราต้องการรักษา "ความนุ่มสบายราวกับพรมวิเศษ" ที่ลูกค้าประทับใจจาก Ford Ranger Raptor รุ่นแรกเอาไว้ ชอคอับจึงทำงานในโหมดนี้แบบพาสซีฟเป็นส่วนใหญ่”
แต่หากใช้ "โหมดสปอร์ท" ชอคอับจะทำงานหนักขึ้นผ่านระบบไลฟ์ วาล์ว เพื่อให้รถยึดเกาะถนนได้ดีเมื่อเข้าโค้ง
“คุณอาจจะปรับรถเป็นโหมดสปอร์ทบนถนนที่ไม่คดเคี้ยวมากนัก ระบบช่วงล่างก็จะตอบสนองด้วยการสร้าง แรงต้านเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเส้นทางเริ่มคดเคี้ยวมากขึ้น ระบบจะทำงานแบบแอคทีฟมากขึ้นทันที สมรรถนะของระ บบที่ปรับจูนช่วงล่างได้ภายในเสี้ยววินาทีนี้เองสะท้อนให้เห็นความเป็นรถสมรรถนะสูงที่ตอบสนองต่อผู้ขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด”
แมตต์ เสริมต่อว่าเทคโนโลยีไลฟ์ วาล์ว แบบกึ่งแอคทีฟ ในชอคอับ Fox ตอบสนองต่อโหมดการขับขี่แต่ละโหมดแตกต่างกัน ผ่านการควบคุมปริมาณน้ำมันในกระบอกชอคvy[
เซนเซอร์รอบรถจะทำหน้าที่วัดการหมุนพวงมาลัย แรงเหยียบบนคันเร่ง แรงเบรค การเร่งของแชสซีส์ ความเร็วรอบ และระยะห่างตัวถังจากพื้นถนน รวมกันมากถึง 500 ครั้ง/วินาที โดยระบบไลฟ์ วาล์ว จะวางแผน วิเคราะห์ และอ้างอิงชุดข้อมูลอัลกอริธึมต่างๆ จากนั้นจึง "คาดการณ์ และเตรียมพร้อม" ให้รถตอบสนองต่อการขับขี่ตามรูปแบบที่ผู้ขับเลือก และตามสภาพเส้นทางที่ต้องเผชิญ
“โดยทั่วไปแล้ว ในการปรับแต่งระบบช่วงล่าง เราต้องเลือกว่าจะให้รถขับได้สบายบนทางเรียบ หรือรับแรงกระ แทกได้ดีบนเส้นทางออฟโรด และยังต้องเลือกระหว่างความสามารถในการยึดเกาะถนน กับความสบายภายในห้องโดยสาร” แมตต์ กล่าว “แต่ Ford Ranger Raptor ได้ทลายกำแพงข้อจำกัดที่เคยมี โดยระบบไลฟ์ วาล์ว แบบกึ่งแอคทีฟ คือ ตัวช่วยสำคัญที่ช่วยให้รถตอบสนองทุกสภาพถนนได้อย่างดีเยี่ยมแบบเรียลไทม์”
หมายเหตุ
1 ควรศึกษาคู่มือประจำรถเสมอก่อนขับขี่ในโหมดออฟโรด ทำความรู้จักสภาพเส้นทาง และใช้อุปกรณ์นิรภัยที่เหมาะสม