EV พลิกโลก ! รถยนต์ไฟฟ้า 3 รุ่นที่เตรียมพลิกโฉมวงการยานยนต์ !

รถยนต์ไฟฟ้ากำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงบ้านเราที่มียอดจองเข้ามาอย่างล้นหลามจนแทบส่งมอบไม่ทัน อย่างไรก็ตามโลกยานยนต์มีการพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง เราเลือกรถยนต์ไฟฟ้า 3 รุ่นที่มีความ “สุดยอด” ในแต่ละด้าน และเตรียมพลิกวงการยานยนต์ให้เปลี่ยนโฉมโดยสิ้นเชิง !  

1. Pininfarina Battista : ไฮเพอร์คาร์ อัตราเร่งสถิติโลก !

Pininfarina เดิมเป็นที่รู้จักกันดีของสำนักออกแบบรถยนต์ที่สร้างผลงานอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ รถยนต์หลายรุ่นที่ถูกยกย่องว่ามีเส้นสายที่สวยงามลงตัวเข้าขั้น “คลาสสิค” เป็นผลจากการออกแบบของสำนักแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ทางสำนักออกแบบมีบทบาทใหม่ นั่นคือ การเป็นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง และผลงานชิ้นเอกอันแรก คือ Pininfarina Battista ไฮเพอร์คาร์พลังงานไฟฟ้า กับมอเตอร์ไฟฟ้าพลังสูงถึง 1,900 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด มหาศาลมากมาย ที่ 234.6 กก.-ม. ! ชุดแบทเตอรีถูกพัฒนาโดยค่าย Rimac ผู้ผลิตไฮเพอร์คาร์พลังงานไฟฟ้าสุดร้อนแรง ผนวกกับการพัฒนาตัวถังให้มีน้ำหนักโดยรวมที่เหมาะสม ส่งผลให้อัตราเร่งของ Battista เข้าใกล้ความเป็น “สถิติโลก” อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 1.86 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ใน 4.75 วินาที ในพริบตา ! บ่งบอกให้เห็นขีดสุดของเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถสร้างอัตราเร่งได้เหนือชั้นไม่แพ้เครื่องยนต์สันดาป กับราคาที่ในเบื้องต้นที่ประมาณ 2,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 75,000,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า !  

2. Tesla Semi : รถบรรทุกใหญ่ หัวใจรักษ์โลก !

พูดถึงรถยนต์ไฟฟ้า หลายคนย่อมนึกถึงค่ายรถแห่งนี้เป็นลำดับแรกๆ แต่ครั้งนี้ Tesla สร้างความแตกต่าง กับการเปิดตัว Semi รถยนต์บรรทุกหัวลากพลังงานไฟฟ้า ขนาดตัวใหญ่โต พร้อมแบทเตอรีความจุมหาศาล หมายจะให้เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้งานรถบรรทุกขนส่งเป็นระยะทางไกลที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย เพื่อเป้าหมายสำคัญ คือ การลดมลภาวะต่อสภาพแวดล้อม เส้นสายของ Tesla Semi เน้นความทันสมัย ปราดเปรียว ระยะโอเวอร์แฮงด้านหน้าที่กระชับสั้น (เพราะไม่ต้องติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดใหญ่เหมือนรถบรรทุกดั้งเดิม) การลู่ลมของตัวรถช่วยให้มีการประหยัดพลังงานไฟฟ้าไปในตัว โดยเฉพาะการแล่นเป็นระยะทางไกล ห้องโดยสารออกแบบได้ล้ำสมัยตามสไตล์ของ Tesla มีความใกล้เคียงกับรถยนต์ร่วมค่ายหลายรุ่น นั่นคือ การปราศจากปุ่มกดแบบดั้งเดิม แทนที่ด้วยจอภาพขนาดใหญ่ 2 ชุด ผู้ขับจะนั่งตรงกึ่งกลางห้องโดยสาร มีทัศนวิสัยที่มองเห็นได้รอบคัน กับพวงมาลัยทรงเรียบ ด้านข้างเป็นที่วางของ และแก้วน้ำ/ขวดน้ำ ส่วนสเปคเบื้องต้นของแบทเตอรี คือ 2 ทางเลือก 600 และ 1,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง มีระยะทำการสูงสุดที่ 483 และ 804 กม. ตามลำดับ อัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชม. (ประมาณ 96.5 กม./ชม.) ในเวลา 20 วินาที (เมื่อบรรทุกน้ำหนักสูงสุด) โดย Tesla Semi ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 3 ชุดด้วยกัน ล่าสุดมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางแล้วที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีลูกค้ารายใหญ่เจ้าแรก นั่นคือ บริษัท Pepsi เตรียมใช้งาน Tesla Semi เป็นหนึ่งในรถบรรทุกหลัก  

3. BYD Seagull : ปฐมบท รถยนต์ไฟฟ้า แบทเตอรี โซเดียม-ไอออน !

ท่ามกลางรถยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาในแง่ของสมรรถนะ หรือความใหญ่โตของตัวถัง ค่าย BYD กำลังจะเขย่าวงการ ด้วยการเตรียมเปิดตัว Seagull แฮทช์แบคขนาดใหญ่ ที่เตรียมพลิกวงการด้วยแบทเตอรีชนิดใหม่ นั่นคือ โซเดียม-ไอออน เนื่องจากหนึ่งในปัญหาระยะของรถยนต์ไฟฟ้า คือ ราคาของแร่ลิเธียมที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จากปริมาณความต้องการที่มากขึ้น (ไม่ใช่แค่รถยนต์ไฟฟ้า แต่ยังใช้งานกับอุปกรณ์ไฟฟ้ามากมาย รวมถึง โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ) ส่งผลให้ในอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าอาจมีต้นทุนที่สูงขึ้นตาม ทำให้ในหลายวงการพยายามคิดค้นวัตถุดิบที่จะใช้ผลิตแบทเตอรีมาทดแทนแร่ลิเธียม หนึ่งในนั้น คือ แร่โซเดียมที่หาได้ทั่วไปในหลายพื้นที่ รวมถึงประเทศไทยที่มีการวิจัย และพัฒนาแบทเตอรีแบบ โซเดียม-ไอออน ด้วยเช่นกัน ! แม้ในปัจจุบันจะมีข้อมูลในเบื้องต้นว่า ประจุไฟฟ้า และการเก็บพลังงานไฟฟ้า อาจยังไม่เทียบเท่าแบทเตอรีแบบ ลิเธียม-ไอออน ได้ 100 % แต่ประสิทธิภาพโดยรวมอาจยังเพียงพอต่อรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ใช้งานกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีพละกำลังเหมาะสม ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กดังกล่าวมีราคาที่ “เอื้อมถึงได้” สำหรับลูกค้าหลายคน ทาง BYD จึงเตรียมนำมาใช้งานกับแอทช์แบคขนาดเล็กรุ่นใหม่ ชื่อว่า Seagull มีกำหนดเปิดตัวภายในปีนี้ เป็นที่จับตามองว่า แบทเตอรี โซเดียม-ไอออน จะมีอนาคตที่สดใสมากน้อยแค่ไหน (หมายเหตุ: รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้จะเปิดตัวในอนาคตอันใกล้ จึงมีเพียงภาพกราฟิคเบื้องต้นเท่านั้น ยังไม่มีการเผยโฉมคันจริงในตอนนี้)   รถยนต์ไฟฟ้ายังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อีกมากมายที่เตรียมเปิดตัวในตลาดโลก ทั้ง 3 รุ่นที่เราคัดมาในคอลัมน์นี้ เชื่อว่าจะเป็น “จุดเปลี่ยน” ของวงการยานยนต์ และนำไปสู่ความหลากหลายที่ยั่งยืนของรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเป็นรถยนต์กระแสหลักมากขึ้นเรื่อยๆ กับความสุดยอดที่ไม่ใช่แค่เรื่องสมรรถนะ แต่ยังรวมถึงการเป็นยานยนต์ปลอดมลพิษ และมีความเป็นกลางทางคาร์บอน ตั้งแต่กระบวนการผลิต จนถึงการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ดังกล่าว