ระเบียงรถใหม่
เปิดตัว Audi A8 รุ่นปรับโฉมปี 2022

ในปี 1982 Ferdinand Piëch วิศวกรชาวออสเตรีย และประธานกรรมการบริหารกลุ่ม Volkswagen Group ได้ลงนามในข้อตกลง กับบริษัทอลูมิเนียมของสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบ และพัฒนารถยนต์ ที่มีน้ำหนักเบากว่ารถรุ่นอื่นๆ ในระดับเดียวกัน (เพื่อชดเชยข้อด้อยของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักกว่าระบบขับเคลื่อนล้อหลังของคู่แข่งประมาณ 100 กก.)
หลังจากนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ 1994 Audi A8 รถซีดานรุ่นเรือธงเจเนอเรชันแรก จากค่ายสี่ห่วง ก็ถือกำเนิดขึ้นมา แม้ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Audi ได้พัฒนาเปิดตัวรถเอสยูวี และรถครอสส์โอเวอร์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แต่ซีดานขนาดใหญ่อย่าง A8 รุ่นที่ 4 ที่เปิดตัวไปเมื่อ 4 ปีก่อน ยังคงถูกพัฒนาปรับเปลี่ยมโฉมแบบ Facelift ให้มีความหรูหราทันสมัย และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะรุ่นพิเศษ Audi A8 L Horch ถูกเสริมความหรูหรา เพิ่มความยาวของฐานล้อเพื่อตลาดในประเทศจีนโดยเฉพาะ ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นคู่แข่ง Mercedes-Maybach S-Class (เมร์เซเดส-มายบัค เอส-คลาสส์) หรือเทียบชั้นรถหรูอย่าง Bentley Flying Spur (เบนท์ลีย์ ฟลายอิง สเปอร์) เลยทีเดียว
Audi A8 L Horch เป็นรถที่มีพื้นฐานมาจาก A8 L รุ่นฐานล้อยาว แต่ถูกเพิ่มความยาวตัวถังเป็น 5,450 มม. ยาวกว่า A8 L รุ่นก่อนปรับโฉม 13 ซม. ด้านหน้าได้รับการออกแบบใหม่ ด้วยกระจังหน้าดีไซจ์นใหม่ที่กว้างขึ้น ตกแต่งด้วยโครเมียมเป็นเงาวาว ไฟหน้า Digital Matrix LED ของ Audi ซึ่งใช้ Micromirrors 1.3 ล้านตัว เพื่อแยกแสงออกเป็นแต่ละพิกเซล คล้ายกับพโรเจคเตอร์ดิจิทอล ซึ่งจะทำให้ไฟหน้าของรถ ปล่อยกลุ่มแสงเฉพาะในเลนคนขับเท่านั้น ทำให้ไม่รบกวนสายตาผู้ที่ขับสวนมา
ติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว การตกแต่งภายในเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย มาพร้อม Audi Virtual Cockpit รุ่นล่าสุด จอแสดงผล Head-up คอนโซลกลาง ติดตั้งจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว และ 8.6 นิ้ว สำหรับสั่งการเมนูต่างๆ ที่นั่งผู้โดยสารตอนหลัง มีจอแสดงผลขนาด 10.1 นิ้ว และชุดควบคุมเมนูต่างๆ อยู่บริเวณตรงกลางที่วางแขน ประดับด้วยสัญลักษณ์ลายนูน "Horch" ที่หมอนหนุนหลัง และที่พนักวางแขนด้านหลัง มีโลโกเรืองแสงบนธรณีประตูด้านข้าง เมื่อเข้าไปในรถ มีอุปกรณ์เสริม ได้แก่ ตู้แช่พร้อมช่องบาร์ โต๊ะ คอนโซลกลางแบบพับได้
ขุมพลังของ A8 L Horch มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ พร้อมระบบ Mild Hybrid 48 โวลท์ ให้กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro สำหรับประเทศจีนโดยเฉพาะ ส่วน A8/A8 L ของยุโรปนั้น เครื่องยนต์ยังคงใช้ขุมกำลังเดิมแบบ 6 สูบ ทั้งดีเซล 3.0 TDI และเบนซิน 3.0 TFSI ให้กำลัง 286 แรงม้า และ 335 แรงม้า ระบบส่งกำลังเป็นแบบพลัก-อิน ไฮบริด
Audi A8 L 60 TFSI e quattro (เอ 8 แอล 60 ทีเอฟเอสไอ อี กวัตตโร) เป็นเครื่องยนต์เบนซิน TFSI แบบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร เสริมด้วยแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนความจุ 14.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง และมอเตอร์ไฟฟ้า 100 แรงม้า ทั้งระบบให้กำลังสูงสุด 449 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร ที่ 1,250 รตน.
จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.9 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. การขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 135 กม./ชม. ส่วนระยะทางขับขี่ได้ไกลสุด 46 กม. อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยที่ 37-40 กม./ลิตร
ในรุ่นตัวแรงอย่าง S8 ที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง V8 ขนาด 563 แรงม้า มีระบบกันสะเทือนแบบแอคทีฟ ที่สามารถปรับได้ตามลักษณะของพื้นถนน เฟืองท้ายแบบสปอร์ทสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที
A8 ได้เพิ่มเทคโนโลยีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ระบบช่วยจอดรถระยะไกลของ Audi ทำให้รถสามารถเคลื่อนเข้า และออกจากพื้นที่จอดรถขนาน หรือจอดเข้าช่องจอดได้โดยอัตโนมัติ โดยที่คนขับไม่จำเป็นต้องอยู่ในรถ ระบบความปลอดภัย 360 องศา สามารถยกตัวรถขึ้นขณะถูกกระแทกทางด้านข้าง เพื่อปกป้องผู้โดยสาร ระบบ Adaptive Cruise Control ปรับความเร็วโดยอัตโนมัติ
Audi จะวางจำหน่าย A8 Facelift ในยุโรปตั้งแต่เดือนธันวาคม โดยราคาในประเทศเยอรมนีสำหรับรุ่นพื้นฐานเริ่มต้นที่ 99,500 ยูโร ส่วน Audi A8 L Horch จะเปิดตัวอย่างป็นทางการในงาน Guangzhou Auto Show 2021 ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ประเทศจีน 

