รถล่าสุด
[รีวิว] เจาะสเปค Haval H6 Hybrid รุ่นจำหน่ายในประเทศไทย !
คลิพรีวิว Haval H6 Hybrid โดยทีมงานของ AutoinfoOnline
"Autoinfo Online" ได้รับเชิญจาก Great Wall Motor ประเทศไทย ให้ร่วมสัมผัสตัวจริงของ Havel H6 Hybrid (ฮาวัล เอช 6 ไฮบริด) แบบ New Normal หลังได้ยลโฉมให้คนไทยได้เห็นเป็นครั้งแรกในโลกไปแล้ว ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ 2021 ที่ผ่านมา ความน่าสนใจอยู่ที่ ครั้งนี้เป็นสเปคที่จำหน่ายจริงในประเทศไทย ... หน้าตาจะเป็นอย่างไร แตกต่างจากสเปคเมืองนอกแค่ไหน ไปดูกัน Haval เป็นแบรนด์รถยนต์ 1 ใน 5 แบรนด์ของ Great Wall Motor ที่ทำตลาดเฉพาะรถยนต์อเนกประสงค์ เอสยูวีเท่านั้น มาตั้งแต่ปี 2013 มียอดขายสะสมทั่วโลกมากกว่า 6.5 ล้านคัน ได้รับยกย่องให้เป็นแบรนด์รถเอสยูวีระดับโลกในปี 2018 และมีจำหน่ายมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก สำหรับในประเทศจีน Haval ยังถูกจัดอันดับเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีมูลค่าสูงสุดของจีน ด้วยมูลค่าแบรนด์ 6.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังเป็นรถประเภทเอสยูวีที่สามารถรักษายอดขายอันดับ 1 ได้เป็นเวลาถึง 11 ปีติดต่อกัน โดยมี Haval H6 เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยยอดขายรวมกว่า 3 ล้านคัน นับตั้งแต่เปิดตัว Haval H6 Hybrid เผยโฉมเป็นครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย ในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ 2021 นับเป็นเจเนอเรชันที่ 3 ที่มาพร้อมนวัตกรรม และเทคโนโลยีทันสมัย ผสานกับดีไซจ์นที่บึกบึน รูปลักษณ์ภายนอกของ Haval H6 Hybrid ถูกออกแบบตามหลักสุนทรียศาสตร์ โดยใช้เส้นโค้งที่เรียบง่าย ผสมผสานกันเส้นสายอื่นๆ อย่างประณีต ด้วยการออกแบบด้านหน้าที่หรูหรา ประณีตงดงาม (Exquisite Front Design) เส้นสายรอบตัวรถที่มีเอกลักษณ์ (Body Waistline) ไฟหน้าแบบ LED อัจฉริยะ (Intelligent LED Headlamp) หลังคาพาโนรามิคซันรูฟขนาดใหญ่ (Panoramic Sunroof) ไฟท้ายเป็นแถบ LED พาดยาวจากซ้ายจรดขวา (LED Taillight Strip) ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ดูใหญ่โตและสวยงาม (19” Alloy Wheel) โดยตัวรถมีขนาด กว้าง 1,886 มม. ยาว 4,653 มม. สูง 1,724 มม. และระยะฐานล้อ 2,738 มม. จึงนับว่ามีขนาดใหญ่กว่า C-SUV ทั่วไป ภายในถูกออกแบบอย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ด้วยการดีไซจ์นคอนโซลแบบทูโทน จากสีที่หรูหราอย่างโรสโกลด์ ตัดกับสีกแรนด์เพียโนบแลค ที่เข้ากับโครเมียม และไฟ Ambient Light ได้เป็นอย่างดี มาตรวัด Multi-Display ถูกออกแบบให้ลอยตัวจากคอนโซล พร้อมจอ Infotainment ขนาดใหญ่ และ Head Up Display (HUD) แสดงภาพข้อมูลการขับขี่อย่างครบครัน พวงมาลัย Multi-Function ทรง 3 ก้านแบบสปอร์ท เกียร์ไฟฟ้าสไตล์หมุน (Electronic Shifter) และที่ชาร์จแบบไร้สาย (Wireless Charger) เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกอิสระซ้าย/ขวา พร้อมตัวกรอง CN95 และช่องแอร์ด้านหลัง รวมถึงเบาะคู่หน้าแบบไฟฟ้าคู่ ด้านขุมพลัง Havel H6 Hybrid มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร เทอร์โบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวมสูงสุด 243 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 54.4 กก.-ม. (530 นิวตัน-เมตร) โดยมีระบบส่งกำลังแบบไฮบริด 2 ตัว อยู่ที่เครื่องยนต์ 1 ตัว และมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอีก 1 ตัว โดยสามารถปรับโหมดการขับขี่ได้ถึง 4 แบบ ได้แก่ โหมดมาตรฐาน, โหมดสปอร์ท, โหมดประหยัด และโหมดสภาพถนนลื่น เพื่อตอบสนองการใช้งานที่แตกต่างกัน Haval H6 Hybrid ยังมาพร้อมออพชันเสริมมากมาย โดยชูสโลแกน LIFE+ (LIFE Plus) ซึ่งสามารถตีความหมายแต่ละตัวอักษรออกมาได้ดังนี้ L หมายถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ Level 2 ที่มาพร้อม 22 ฟังค์ชันอัจฉริยะ ที่ช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อาทิ - ระบบช่วยจอดรถยนต์อัตโนมัติ (Integration Auto Parking: IAP) ประกอบด้วยกล้อง 360 องศา และเซนเซอร์อุลทราโซนิค สามารถค้นหาที่จอดรถ ตรวจจับสิ่งกีดขวาง ค้นหาพื้นที่ว่างสำหรับจอดรถยนต์ โดยสามารถแนะนำวิธีการจอดรถได้อย่างถูกต้อง และคำนวณพื้นที่จอดรถได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถช่วยจอดรถได้ทั้งในรูปแบบการถอยเข้าช่องจอด การจอดขนานเส้นทางเดินรถ และการจอดตามแนวเฉียง - ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (Auto Reversing Assistance: ARA) ระบบจะสามารถจดจำเส้นทาง เมื่อรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วต่ำกว่า 30 กม./ชม. โดยสามารถถอยหลังกลับตามเส้นทางเดิมได้ ด้วยระยะทางถึง 50 ม. - ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (Wisdom Dodge System: WDS) ระบบจะช่วยตรวจจับรถบรรทุก และรถอื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่ เพื่อควบคุมให้รถยนต์รักษาระยะห่างจากรถบรรทุก โดยหลังจากวิ่งผ่านรถบรรทุกแล้ว รถยนต์จะกลับเข้าสู่กลางเลนตามปกติ ทั้ง 3 ระบบนี้ ถือเป็นระบบความปลอดภัยระดับพรีเมียมในยุโรป และถือเป็นครั้งแรกที่มีในรถที่มีขนาด และระดับราคาเดียวกันในตลาดประเทศไทยเวลานี้ นอกจากนี้ ยังมีระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะอื่นๆ อาทิ - ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC) ระบบที่จะระบุเส้นทางด้านหน้าของตัวรถ พร้อมประสานการทำงานของระบบเบรค และระบบควบคุมเครื่องยนต์ เพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถยนต์คันหน้า และระบบช่วยหยุดรถยนต์และออกตัว (Stop-And-Go) เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ - ระบบแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา (360 ° Surrounding Camera) การใช้กล้องรอบทิศทางความละเอียดสูงระดับ 4 ล้านพิกเซล ในการแสดงภาพรอบตัวรถยนต์สามารถมองเห็นสภาพถนนรอบตัวรถได้อย่างง่ายดาย หรือเมื่อต้องขับขี่รถยนต์ในถนนที่แคบ หรือที่จอดรถ I: Intelligence V3.5 ระบบอัจฉริยะที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เช่น ระบบโต้ตอบด้วยเสียง (Voice Interaction) ระบบอินเตอร์เนทอัจฉริยะ (Intelligent Internet) รวมไปถึงระบบหน้าจออัจฉริยะ ที่ช่วยให้เชื่อมต่อ และค้นหาข้อมูลการเดินทางได้อย่างชาญฉลาด F: FOTA ระบบการอัพเกรดโปรแกรมออนไลน์ สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยการอัพเกรด Firmware ได้เอง ผ่านระบบออนไลน์ โดยไม่จำเป็นต้องเอารถเข้าศูนย์บริการ ไม่ว่าจะเป็นระบบการขับขี่อัจฉริยะ ระบบขับเคลื่อน และระบบส่งกำลัง E: EYE Q4 ชิพอัจฉริยะที่ประมวลผลได้รวดเร็วขึ้น สามารถประมวลผลภาพจากกล้องหลายตัวได้ในเวลาเดียวกัน และยังสามารถรักษาเสถียรภาพในการทำงานได้ดีหากมีการชน หรือมีอุบัติเหตุ พร้อมกันนี้ Great Wall Motor ยังวางแผนเปิด Partner Store ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งผู้บริโภคจะได้พบกับโชว์รูม และศูนย์บริการกว่า 17 แห่งทั่วประเทศ โดยครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ได้แก่- กรุงเทพฯ และปริมณฑล 8 แห่ง
- ชลบุรี 3 แห่ง
- ระยอง 1 แห่ง
- เชียงใหม่ 1 แห่ง
- ขอนแก่น 1 แห่ง
- นครราชสีมา 1 แห่ง
- สงขลา 1 แห่ง
- ภูเก็ต 1 แห่ง
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสม
คอลัมน์ Online : รถล่าสุด (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/368372