เรื่องน่ารู้
Elon musk สร้างประวัติศาสตร์ SpaceX จรวดเอกชนลำแรกที่พามนุษย์ไปอวกาศ
ในที่สุดความฝันของ Elon Musk ก็เป็นความจริง เมื่อโครงการ SpaceX สามารถพามนุษย์ทะยานสู่อวกาศได้สำเร็จจรวด Falcon 9 ในโครงการ SpaceX ของ Elon Musk สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการพานักบินอวกาศของนาซา 2 คน มุ่งหน้าไปสถานีอวกาศนานาชาติ กลายเป็นจรวดพาณิชย์ของเอกชนลำแรก ที่พามนุษย์ขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จ และเปิดมิติใหม่ของการเดินทางในอวกาศ Elon Musk นอกจากประสบความสำเร็จกับยอดจำหน่ายรถยนต์ Tesla ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดแล้ว ยังเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท SpaceX บริษัทเอกชนด้านอวกาศ ที่มีเป้าหมายเพื่อต้องการให้การสำรวจอวกาศ มีราคาถูกลงและสามารถดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้ โดยการนำเอาชิ้นส่วนต่างๆ ของจรวด และยานอวกาศ กลับมาใช้ใหม่ โดยติดระบบนำร่องจอด และถังเชื้อเพลิงให้กลับมายังฐานได้ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เวลา 02.22 น. (ตามเวลาประเทศไทย) นักบินอวกาศของนาซา 2 คน คือ Doug Hurley และ Bob Behnken ได้เดินทางด้วยรถ Tesla Model X เพื่อไปยังฐานปล่อยจรวดที่ศูนย์อวกาศ Kennedy รัฐฟลอริดา เพื่อขึ้นจรวด Falcon 9 ในภารกิจ Demo-2 ทะยานขึ้นจากพื้นโลก โดยใช้เวลา 19 ชั่วโมง ไปยังสถานีอวกาศ ISS การปล่อยจรวดดำเนินไปอย่างราบรื่น Elon Musk ได้กล่าวว่า "ตอนนี้ผมรู้สึกตื้นตันไปหมดเลย ผมทำงานมา 18 ปีเพื่อความสำเร็จในวันนี้" แต่ผู้ก่อตั้ง SpaceX ยังไม่หยุดฝันแค่นี้ เขายังบอกต่อว่า การเดินทางของ Falcon 9 จะเป็นการปูทางครั้งแรกในการเดินทางของมนุษย์ เพื่อไปตั้งรกราก และสร้างอารยธรรมบนดาวอังคาร นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ ได้บินไปยังรัฐฟลอริดา เพื่อชมการปล่อยจรวด และกล่าวคำปราศรัยต่อพนักงานขององค์การนาซา และ SpaceX โดยกล่าวว่า นี่คือวันที่พิเศษ พร้อมกับยกย่อง Elon Musk และกล่าวว่าการปล่อยจรวดเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า อุตสาหกรรมอวกาศเชิงพาณิชย์ คือ สิ่งที่เป็นไปได้ในอนาคต ทางบริษัท SpaceX ได้เตรียมพร้อมสำหรับการร่อนลงกลับสู่พื้นโลกของจรวดท่อนแรก ซึ่งสามารถลงจอดอย่างนุ่มนวลบนเรือควบคุมทางไกลของบริษัท SpaceX ชื่อ Of Course I Still Love You ที่ลอยลำอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก หลังจากปล่อยจรวดเพื่อส่ง 2 นักบินอวกาศขึ้นสู่อวกาศเพียง 9 นาที เดิมภารกิจ Demo-2 มีกำหนดการส่งนักบินอวกาศในวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2563 เวลา 03.33 น. (ตามเวลาประเทศไทย) แต่เนื่องจากสภาพอากาศบริเวณฐานปล่อยจรวดไม่เอื้ออำนวย จึงประกาศเลื่อนการปล่อยจรวดออกไป จรวด Falcon 9 ของ SpaceX ได้นำ Crew Dragon ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของยานอวกาศที่บรรทุกนักบินอวกาศ 2 คน และเทียบท่าที่สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ในเวลา 21.29 น. วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 (ตามเวลาประเทศไทย) จากบทความที่เรียบเรียงโดย ดร. มติพล ตั้งมติธรรม ผู้เชี่ยวชาญดาราศาสตร์ จากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ระบุว่า นับเป็นครั้งแรกที่นักบินอวกาศออกจากพื้นดินของสหรัฐอเมริกาเพื่อไปยังอวกาศ นับตั้งแต่สหรัฐอเมริกา และองค์การอวกาศนาซา ได้ยกเลิกโครงการกระสวยอวกาศไปในปี 2011 ก็ไม่เคยมีนักบินอวกาศคนใดบินออกจากแผ่นดินสหรัฐอเมริกาเพื่อไปยังอวกาศอีกเลย ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐอเมริกาไม่มีนักบินอวกาศมา 9 ปีแล้ว แต่เป็นเพราะในการส่งนักบินอวกาศไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ ตลอด 9 ปีที่ผ่านมานั้น ได้กระทำโดยผ่านทางจรวดโซยุส (Soyuz) ของรัสเซียทั้งหมด ด้วยความท้าทาย และค่าใช้จ่ายสูงในการบรรทุกน้ำหนักนี่เอง จึงทำให้การนำกลับมาใช้ใหม่เป็นเรื่องที่ต้องใช้ต้นทุนสูง จรวดในยุคแรกจึงถูกออกแบบให้ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เปรียบได้กับการต่อเครื่องบินหนึ่งลำ บินไปถึงที่หมาย แล้วก็ทิ้งเครื่องบินนั้นไป ซึ่งเป็นการใช้งานที่ฟุ่มเฟือยมาก ซึ่งหากเทียบค่าใช้จ่ายแล้ว การส่งกระสวยอวกาศขึ้นไปครั้งหนึ่ง จะใช้เงินประมาณ 450 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่จรวด Soyuz ของรัสเซีย มีค่าใช้จ่ายประมาณ 80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ/หัว เท่านั้น นาซาจึงยกเลิกโครงการกระสวยอวกาศ และหันมาใช้จรวด Soyuz ของรัสเซีย ในการส่งนักบินอวกาศไปยัง ISS ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ อีกเหตุผลหนึ่งที่นาซาถอนตัวจากการส่งนักบินอวกาศ และไม่พัฒนาระบบจรวดที่จะส่งมนุษย์ใดขึ้นไปอีก ก็เพราะนาซาเล็งเห็นว่า ในอนาคตการเดินทางทางอวกาศควรเป็นเรื่องของบริษัทเอกชน และรัฐควรที่จะถอยตัวออกจากการยึดครองการเดินทางอวกาศเอาไว้เพียงฝ่ายเดียว จึงเลือกที่จะ Outsource การส่งนักบินอวกาศให้กับบริษัทเอกชนแทน ปัจจุบันมีบริษัท Boeing และ SpaceX ที่ได้เซ็นสัญญากับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ในการพัฒนาระบบขนส่งมนุษย์ไปยังอวกาศทางพาณิชย์ Commercial Crew Development (CCDev) การปล่อยให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมพัฒนานั้น ก่อให้เกิดการแข่งขัน ลดการผูกขาด และช่วยพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันสมัย รวมถึงช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้อย่างมาก อย่างจรวด Soyuz ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เริ่มผลิตขึ้นมาตั้งแต่ปี 1966 และบินไปแล้วกว่า 1,700 ภารกิจ นับเป็นระบบจรวดที่มีการใช้งานบ่อยที่สุดในโลก แต่ถึงอย่างไร เทคโนโลยีที่ใช้อยู่เกือบทั้งหมดนั้น ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากยุคสงครามเย็นเท่าใดนัก และนักบินอวกาศที่เดินทางไปยังสถานีอวกาศก็ยังต้องเรียนรู้ และศึกษาการกดปุ่มควบคุม และสวิทช์แบบแอนาลอก และแผงไฟมากมายในภาษารัสเซีย ตรงกันข้ามกับภาพที่เราเห็นภายใน Crew Dragon ของ SpaceX กลับเป็นภาพนักบินอวกาศในชุดดีไซจ์นสุดเก๋ ปุ่มกดถูกแทนที่ด้วยหน้าจอแบบ Touchscreen นอกจากนี้ จรวด Falcon 9 ของ SpaceX ยังมีค่าใช้จ่ายเพียงประมาณ 58 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น ซึ่งถูกกว่าโครงการกระสวยอวกาศเดิมเป็นอย่างมาก และยังถูกกว่าจรวด Soyuz ของรัสเซียอีกด้วย ภารกิจ Demo-2 นี้ เป็นเพียงภารกิจ "ทดสอบ" การขนส่งมนุษย์ขึ้นไปยังวงโคจรที่เทียบเท่ากับสถานีอวกาศนานาชาติ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีภารกิจอีกมากที่จะตามมาในภายหลัง รวมไปถึงภารกิจของยานจากบริษัท Boeing อีกด้วย ยิ่งกว่านั้น การส่งมนุษย์กลับขึ้นไปยังอวกาศจากผืนดินโดยภาคเอกชนในครั้งนี้ ยังนับเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของแผนระยะยาวของสหรัฐอเมริกา ที่จะส่งมนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์ และดาวอังคาร ในอนาคตอันใกล้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่แน่ชัดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก็คือยุคสมัยของการเดินทางไปยังอวกาศโดยภาคเอกชน ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เรื่องโดย : พรเทพ คงลาภอำนวย
คอลัมน์ Online : เรื่องน่ารู้
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/329250