Polestar 2 บแรนด์รถไฟฟ้าจาก Volvo เริ่มผลิตแล้วที่ประเทศจีน

https://www.youtube.com/watch?v=KfXPlUmOHCI&feature=youtu.be หลังจากที่ประเทศจีนเริ่มควบคุมการระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ และเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุม Polestar ก็ได้เริ่มการผลิต Polestar 2 ที่โรงงานในเมือง Zhejiang ประเทศจีน ซึ่งเป็นโรงงานเดียวกับที่ผลิต Volvo XC40 และ Lynk & Co และ Polestar 2 ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อต่อกรกับ Tesla Model 3 โดยเฉพาะ Polestar 2 ชุดแรกที่ถูกผลิตออกมาจากโรงงานเป็นรุ่นทอพของ Polestar 2 ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ โดยทั้ง XC40 Recharge และ Polestar 2 ต่างก็ถูกติดตั้งแบทเตอรีขนาด 78 กิโลวัตต์ชั่วโมง และมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้กำลังรวมสูงสุด 402 แรงม้า และแรงบิด 67.3 กก.-ม. (660 นิวตัน-เมตร)​ สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 4.7 วินาที โดยเวอร์ชันของ Polestar มีระยะทางขับขี่ราว 470 กม./การชาร์จไฟ 1 ครั้ง เทียบกับ XC40 ที่มีระยะทางขับขี่เพียง 400 กม. เนื่องจากตัวถังมีขนาดเล็ก และน้ำหนักที่เบากว่า โดยรุ่นมอเตอร์เดี่ยวจะถูกผลิตตามออกมาเป็นทางเลือกในภายหลัง Polestar 2 มีความสามารถในการลากจูงที่ดีที่สุดในกลุ่ม "รถยนต์ไฟฟ้าขนาดคอมแพคท์" ด้วยน้ำหนักลากจูงสูงสุดถึง 1,500 กก. ซึ่งมากกว่า Jaguar I-Pace ถึง 2 เท่า และใกล้เคียงกับ Audi e-Tron   Polestar 2 ยังมาพร้อมชุดแต่งที่เพิ่มสมรรถนะของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็น ช่วงล่างปรับได้จาก Ohlins และเบรคจาก Brembo แบบ 4 ลูกสูบ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกจาก Polestar จะมีบางส่วนคล้ายกับ Volvo เนื่องจากถูกพัฒนาขึ้นบนพแลทฟอร์ม “Compact Modular Architecture” เช่นเดียวกับ XC40 โดยพแลทฟอร์มดังกล่าวรองรับทั้งเครื่องยนต์สันดาป, พลัก-อิน ไฮบริด และขุมพลังไฟฟ้าล้วน ขณะที่เวอร์ชันไฟฟ้าถูกเสริมด้วยโครงสร้างซับแรงกระแทกแบบพิเศษ และมีห้องเก็บสัมภาระใต้ฝากระโปรงหน้าแบบเดียวกับ Tesla นอกจากนี้ Polestar 2 ยังเป็นรถรุ่นแรกที่ใช้ระบบ Infotainment จากแอนดรอยด์ ที่มี Google Assistant, Google Maps และ Google Play Store มาให้ด้วย ระบบนี้ถูกพัฒนาโดย Google ตั้งชื่อระบบปฏิบัติการนี้ว่า Android Automotive ซึ่งถูกติดตั้งลงในรถ Volvo ด้วยเช่นกัน Polestar ยังคงมีปรัชญาการออกแบบรถยนต์ที่ไม่ต่างไปจาก Volvo ในแง่ของความปลอดภัย และยังคงมีเทคโนโลยีความปลอดภัยรุ่นใหม่ ที่จะเริ่มใช้เป็นครั้งแรกใน Polestar 2 คือ ระบบ Deflector SPOC block (Severe Partial Offset Crash) โดยมี SPOC block ที่เป็นบลอคชิ้นส่วนอลูมิเนียมที่แข็งแกร่งติดตั้งอยู่ที่ด้านล่างของ Firewall (โครงสร้างที่กั้นระหว่างห้องเครื่องยนต์ และห้องโดยสาร) บริเวณด้านข้างของรถทั้ง 2 ด้าน ออกแบบมาเพื่อลดความเสียหายที่เกิดจากล้อ และวัตถุอื่นๆ เข้าสู่ห้องโดยสาร โดยเปลี่ยนทิศของแรงให้เลี้ยวเบนออกไป ซึ่งเป็นแรงที่เกิดจากการชนด้านหน้าแบบเฉียง หรือแบบครึ่งคัน (Offset Frontal Crash ) Polestar 2 ยังมีระบบ Front Lower Load Path (FLLP) ใหม่ ที่ช่วยปกป้องผู้โดยสาร และแบทเตอรีจากการกระแทกด้านหน้า โดยแบทเตอรีถูกออกแบบ และติดตั้งบริเวณพื้นของห้องโดยสาร ระหว่างเพลาหน้า และเพลาหลัง เพื่อกระจายน้ำหนักหน้า/หลังให้สมดุลที่สุด ช่วยทำให้ขับขี่ดีขึ้นเพราะมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ และเพิ่มความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วยโครงนิรภัยอลูมิเนียมห่อหุ้มป้องกันแบทเตอรี และยังช่วยการกระจายแรงปะทะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ลดความเสียหายต่อโครงสร้างรถยนต์ และผู้โดยสาร การปกป้องแบทเตอรีในกรณีที่เกิดการชนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพราะจะเกิดอันตราย ถ้าแบทเตอรีถูกทำให้เสียหาย โดยแบทเตอรีจะตัดการเชื่อมต่อจากส่วนที่เหลือของรถโดยอัตโนมัติ โดย Polestar 2 มีระบบ Acoustic Vehicle Alert System (AVAS) พร้อมชุดลำโพงที่แจ้งคนเดินถนน และรถยนต์คันอื่นว่ายานพาหนะกำลังเคลื่อนที่ (เพราะการเคลื่อนของรถไฟฟ้านั้นไม่มีเสียง) “เราตั้งใจไม่ต้องการให้ Polestar 2 ไม่มีเสียงเหมือนหุ่นยนต์ หรือยานอวกาศ” Thomas Ingenlath ซีอีโอของ Polestar กล่าว “เราต้องการเสียงที่เบาและเป็นธรรมชาติ ซึ่งเพียงแค่แจ้งให้คนเดินถนนทราบว่ารถยนต์กำลังเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกันเราต้องการให้ Polestar 2 ส่งเสียงที่ไม่เหมือนใคร” เขากล่าวเสริม Polestar และ Volvo รุ่นถัดไป จะติดตั้งระบบถุงลมนิรภัยด้านหน้าใหม่ทั้งหมด ถุงลมนิรภัยใหม่นี้จะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกตลาด โดยจะมีการติดตั้งตำแหน่งของถุงลมเพื่อการป้องกันเพิ่มเติมสำหรับแขนขาด้านในของผู้โดยสารด้านหน้า ทำให้ผู้ขับขี่เสมือนอยู่ในรังไหมขณะเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ลดความรุนแรง และความเสียหายที่จะเกิดขึ้น "Polestar 2 เปิดตัวเทคโนโลยี Advanced Driver Assistance System (ADAS) รุ่นใหม่ ซึ่งจะเข้ามาใช้ในกลุ่มรถยนต์ Volvo เช่นกัน ซึ่งของเดิมจะเป็น Pilot Assist ซึ่งเป็นระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง ซึ่งให้ความช่วยเหลือเร่งความเร็ว การเบรค และควบคุมพวงมาลัยอัตโนมัติ ที่ความเร็วสูงสุดถึง 130 กม./ชม.  ADAS เป็นระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ประกอบด้วย เรดาร์ และเซนเซอร์อุลทราโซนิค การเร่ง หรือลดความเร็วขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่แท้จริงของรถ และสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นรถคันอื่นบนถนน ทางโค้ง ทางขึ้น/ลงเขา และสามารถพัฒนาต่อยอดไปได้อีก เพื่อวางรากฐานสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติในอนาคต”