ธุรกิจ
เมร์เซเดส-เบนซ์ จับมือ สวทช. ลงนามความร่วมมือถ่ายทอดเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และการทดสอบแบทเตอรีลิเธียมเป็นแห่งแรกในไทย และอาเซียน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี และสนับสนุนการทดสอบแบทเตอรีในยานยนต์ไฟฟ้า โดยมอบให้ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอีเลคทรอนิคส์ (PTEC) สวทช. เป็นแลบทดสอบแบทเตอรียานยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพของประเทศ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต เช่น การจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบแบทเตอรี และห้องปฏิบัติการทดสอบยานยนต์อัตโนมัติ เป็นต้น โดยตั้งเป้าให้เกิดการใช้งานห้องปฏิบัติการทดสอบแบทเตอรีในประเทศไทย และพัฒนาทักษะองค์ความรู้ของผู้ปฏิบัติงานทดสอบในประเทศ เพื่อสนองนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และพัฒนาฐานการผลิตแบทเตอรีให้เกิดในประเทศไทยอย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล
ดร. ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การพัฒนาแบทเตอรีลิเธียม เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ท้าทายที่สุด เนื่องจากสามารถเก็บกักพลังงานได้ดี น้ำหนักเบา และสามารถชาร์จซ้ำๆ ได้หลายครั้ง จนทำให้ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทุกค่าย ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน แม้กระทั่งในไทย แข่งขันกันพัฒนาแบทเตอรีเพื่อใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลที่สุดต่อการชาร์จ 1 ครั้ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากลิเธียม ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแบทเตอรี เป็นสารที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนง่าย และอาจเกิดการติดไฟขึ้นได้ ดังนั้นจึงต้องมีการควบคุมกระบวนการผลิต การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ การดูแลรักษาและการซ่อมบำรุงที่ถูกต้อง หลายประเทศได้กำหนดมาตรฐานแบทเตอรีชนิดนี้ และบังคับใช้ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้ขับขี่และผู้สัญจรร่วมทางให้มีความปลอดภัยมากขึ้น โดยจะต้องแสดงความปลอดภัยของแบทเตอรีจะใช้เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้ ซึ่งการได้มาของเครื่องหมายรับรองแบทเตอรี มีกระบวนการต่างๆ ทั้งการทดสอบในห้องปฏิบัติการทดสอบ การตรวจโรงงานผลิต และสุ่มตลาดเพื่อควบคุมคุณภาพ ซึ่งนับเป็นต้นทุนสำคัญของผู้ประกอบการในประเทศ เนื่องจากการส่งแบทเตอรีที่มีขนาดใหญ่ เช่น แบทเตอรีของรถยนต์ออกไปทดสอบยังห้องปฏิบัติการต่างประเทศ และการส่งจำหน่ายในต่างประเทศเป็นเรื่องยุ่งยากมาก ต้องเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ ไม่ว่าจะขนส่งทางถนน ทางเรือ หรือเครื่องบิน นอกจากนี้ แต่ละประเทศก็มีข้อกำหนดย่อยของตนเอง จนทำให้โรงงานแบทเตอรีที่จะตั้งขึ้นในประเทศไทยเกิดอุปสรรคอย่างมาก และการลงทุนเครื่องมือทดสอบมีมูลค่ามหาศาล
ดร. ณรงค์ กล่าวต่อว่า สวทช. และรัฐบาล จึงเล็งเห็นพร้อมให้ความสำคัญในการดำเนินการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพของประเทศ (National Quality Infrastructure: NQI) เพื่อทำให้ประเทศไทย ยังคงเป็นประเทศที่พร้อมในการลงทุนของอุตสาหกรรมยุคใหม่ และด้านเทคโนโลยีที่สูงขึ้น ตอบสนองผลิตภัณฑ์ new-s curve และ Industry 4.0 โดย สวทช. ให้ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) จัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบแบทเตอรี ทั้งในระดับเซลล์ โมดูล และแบทเตอรีแพค และการจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบยานยนต์ไร้คนขับแห่งอนาคต แบบครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทย อาทิ การทดสอบประสิทธิภาพการชาร์จ-ดิสชาร์จเพื่อประมาณอายุการใช้งาน และการรับประกันอายุแบทเตอรีที่ยาวนาน, การทดสอบความปลอดภัยของแบทเตอรีเมื่อเกิดการจมน้ำ จากสถานการณ์น้ำท่วมถนนและการตกลงในน้ำ, การทดสอบความปลอดภัยของแบทเตอรี เมื่อขับบนถนนทางลูกรัง ถนนดิน ซึ่งมีฝุ่นมากของประเทศไทย, การทดสอบสภาวะการทำงานของแบทเตอรีภายใต้การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบทันทีทันใด จากร้อนสู่เย็นแบบทันทีทันใด เพื่อส่งแบทเตอรีไปจำหน่ายต่างประเทศ, การทดสอบการทำงานของแบทเตอรีด้วยการจำลองสภาวะการสั่นสะเทือน การกระแทก เมื่อขับบนถนน ขรุขระ การตกหลุมบ่อบนถนน ตกไหล่ทาง กระแทกคอสะพาน ฯลฯ เป็นต้น
PTEC สวทช. ห้องปฏิบัติการทดสอบแบทเตอรีเป็นแลบทดสอบสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ในประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่แบทเตอรีใช้งานในยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังก้าวไปถึงพลังงานสำรองสำหรับบ้าน โรงงานอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้าได้อีกด้วย โดยห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานสากล จะทำให้อุตสาหกรรมในประเทศประหยัดค่าทดสอบ ค่าขนส่ง สามารถแก้ไขปัญหาผลิตภัณฑ์แบทเตอรี ที่ไม่เป็นไปตามที่ออกแบบ และที่สำคัญไม่ต้องเผชิญปัญหากฎหมายต่างประเทศหลายครั้ง ก่อนผลิตออกจำหน่ายเชิงปริมาณมาก
โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามากกว่า 20 ปี สวทช. ได้จัดตั้งศูนย์ทดสอบต่างๆ ขึ้น และให้บริการด้านวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตามมาตรฐานสากล เช่น การทดสอบยานยนต์ไฟฟ้า การตรวจวิเคราะห์และทดสอบความปลอดภัยของอาหาร การวิเคราะห์ประสิทธิภาพและทดสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์นาโน และการทดสอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ฯ เพื่อดำเนินการพัฒนากลไกทางธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งด้านภาษี การอบรม การเชื่อมโยงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมไปสู่เชิงพาณิชย์ สร้างการยอมรับในบัญชีจัดซื้อของภาครัฐ และการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูงจากต่างประเทศ เพื่อนำมาพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศทั้ง SME และ Start-up การดำเนินงานเหล่านี้จำเป็นต้องมีผู้รับการถ่ายทอด และปรับให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศ เพื่อการขับเคลื่อนผลักดันสู่ภาคอุตสาหกรรมเศรษฐกิจในประเทศต่อไป
อันดเรอัส เลทเนร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสู่รูปแบบการสัญจรในอนาคต รวมถึงการก้าวเข้าสู่การเป็นบแรนด์รถยนต์ที่ไม่ปล่อยไอเสียเลย เมร์เซเดส-เบนซ์ จึงได้มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยียนตรกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในมาเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ มาอย่างต่อเนื่อง สำหรับในประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่งฯ ได้เริ่มเดินสายการผลิตรถยนต์พลัก-อิน ไฮบริด (EQ Power) ภายใต้บแรนด์เทคโนโลยี EQ มาตั้งแต่ปี 2558 โดยปัจจุบันบริษัทฯ ผลิตรถยนต์พลัก-อิน ไฮบริด รวม 6 รุ่น ทั้ง C-Class E-Class และ S-Class และนอกจากการผลิตรถยนต์พลัก-อิน ไฮบริดแล้ว ในปีที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ยังได้ร่วมมือกับ ธนบุรีประกอบรถยนต์ฯ ลงทุนสร้างโรงงานแบทเตอรี ซึ่งนับเป็นแห่งที่ 6 ของโลก ยกระดับการผลิตในไทยเพื่อสนองนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมด้านยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมรองรับความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาค และเพื่อเป็นหลักประกันว่าโรงงานในประเทศไทยจะมีเทคโนโลยีอันล้ำหน้าไว้พร้อมสำหรับรถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า และรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบทเตอรีเพียงอย่างเดียว (Battery Electric Vehicle-BEV)”
“แบทเตอรี” ถือเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากกระบวนการผลิตที่ต้องตรงตามมาตรฐานของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่งฯ แล้ว แบทเตอรียังจะต้องได้รับการทดสอบจากศูนย์ทดสอบแบทเตอรีระดับโลก ซึ่งขั้นตอนการทดสอบเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่าแบทเตอรีของรถยนต์ เมร์เซเดส-เบนซ์ จะมีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยสูงสุดต่อผู้ขับขี่” และเพื่อเป็นการตอกย้ำถึงแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนของบริษัทฯ กับการก้าวไปอีกขั้นสู่การเป็นบแรนด์รถยนต์ที่ไม่ปล่อยไอเสียเลยในอนาคต ในปีนี้บริษัทฯ จึงได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. ถ่ายทอดเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และแบทเตอรีลิเธียม เป็นแห่งแรกในไทย และอาเซียน โดยมอบให้ PTEC สวทช. เป็นแลบทดสอบแบทเตอรียานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศไทย เริ่มต้นจากการทดสอบแบทเตอรี สำหรับรถยนต์พลัก-อิน ไฮบริด ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ รวมถึงการจัดตั้งแลบทดสอบแบทเตอรี ยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ประเภท BEV เพื่อรองรับการมาถึงของรถยนต์กลุ่มนี้ในอนาคต โดยทั้ง 2 หน่วยงานจะร่วมมือกันในด้านการวิจัยพัฒนา และถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อให้ห้องปฏิบัติการทดสอบแบทเตอรีในประเทศไทย มีมาตรฐานเดียวกับศูนย์ทดสอบแบทเตอรีระดับโลก รวมถึงการพัฒนาทักษะองค์ความรู้ของผู้ปฏิบัติงานทดสอบในประเทศ เพื่อเป็นการยกระดับความสามารถคนไทยจากการศึกษาเรียนรู้เทคโนโลยีอันล้ำสมัยกว่าชิ้นส่วนทั่วไป ซึ่งจะส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต” อันดเรอัส กล่าวทิ้งท้าย
เรื่องโดย : ลิขิต น้าประเสริฐ
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสม
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/286948