ช่วงระหว่างรอเทคโนโลยีแบทเตอรียุคใหม่ที่วิ่งได้ไกลมากขึ้น และใช้เวลาในการชาร์จสั้นมาก ไม่ต่างอะไรจากรถที่ใช้เครื่องยนต์เป็นเชื้อเพลิง เทคโนโลยี HYBRID เองยังคงมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะทางวิ่ง เพราะสามารถหาปั๊มน้ำมันได้ไม่ยาก ใช้เวลาน้อยในการเติมเชื้อเพลิง มีความประหยัดมากกว่าเครื่องยนต์สันดาป รวมถึงมีมลพิษต่ำกว่า และเทคโนโลยีระบบ HYBRID ยุคใหม่สามารถวิ่งได้หลากหลายรูปแบบ รวมถึงการวิ่งในโหมด EV ได้ไกลขึ้น วันนี้ต้องบอกเลยว่าเทคโนโลยีจากฝั่งแผ่นดินใหญ่เอง มีความก้าวหน้าไปมาก สามารถแข่งขันกับเทคโนโลยีเดียวกันทั้งฝั่งญี่ปุ่น และยุโรปได้สบาย ถ้าติดตามข่าวสารรถยนต์อย่างต่อเนื่องจะเห็นว่า ระยะทางการวิ่งต่อน้ำมัน 1 ถังนั้นไปได้ไกลมากขึ้น
เทคโนโลยีที่เราจะแนะนำในครั้งนี้เป็นเทคโนโลยีล่าสุดจากค่าย MG (เอมจี) ที่จะนำมาใช้ใน MG3 (เอมจี 3) รุ่นล่าสุด ทาง MG เรียกว่าระบบ HYBRID+ ที่ผ่านมารถยนต์จากค่าย MG ได้นำ MG VS (วีเอส) มาให้คนไทยได้สัมผัส ด้วยจุดเด่น คือ เรื่องของสมรรถนะ ส่วนเรื่องความประหยัดนั้นไม่โดดเด่นเท่าไร แต่หลังจากนี้เราจะได้เห็นเทคโนโลยีนี้ในรุ่นอื่นๆ ด้วย ซึ่งมันน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
จุดเด่น คือ การออกแบบชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดเกียร์อัตโนมัติเข้าด้วยกัน ระบบส่งกำลัง HYBRID TRANSMISSION ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้าแบบ E-AT 3 อัตราทดเกียร์ ปรับการทำงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งให้กำลังมากที่สุดในคลาสส์เดียวกัน ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 75 กิโลวัตต์/102 แรงม้า ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์/136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวทันเมตร/25.5 กก.ม. แรงสุดในกลุ่ม B-SEGMENT สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 8 วินาที และอัตราเร่ง 80-120 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5 วินาที ใช้แบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาดใหญ่ ในรูปแบบ CELL-TO-PACK ความจุถึง 1.83 กิโลวัตต์ชั่วโมง พร้อมระบบ KERS (KINETIC ENERGY RECOVERY SYSTEM) ที่สามารถปรับการชาร์จกลับได้ถึง 3 ระดับ ชาร์จสูงสุด ปานกลาง และมาตรฐาน นอกจากจะช่วยให้ขับสนุกแล้ว ยังเป็นการชาร์จไฟกลับไปยังแบทเตอรีด้วย ทำให้น้ำมัน 1 ถังสามารถวิ่งได้ไกลถึง 800 กม.
จุดเด่น คือ โหมดการขับเคลื่อน 8 รูปแบบ ที่ผสมผสานการขับเคลื่อนแบบ EV เข้ากับการขับขี่ในรูปแบบ SERIES HYBRID ที่เน้นใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนเป็นหลัก เครื่องยนต์จะทำหน้าที่แค่การชาร์จแบทเตอรี ทำให้ได้ความประหยัดสูงสุด เมื่อต้องการสมรรถนะก็จะปรับมาขับเคลื่อนในรูปแบบ PARALLEL HYBRID ทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์จะทำงานร่วมกัน เพื่อให้ได้สมรรถนะสูงสุด ระบบ HYBRID+ สามารถตอบสนองการขับขี่แบบรถไฟฟ้าที่มีการตอบสนองฉับไว และให้ความสะดวกสบายในการเดินทางเพราะไม่ต้องแวะชาร์จ