กำลังจากเครื่องยนต์ที่จะส่งไปยังล้อขับเคลื่อนนั้น มีข้อจำกัดพอสมควร เพราะการเร่งรอบเครื่องยนต์นั้น จะต้องรอให้เกิดการเผาไหม้จึงจะได้กำลังเครื่องยนต์ออกมา บางช่วงจังหวะเวลามันอาจจะไม่ทันต่อการใช้งาน
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ กำลัง และแรงบิดของเครื่องยนต์ จะมีเพียงพอใช้งานก็ต่อเมื่อถึงรอบของเครื่องยนต์ตัวนั้นๆ กว่าที่กำลังจากเพลาข้อเหวี่ยงจะไปยังฟลายวีล ผ่านชุดเกียร์ เกียร์ทรานส์เฟอร์ ผ่านเพลากลาง ผ่านเฟืองท้ายหน้า/หลัง เพลาขับ ไปสู่ล้อทั้ง 4 ข้าง มีชิ้นส่วนมากมายเป็นส่วนประกอบ ทำให้แรงบิดจากเครื่องยนต์สูญเสียไปกับชิ้นส่วนต่างๆ มากมาย
นอกจากชิ้นส่วน และการสูญเสียกำลังแล้ว ยังมีปัญหาในการขับขี่ในเส้นทางทุรกันดารอีก เช่น กรณีล้อด้านใดด้านหนึ่งติดหล่ม ต้องมีระบบเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งระบบช่วยเหลือด้วยอีเลคทรอนิคส์ และแบบกลไก ซึ่งระบบจะทำงานได้ ต้องอาศัยกำลังจากเครื่องยนต์เป็นหลัก ส่วนระบบช่วยเหลือนั้น ก็อาจทำงานได้สมบูรณ์ หรือไม่สมบูรณ์บ้าง เพราะเงื่อนไขสภาพแวดล้อมมากมาย
มอเตอร์ไฟฟ้า ให้แรงบิดสูงสุด ตั้งแต่เริ่มทำงาน
ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า จุดเด่นที่เหนือกว่าเครื่องยนต์ คือ กำลัง และแรงบิดสูงสุด มาทันทีไม่ต้องรอรอบจากการเผาไหม้ และการสั่งงานด้วยระบบอีเลคทรอนิคส์มีความรวดเร็วมาก สามารถส่งกำลัง และแรงบิดไปยังล้อขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็ว ฉับไว นับตั้งแต่กดคันเร่งลงไป และการส่งถ่ายกำลังไปยังล้อทั้ง 4 ข้างนั้น ยังทำได้รวดเร็วกว่า และยังสามารถแบ่งถ่ายแรงบิดแยกจากกันได้อย่างอิสระ ระหว่างมอเตอร์ขับเคลื่อนล้อหน้า และมอเตอร์ขับเคลื่อนล้อหลัง ในรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ต้นกำลังเป็นเครื่องยนต์นั้น ยากที่จะแบ่งถ่ายกำลังได้อย่างอิสระ เหมือนเช่นมอเตอร์ไฟฟ้า
มอเตอร์ไฟฟ้ามีความสามารถในการขับเคลื่อน เพราะสามารถทำงานได้อิสระ ช่วยให้ระบบช่วยเหลือ หรือโหมดการขับขี่ต่างๆ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และเหนือกว่า เพราะไม่ต้องรอแรงบิด และไม่มีชิ้นส่วนในการส่งถ่ายกำลังมากมายเหมือนเก่า อีกไม่นาน เราจะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะทยอยออกมา บทความแนะนำ

