อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครสามารถตอบได้อย่างชัดเจนว่าเราจะเข้าสู่ภาวะปกติใหม่เมื่อใด และก่อนหน้านั้นสถานการณ์จะรุนแรงเพียงใด เพราะแม้กระทั่งประเทศที่ดูเหมือนจะควบคุมสถานการณ์การระบาดได้แล้วและเริ่มเปิดให้กิจกรรมต่างๆ กลับมาดำเนินการได้ เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ยังพบผู้ติดเชื้อใหม่ได้อีกระลอก ดังนั้น ความเร็วในการเข้าสู่ภาวะ NEW NORMAL จึงขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 3 ประการ คือ
การให้ความร่วมมือของประชาชนในการยับยั้งการระบาดของโรค โดยประเทศหรือเมืองใดมีความสามารถจัดการได้ดี ก็จะสามารถกลับมาประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เร็ว
ความสำเร็จในการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรค ซึ่งขึ้นอยู่กับศักยภาพ และความร่วมมือของการวิจัย การทดสอบ และความสามารถในการผลิตวัคซีนในจำนวนที่มากพอสำหรับประชากรโลก
การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา โดยหากเชื้อโรคกลายพันธุ์ไปมากจนทำให้วัคซีนที่คิดค้นขึ้นมาไม่สามารถป้องกันได้ ก็อาจจะส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ และนานาประเทศจะกลับมาใช้มาตรการห้ามเดินทาง และปิดเมืองอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้วิกฤตยืดเยื้อยาวนาน และรุนแรงขึ้น
วิกฤตการระบาดของโรค COVID-19 ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นปรากฏการณ์เดียวที่จะสร้างภาวะปกติใหม่ แต่ได้เข้ามาเป็นตัวเร่งกระแสต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว โดยที่เด่นชัดที่สุด คือ การเร่งให้เกิดการใช้เทคโนโลยีโดยเฉพาะช่องทางออนไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค และอาหารสำเร็จรูป ชำระเงิน ติดต่อเพื่อนฝูง และเสพสื่อบันเทิง จากเดิมที่เทคโนโลยีหลายอย่างเป็นเพียง “ทางเลือก” สำหรับหลายคน แต่ปัจจุบันได้กลายมาเป็น “ความจำเป็น” ที่ช่วยปลดลอคข้อจำกัดต่างๆ เมื่อคนใช้เทคโนโลยีบ่อยขึ้นจนเกิดความคุ้นเคยก็มักจะเปิดใจยอมรับเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งการใช้เทคโนโลยีนี้สอดคล้องกับหนึ่งใน MEGATRENDS ที่สำคัญ จึงสามารถคาดการณ์ได้ว่ากระแสการใช้เทคโนโลยีนี้จะมีผลต่อเนื่องในระยะยาว และกลายเป็นภาวะปกติใหม่ในที่สุด และจะช่วยลดแรงต้านต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี หรือการออกกฎเกณฑ์ควบคุมเทคโนโลยีในอนาคตอีกด้วย
นั่นเป็นสิ่งช่วยให้ผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ หันกลับมามองแนวทางการทำงานในลักษณะของ วิถีชีวิตใหม่ หรือ NEW NORMAL เพิ่มขึ้น เราก็ได้แต่หวังว่า ค่ายรถยนต์ต่างๆ จะสามารถนำเอาแนวคิดของการทำงานลักษณะใหม่ๆ เข้ามาใช้ เพื่อปรับปรุงการทำงานให้สามารถเข้ากับการทำงานในรูปแบบใหม่ เพื่อความก้าวหน้าในอนาคต บทความแนะนำ

