ปิด (A/C) แอร์ ทุกครั้งก่อนถึงที่หมาย...จริงไหม ?

เขาว่า : ควรปิดสวิทช์ (A/C) แอร์ทุกครั้ง ก่อนถึงที่หมาย 3 นาที…จริงไหม ?

 

ไม่จริง : แม้ปิดสวิทช์ (A/C) เพราะต้องการให้อีแวพอเรเตอร์ถูกลมเป่าจนแห้งจากน้ำ แต่ “น้ำ” ไม่ได้เป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้รังผึ้งของ อีแวพอเรเตอร์ผุกร่อน

  • จุดประสงค์ของ “ผู้แนะนำ” ต้องการให้อีแวพอเรเตอร์ถูกลมเป่าจนแห้ง เพราะถ้ายังเปียกอยู่จะถูกกัดกร่อนให้ผุเร็วขึ้น “เป็นความเข้าใจผิดครับ” เพราะ “น้ำ” ไม่ได้ทำให้รังผึ้งของอีแวพอเรเตอร์ผุกร่อน การผุกร่อนเกิดจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์ที่ทับถมเป็นเวลานาน   • มีการแนะนำต่อๆ กันมาว่า ก่อนถึงที่หมายประมาณ 3 นาที ให้ปิดสวิทช์ทำความเย็น (A/C) เพื่อให้อีแวพอเรเตอร์ หรือตู้แอร์ หายเย็น จะได้ไม่เกิดการ กลั่นตัวเป็นน้ำ จากไอน้ำในอากาศที่ไหลผ่าน โดยให้เปิดพัดลมเพียงอย่างเดียว เพื่อต้องการให้อีแวพอเรเตอร์ถูกลมเป่าจนแห้ง เพราะหากยังเปียกอยู่ จะถูกกัดกร่อนให้ผุเร็วขึ้น...เป็นความเข้าใจผิดครับ เนื่องจาก     1. น้ำไม่ได้ทำให้รังผึ้งของอีแวพอเรเตอร์ผุกร่อน เพราะตอนที่แอร์ทำงาน ไอน้ำในอากาศที่ไหลผ่านมันก็เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว ซึ่งก็คือ น้ำ หมายความว่าอย่างไรซะ มันก็ต้องเปียกอยู่ตลอดเวลา และถึงเปียกไม่มีผลเสียอะไรเลย หากจะผุกร่อน คงมาจากสิ่งสกปรกที่อุดอยู่ในรังผึ้ง เช่น สารอินทรีย์ที่มีต้นกำเนิดมาจากสิ่งมีชีวิต เช่น ขนจากสัตว์ ผมมนุษย์ เส้นใยจากฝ้ายของเสื้อผ้า ฯลฯ สารอินทรีย์เหล่านี้เมื่อถูกน้ำเป็นเวลานาน จะเกิดการย่อยสลาย กลายเป็นกรดกัดกร่อนอลูมิเนียมที่ใช้ทำรังผึ้งของอีแวพอเรเตอร์ ซึ่งเป็นตัวการหลักที่ทำให้ตู้แอร์รั่ว   2. เมื่อปิดสวิทช์ (A/C) ให้คอมเพรสเซอร์หยุดทำงาน การทำความเย็นที่อีแวพอเรเตอร์ ก็ไม่ได้หยุดตามไปในทันทีครับ ความดันของน้ำยาแอร์ในสภาพของเหลวที่ไหลมาจากแผงคอนเดนเซอร์ด้านหน้ารถยังสูงอยู่ และจะถูก พ่นจากเอกซ์แพนชันวาล์ว เข้าไปในรังผึ้งของ อีแวพอเรเตอร์ต่อไป แม้ช่วงนี้จะน้อยลงเรื่อยๆ ไอน้ำในอากาศที่ไหลผ่านรังผึ้ง ก็ยังคงกลายเป็นน้ำเกาะที่รังผึ้งอยู่ดี และมันไม่ได้ให้โทษอะไร เป็นเพียง “น้ำกลั่น” ที่เปียกอยู่เท่านั้น   สรุปแล้ว ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นครับ ปล่อยระบบแอร์ให้อยู่ในสภาพใช้งานปกติ ดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก และลอครถก็เพียงพอ