ขนาดอธิบายอย่างนี้ ท่านก็ยังถามต่อว่า แล้วจะกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างไรบ้าง กูรูท่านว่าการเก็บภาษีสินค้านำเข้าทั้งของจีน และสหรัฐฯ จะมีผลสุทธิที่เป็นลบต่อการส่งออกของไทย ในภาพโดยรวม ปี 2561 ราว 280-420 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณการค้าโลกที่ขยายตัวสูงกว่าที่ประเมินในปีนี้ ยังเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการส่งออกของไทย ให้ยังเติบโตในระดับสูง โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ยังคงมีอย่างจำกัด เพราะเราอาจได้ผลบวกในบางสินค้า และผลกระทบในบางสินค้า
อาทิ สินค้าไทยที่ได้ประโยชน์แทนที่คู่กรณีที่ส่งออกไปสหรัฐฯ มี HDD, ICs, พลาสติค, ชิ้นส่วนยานยนต์, พลาสติค ที่มีมูลค่าเพิ่ม ส่วนที่ส่งออกไปจีน มีพลาสติคขั้นต้น และผลิตภัณฑ์น้ำมันแปรรูป กับส่วนที่ส่งไปสหภาพยุโรป มี เครื่องนุ่งห่ม และผลิตภัณฑ์เหล็กบางชนิด สินค้าไทยที่ถูกกระทบโดยตรง SAFEGUARD มาตรา 201 แผงเซลล์แสงอาทิตย์ และเครื่องซักผ้ากับ NATIONAL SECURITY มาตรา 232 เหล็ก และอลูมิเนียม
ส่วนสินค้าไทยที่ถูกกระทบโดยอ้อม ชนิดที่ผ่านห่วงโซ่การผลิต มี เครื่องใช้ไฟฟ้า อีเลคทรอนิค และพลาสติคขั้นต้นกับผ่านการทุ่มตลาดจากสินค้าจีน ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ในภาพโดยรวมแล้ว ทั้งหมดนี้ ก็ราว 280-420 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คำถามต่ออีกว่า แล้วปีหน้าจะเป็นอย่างไร
อันนี้ก็ต้องดูผลจากการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ก่อน ว่าเสียงของพรรคไหน จะได้เสียงข้างมาก ที่จะสามารถกำหนดนโยบายของตนเองได้ต่อไป รวมทั้งเสียงแซ่ซ้องจากประเทศคู่ค้าอื่นๆ นอกเหนือจาก จีน ที่สหรัฐฯ พาลขึ้นภาษีนำเข้าไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว เอาเป็นว่า ปี 2561 นี้ การส่งออกใน 5 เดือนแรก โตเฉลี่ย 11.6 % โดยเกือบครึ่งหนึ่งมาจากการส่งออกยานยนต์ และอีเลคทรอนิคส์ ซึ่งยังมีแนวโน้มเติบโตดี
ถ้าคิดเป็นมูลค่าส่งออก 5 เดือนแรก เฉลี่ย 20,806 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2561 จะมีมูลค่าเฉลี่ยสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามวัฏจักรการค้าการส่งออกมาทุกปี เลยปรับประมาณการส่งออกในปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 8.8 %
เล่าให้ฟังแค่นี้ น่าจะพอใจชื้นขึ้นมาบ้างนะครับ บทความแนะนำ

