รถขายดี แต่น้ำมันแพง

เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนเมษายน 2018/2017

ตลาดโดยรวม 25.2 % รถยนต์นั่ง -4.0 % รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) 69.5 % รถอเนกประสงค์ (MPV) 180.6 % กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ 5.8 % กระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ -195.4 % อื่นๆ 86.3 %

เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม-เมษายน 2018/2017

ตลาดโดยรวม 15.5 % รถยนต์นั่ง 9.3 % รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) 41.8 % รถอเนกประสงค์ (MPV) 22.8 % กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ 10.7 % กระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ 42.3 % อื่นๆ 13.7 %   ยอดการขายประจำเดือนเมษายน เจริญเติบโตได้ถึง 25.2 % ขายกันทั้งตลาด 79,206 คัน ขณะที่ยอดการขายรวม 5 เดือน ยังเติบโตขึ้นมา 15.5 % ขายกันได้ 316,296 คัน เรียกว่า เติบโตขึ้นมาทุกเดือน อันจะทำให้ยอดโดยรวมขายกันได้ใกล้เคียงกับ 800,000 คันแน่นอนแล้ว   ผลพวงจากยอดขายที่เกิดขึ้น ก็มาจากสถานการณ์การส่งออกของประเทศ ที่ดีวันดีคืน ด้านการท่องเที่ยวก็เติบโตมากขึ้น และราคาสินค้าเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น และที่ต้องยอมรับมากที่สุด เห็นจะเป็นกิจกรรมส่งเสริมการขายของค่ายรถยนต์ ที่โหมกระหน่ำกันมาตั้งแต่ต้นปี ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนการเติบโตของตลาดรถยนต์ทั้งนั้น   ส่วนแนวโน้มต่อเนื่อง ก็มองเอาไว้ว่าดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับข้อเสนอพิเศษจากค่ายรถยนต์ต่างๆ ตลอดจนสถาบันการเงินที่เข้ามา สนับสนุนในด้านดอกเบี้ย และการผ่อนชำระ ส่งผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อรถได้ง่ายขึ้น ถึงแม้ว่าผู้บริโภคบางส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองของไทย และการเมืองระหว่างประเทศ แต่ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์มากนัก   แต่จากการสำรวจการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน สัญญาณการใช้จ่ายครัวเรือนดีขึ้น โดยการใช้จ่ายสินค้าคงทนยังเป็นตัวหนุนหลักของการใช้จ่ายครัวเรือน สอดคล้องไปกับยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ขยายตัว 12.1 % อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายสินค้ากึ่งคงทน และสินค้าไม่คงทน เริ่มเห็นสัญญาณบวกจากการเติบโตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายเสื้อผ้า อาหาร และของใช้ส่วนบุคคล ซึ่งในช่วงที่เหลือของปี 2561 นี้ ภาพการใช้จ่ายครัวเรือนยังคงได้รับแรงหนุนจากการซื้อรถยนต์ ในขณะที่การใช้จ่ายในหมวดสินค้าอื่นๆ จะทยอยปรับตัวดีขึ้น     ผลจากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่าสิ่งที่น่าสนใจสำหรับหนนี้ ก็คือการประกาศฟรีค่าธรรมเนียมบนการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ของธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง มีส่วนช่วยหนุนการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ พบว่า ต้นทุนการทำธุรกรรมทางการเงิน (TRANSACTION COST) ที่ลดลง จูงใจให้ครัวเรือนบางส่วนทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์เพิ่มขึ้น โดย 12.3 % ของครัวเรือนที่ทำการสำรวจซื้อหาสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น ทำให้ครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องไปกับฝั่งครัวเรือนที่มีการค้าขายบนพแลทฟอร์มออนไลน์ที่สามารถขายสินค้าได้เพิ่มขึ้น   หันกลับมาดูเรื่องฮือฮาบนโซเชียลมีเดีย ในห้วงเวลาที่ผ่านมาบ้าง จากราคาน้ำมันที่แพงอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลก แพงขึ้นถึง 20 % ทำให้มีกระแสก่นด่าบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ แต่พุ่งเป้าไปที่บริษัทคนไทยเพียงเจ้าเดียว ทำให้กรรมการผู้จัดการใหญ่ ต้องออกมาโพสต์เฟศบุค ตอบโต้กรณี “หยุดเติมน้ำมัน ปตท.” อย่างรุนแรง คงหาอ่านกันได้ไม่ยากนัก หากยังเป็นสาวกของโซเชียลมีเดียอยู่   ขณะเดียวกัน กระทรวงพลังงานได้ริเริ่มโครงการช่วยดูดซับปริมาณผลิตน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินด้วยการผลิตน้ำมันดีเซลเกรดพิเศษ ที่มีส่วนผสมไบโอดีเซลเพิ่มจาก 7 % สำหรับดีเซลเกรดทั่วไป (B7) เป็น 20 % (B20) เพื่อใช้ในกลุ่มรถบรรทุกและรถโดยสารขนาดใหญ่ โดยจะมีมาตรการจูงใจด้วยราคาขายปลีกต่ำกว่าน้ำมันดีเซลเกรดปกติที่ 3 บาท/ลิตร ซึ่งคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายได้ประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 2018   การจำหน่ายน้ำมันดีเซลเกรดพิเศษ (B20) โดยมีส่วนลดให้ราคาขายปลีกต่ำกว่าดีเซลเกรดปกติที่ 3 บาท/ลิตร จะส่งผลให้ราคาต้นทุนน้ำมันของกลุ่มรถบรรทุกและรถโดยสารขนาดใหญ่ อยู่ในระดับต่ำกว่า 27 บาท/ลิตร จึงไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นค่ารถโดยสารหรือค่าขนส่ง   ในระหว่างที่ยังไม่มีการจำหน่ายน้ำมัน B20 กระทรวงพลังงานจะใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเป็นเครื่องมือในการรักษาระดับราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินกว่า 30 บาท/ลิตร