รู้ทันเทคนิค
3 วิธีดูแลเกียร์อัตโนมัติ
ปัจจุบันนี้รถกระบะขนาด 1 ตัน ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของผู้ใช้รถ เนื่องจากเป็นรถที่มีความอเนก ประสงค์ในการใช้งาน สามารถทดแทนรถเก๋งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีการออกแบบที่นำเอาความหรูหรา และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มารวมไว้ในรถกระบะ ที่มีการนำไปพัฒนาต่อให้เป็นรถอเนกประสงค์ แบบพีพีวี (PPV) จึงไม่น่าแปลกเลยที่รถประเภทนี้จะมีอยู่บนถนนมากมาย ความสะดวกสบายสิ่งหนึ่งสำหรับรถประเภทนี้ที่เจ้าของรถอยากให้มี นั่นก็คือ ระบบเกียร์อัตโนมัติ ระยะแรกๆ ที่ระบบเกียร์อัตโนมัติมีใช้ในรถประเภทนี้ ยังไม่มีความทันสมัย เนื่องจากมีกำลังเครื่องยนต์น้อย เมื่อนำเกียร์อัตโนมัติเข้ามาประจำการ ยิ่งมีปัญหาเรื่องอัตราเร่งที่ไม่ทันใจ
ระบบเกียร์ก็ยังไม่ค่อยทันสมัย การทำงานร่วมกันจึงไม่ลงตัว จนกระทั่งเครื่องยนต์กำลังสูงๆ เริ่มถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ระบบเกียร์อัตโนมัติก็ถูกนำมาใช้มากขึ้น เนื่องจากเครื่องยนต์มีกำลังพอที่จะสร้างความกระฉับกระเฉง เพราะระบบเกียร์อัตโนมัตินั้น จะทำให้กำลังเครื่องยนต์สูญเสียไปกับการปั่นทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ถ้าเครื่องยนต์มีกำลังไม่เพียงพอ ก็จะไม่สามารถพาน้ำหนักตัวเปล่าราวๆ 1.5-1.7 ตัน ให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้ ปัญหาที่ทำให้รถกระบะไม่ค่อยมีความกระฉับกระเฉง เป็นเพราะเรื่องของน้ำหนักตัวเป็นสำคัญ ยิ่งน้ำหนักตัวมาก ยิ่งทำให้ระบบเกียร์ต้องทำงานหนักกว่ารถที่มีน้ำหนักเบากว่า ฉบับนี้เราจะแนะนำเรื่องการบำรุงรักษา ว่าทำอย่างไรให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และป้องกันความเสียหายก่อนเวลาอันควร
ไม่กระแทกคันเร่ง ตอนออกตัว
อย่างแรกที่ต้องจำไว้ก็คือ รถกระบะประเภทนี้มีน้ำหนักตัวมาก โดยมากกว่ารถยนต์นั่งราวๆ ครึ่งตัน การที่จะออกตัวนั้น จำเป็นต้องใช้กำลังจากเครื่องยนต์มากพอสมควร การกดคันเร่งลึกๆ หนักๆ สามารถทำให้ตัวรถมีความกระฉับกระเฉงได้ไม่ยากนัก แต่ผลที่ตามมา ก็คือ เรื่องของความสึกหรอที่จะเกิดมากขึ้นกว่าปกติ แม้ว่าตัวรถจะมีสมรรถนะสูงขึ้นก็ตาม การเร่งลักษณะที่ต้องการความฉับไวนั้นไม่ใช่เรื่องยาก และระยะยาวนั้นมันจะเกิดความเสียหายกับชิ้นส่วนภายในระบบเกียร์ เนื่องจากชิ้นส่วนภายในนั้นมีความละเอียดอ่อน เต็มไปด้วยชิ้นส่วนเล็กๆ มากมาย
นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนลักษณะการขับขี่ให้ใจเย็นมากขึ้น ค่อยๆ กดคันเร่งด้วยความนุ่มนวล สามารถลดการสิ้นเปลืองได้อย่างเห็นผลชัดเจน ลักษณะนิสัยในการขับขี่แบบวัยรุ่นใจร้อน กดคันเร่งเร็วและลึก, ลากรอบเครื่องยาว, ขับรถกระชาก ฯลฯ ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันผิดปกติมากกว่าที่ควรจะเป็น โดยตัวคุณเองสามารถเริ่มได้ทุกครั้งที่คุณนั่งอยู่หลังพวงมาลัย แต่ต้องใช้ความตั้งใจและความพยายามมากหน่อย
การซ่อมแซมเกียร์อัตโนมัตินั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่ามีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงค่อนข้างสูง อย่างน้อยๆ การซ่อมแซมเบื้องต้นก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่หลักหมื่นบาท เพราะการซ่อมแต่ละครั้งนั้น ต้องมีการเปลี่ยนชิ้นส่วน และน้ำมันเกียร์ ร่วมด้วยทุกครั้ง การซ่อมใหญ่ครั้งหนึ่งก็ต้องมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 25,000 บาท หรือ 30,000 บาทขึ้นไป
ยิ่งบรรทุกหนัก ยิ่งต้องระวัง
รูปแบบของตัวรถที่เป็นรถกระบะที่มีพื้นที่สำหรับบรรทุก ก็คงจะหลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะการใช้งานบางครั้งต้องมีการบรรทุกสัมภาระบ้างไม่มากก็น้อย เฉลี่ยราวๆ 200-500 กก. เมื่อมีการบรรทุกหนักมากขึ้น การใช้คันเร่ง และตำแหน่งเกียร์ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะมีผลโดยตรงต่อการสึกหรอของชิ้นส่วนภายในของระบบเกียร์ นอกจากการใช้คันเร่งอย่างนุ่มนวลแล้ว ต้องใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ และความเร็วตัวรถด้วย
ช่วงรอบเครื่องยนต์ที่เหมาะสมในการเปลี่ยนเกียร์สำหรับการใช้งานปกติธรรมดานั้น อยู่ในช่วงรอบเครื่อง 1,800-2,500 รตน. การใช้รอบเครื่องสูงมากกว่านั้น ไม่มีประโยชน์สำหรับการขับขี่ที่บรรทุกหนัก เพราะเป็นย่านที่เครื่องยนต์มีแรงบิดสูง เหมาะกับการฉุดลากน้ำหนัก จะทำให้เครื่องยนต์มีกำลังในการฉุดลากน้ำหนักของตัวรถสบายๆ
ถ้าบรรทุกน้ำหนักมาก การออกตัวอาจจะใช้ตำแหน่งเกียร์ L2 หรือ L เช่นเดียวกับการขึ้นทางชันก็ได้ เพื่อเป็นการรักษารอบเครื่องยนต์ให้เหมาะสม เพราะในตำแหน่งเกียร์ D นั้น อาจจะทำให้เกียร์เปลี่ยนตำแหน่งเสียก่อน ทำให้แรงบิดที่จะส่งไปที่ล้อลดลงไม่เพียงพอกับการฉุดลากน้ำหนักมาก
การเลือกใช้ตำแหน่งเกียร์ต่ำนี้ ใช้เหมือนกับเวลาที่เราขึ้นหรือลงเขา เพื่อรักษารอบเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ดังนั้นต้องจำไว้ว่า เมื่อบรรทุกหนักมากต้องเหยียบเบาๆ เวลาออกตัวโดยใช้ตำแหน่งเกียร์ช่วย เมื่อรถเริ่มลอยตัวแล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วภายหลัง ซึ่งคุณสามารถใช้ความเร็วเดินทางปกติที่ 100-120 กม./ชม. ได้เหมือนเดิม เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงจังหวะที่ลอยตัวแล้ว ปัญหาหลักๆ ที่จะทำให้ระบบเกียร์เสียหาย เป็นจังหวะช่วงออกตัว และช่วงขึ้นทางชันเท่านั้น
ใช้เกียร์ให้ทน ส่งผลเรื่องความประหยัด
ปกติรถยนต์ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ จะมีความสิ้นเปลืองกว่ารถที่ใช้เกียร์ธรรมดาพอสมควร ยิ่งใช้ไม่ถูกวิธี ยิ่งทำให้ผลในเรื่องของความสิ้นเปลืองชัดเจนมากขึ้น มีหลายวิธีในการใช้งานที่จะทำให้เครื่องยนต์ และระบบเกียร์ มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น การอุ่นเครื่องยนต์ให้ถึงอุณหภูมิใช้งานนั้น นับว่าเป็นเรื่องดีมาก เพราะสามารถช่วยให้เครื่องยนต์มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ลดการสึกหรอขณะเครื่องยนต์มีอุณหภูมิต่ำได้มาก เนื่องจากชิ้นส่วนของเครื่องยนต์นั้น ทำมาจากโลหะหลายๆ ชิ้น โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนไหว จำเป็นที่จะต้องได้รับความร้อนระดับที่เหมาะสม เช่นเดียวกับการที่คนเราต้องวอร์มร่างกายก่อนเล่นกีฬา จะได้ไม่เกิดอันตรายจากการออกกำลังกาย เช่น จุกเสียด, กล้ามเนื้ออักเสบ หรือฉีกขาด รวมถึงอาการหายใจ หรือการทำงานของหัวใจผิดปกติ แทนที่เราจะวอร์มอัพอยู่กับที่ เราก็เปลี่ยนมาใช้การเดินช้าๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้นไปจนถึงระดับการวิ่งปกติก็ได้ เช่นเดียวกับรถยนต์ เราต้องเลิกการวอร์มเครื่องอยู่กับที่ได้แล้ว นอกจากจะสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแล้ว ยังเป็นการเพิ่มมลพิษในอากาศด้วย
การกระทำที่เหมาะสมในปัจจุบัน คือ เมื่อเครื่องยนต์ติดและไฟเตือนต่างๆ ดับลง ให้ออกรถได้เลย แต่ต้องแล่นด้วยความเร็วช้าๆ สักครู่หนึ่ง จนกระทั่งเห็นเข็มแสดงความร้อนของเครื่องยนต์สูงขึ้นสักครึ่งหนึ่งของระดับความร้อนปกติ ก็สามารถเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นได้เรื่อยๆ การทำเช่นนี้เหมือนกับการวอร์มอัพด้วยการเคลื่อนที่ช้าๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วมากขึ้นจนถึงระดับปกติ จะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายจากการออกกำลังกาย เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ การวอร์มอัพลักษณะนี้เพียงพอที่จะยืดอายุการใช้งานให้กับเครื่องยนต์ได้แล้ว สิ่งสำคัญ คือ ช่วยลดความสิ้นเปลืองและมลพิษ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการบทความและสารคดี
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2558
คอลัมน์ Online : รู้ทันเทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/13323