รายงาน(formula)
คุ้มครอง คุ้มค่า สารพันปัญหา ประกันภัยรถยนต์
รถยนต์ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ ถูก หรือแพง ล้วนมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ การซื้อ "ประกันภัย" จึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ประกันภัยมีหลายประเภท ให้ความคุ้มครองแตกต่างกัน ยากจะทำความเข้าใจ "ฟอร์มูลา" รวบรวมรายละเอียดของประกันภัยรถยนต์ประเภทต่างๆ มาแนะนำให้เข้าใจง่ายๆ รวมถึงเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประกันภัย ฯ งานนี้ฟรี ! ไม่ต้องจ่ายเบี้ย และไม่เสียค่า เอกซ์เซสส์5 ชั้น ประกันภัยรถยนต์ เรามักจะเรียกประกันภัยรถยนต์เป็น "ชั้น" ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจ แต่จริงๆ แล้ว ประกันภัยรถยนต์แบ่งเป็น "ประเภท" เราจะมาสรุปกันว่า ประกันภัยรถยนต์ที่ได้รับการรับรองในบ้านเรามีกี่ประเภท และแต่ละประเภทเหมาะกับรถ และผู้ขับลักษณะใด ประเภท 1 ให้ความคุ้มครองครอบคลุมสูงสุด คุ้มครองชีวิต ร่างกาย อนามัยของผู้เอาประกันและคู่กรณี คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้เอาประกันและคู่กรณี นอกจากนี้ยังคุ้มครองทรัพย์สินของบุคคลภายนอก เช่น อาคาร บ้านเรือน ร้านค้าที่ได้รับความเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ รวมถึงคุ้มครองรถสูญหาย และไฟไหม้ รู้กันดีอยู่แล้วว่าประกันประเภท 1 ค่าเบี้ยแพงสุด ตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป ความคุ้มครองก็เต็มเหนี่ยว ฉะนั้นรถใหม่ที่ผ่อนกับไฟแนนศ์ จึงมีไฟท์บังคับว่าต้องทำประกันภัยชั้น 1 ในปีแรก แต่ถ้ารถยังใหม่ ถึงจะไม่ได้ผ่อน ก็ควรทำประกันภัยชั้น 1 ไว้ เพื่อรับบริการที่สะดวกสบาย โดยเฉพาะผู้หญิง หรือคนที่ต้องเดินทางคนเดียวเป็นประจำ ประเภท 2 ให้ความคุ้มครองต่อชีวิต ร่างกาย อนามัยของผู้เอาประกันและคู่กรณี คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก เช่น อาคาร บ้านเรือน ร้านค้าที่ได้รับความเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ รวมถึงคุ้มครองรถสูญหาย และไฟไหม้ ประเภทนี้มีคนทำกันไม่มาก ทั้งที่ราคาแค่ประมาณครึ่งหมื่น เพราะคุ้มครองเพียงความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก และรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ เราแนะนำว่าใครที่ไม่สนประกันภัยชั้น 1 และขับรถด้วยความระมัดระวัง ไม่เฉี่ยวชนบ่อยๆ แต่กลัวรถหาย เพราะใช้เป็นแขนขาในการทำธุรกิจ ก็เลือกไปเลย ประเภท 3 ให้ความคุ้มครองต่อชีวิต ร่างกาย อนามัยของผู้เอาประกันและคู่กรณี คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินของคู่กรณีเท่านั้น ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ โดยประกันภัยประเภท 3 นี้ จะไม่คุ้มครองรถยนต์คันที่เอาประกัน หากเกิดการเฉี่ยวชน บริษัทประกันจะคุ้มครองรถ และทรัพย์สินของคู่กรณีเท่านั้น ส่วนการประกันตัวคดีอาญาของผู้ขับขี่ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ อาจมีหรือไม่มี ขึ้นอยู่กับการส่งเสริมการขายของแต่ละเจ้า แนะนำให้เลือกซื้อเจ้าที่รวมสิทธิข้อนี้ไว้ด้วย แม้เบี้ยจะแพงกว่า แต่ถ้าเกิดเรื่องแล้ว คุ้มค่าแน่นอน ประกันประเภทนี้สำหรับคนชอบความประหยัด เหมาะกับคนขับรถน้อย และขับอย่างระมัดระวัง ไม่เฉี่ยวชนใครบ่อยๆ หรือพวกที่อยากทำประกันภัยชั้น 1 แต่บริษัทประกันไม่รับ เพราะรถอายุเกิน 5-7 ปี ประเภท 4 ให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินของคู่กรณีเท่านั้น เป็นประกันภัยที่มีไว้สำหรับดูแลทรัพย์สินของบุคคลภายนอก เหมาะสำหรับเจ้าของรถที่ใช้รถน้อย คล้ายๆ กับการซื้อรถมาเก็บ หรือไว้ขับจ่ายกับข้าว ส่งลูกไปโรงเรียน ค่าเบี้ยอยู่ที่ 1,000 กว่าบาทเท่านั้น คุ้มครองเฉพาะความเสียหายของทรัพย์สินบุคคลภายนอก จึงเหมาะกับคนใช้รถน้อยถึงน้อยมากๆ หรือใช้เส้นทางที่มีรถสัญจรน้อย เช่น ในชนบท และเส้นทางที่ผู้ขับชำนาญเป็นพิเศษ ส่วนความเสียหายต่อชีวิต และร่างกาย ก็ให้ประกันภัยภาคบังคับบุคคลที่ 3 รับผิดชอบไป ประเภท 5 ให้ความคุ้มครองชีวิต ร่างกาย อนามัยของผู้เอาประกันและคู่กรณี คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้เอาประกันและคู่กรณี นอกจากนี้ยังคุ้มครองทรัพย์สินของบุคคลภายนอก เช่น อาคาร บ้านเรือน ร้านค้าที่ได้รับความเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ รวมถึงคุ้มครองรถสูญหาย และไฟไหม้ แต่ความเสียหายต้องเกิดจากคู่กรณีที่เป็นยานพาหนะทางบกเท่านั้น ค่าเบี้ยราว 8,000-10,000 บาท ประหยัดกว่าประกันภัยชั้น 1 พอสมควร สำหรับผู้ใช้รถที่ขับระมัดระวัง เพราะจะคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน เฉพาะกรณีที่เฉี่ยวชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น ถ้าไปชนกำแพง หรือเสาไฟฟ้า ไม่รับเคลม แต่ถ้าใครกลัวรถหาย หรือไฟไหม้มากกว่า ซื้อไว้ได้เลย ตารางแสดงภาพรวม เงื่อนไขความคุ้มครองประกันภัยทุกประเภท เงื่อนไขความคุ้มครอง ประเภท 1 ประเภท 2 2+ ประเภท 3 3 + ประเภท 4 ประเภท 5 1. ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยส่วนเกินวงเงินสูงสุดตาม พรบ. ต่อบุคคลภายนอก / / / / / - / 2. ความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก / / / / / / / 3. รถยนต์สูญหาย/ไฟไหม้ / / / - - - / 4. ความเสียหายต่อรถยนต์ / - / - / - - 5. ความเสียหายต่อรถยนต์เฉพาะคู่กรณีเป็นพาหนะขนส่งทางบก / - / / / / 6. อุบัติเหตุส่วนบุคคล ผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร * * * * * * * 7. การประกันตัวผู้ขับขี่ * * * * * * * / คือ มี, - คือ ไม่มี, * คือ การส่งเสริมการขาย หมายเหตุ: ตารางนี้ เป็นการเปรียบเทียบถึงคุณสมบัติพื้นฐานของประกันภัยรถยนต์ประเภทต่างๆ ส่วนคุณสมบัติพิเศษซึ่งเป็นรายการส่งเสริมการขายของบริษัทประกันภัย กรุณาสอบถาม คปภ. สายด่วน 1186 หรือ www.oic.or.th ตระกูล พลัส + ทางเลือกสุดคุ้ม ปัจจุบันมีประกันภัยรถยนต์รูปแบบใหม่ๆ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในท้องตลาด ซึ่งให้ความคุ้มครองและมีเงื่อนไขต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่พฤติกรรมการใช้รถของแต่ละคน ได้แก่ 2 พลัส ประกันภัยประเภท 2 จะรับผิดชอบคุ้มครองค่าเสียหายในกรณีที่รถยนต์ของผู้เอาประกันภัยสูญหาย หรือเสียหายจากไฟไหม้ รวมถึงค่าเสียหายต่อชีวิต/ค่ารักษาพยาบาล และทรัพย์สินของฝ่ายคู่กรณีเท่านั้น ส่วนทรัพย์สินของผู้เอาประกันนอกเหนือจากนี้ต้องรับผิดชอบเอง อัตราค่าเบี้ยต่อปีอยู่ที่ประมาณ 5,000-8,000 บาท 2+ ที่กำลังได้รับความนิยม มีค่าเบี้ยเริ่มต้นที่ 4,000-7,000 บาท ขึ้นอยู่กับทุนประกัน หรือวงเงินคุ้มครอง สิ่งที่คุ้มครองเพิ่มขึ้นจากประเภท 2 คือ ในกรณีที่ผู้เอาประกันประสบอุบัติเหตุจากยานพาหนะทางบก (รถที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย) หากผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด บริษัทประกันจะชดใช้ให้ทั้ง 2 ฝ่าย แต่มีข้อแม้ว่า ผู้ทำประกันจะต้องร่วมจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (ค่าเอกซ์เซสส์) ครั้งละ 2,000 บาท ในการซ่อมรถตัวเอง ส่วนที่เหลือ บริษัทประกันจะจ่ายให้แต่ไม่เกินวงเงิน ที่ได้ทำสัญญาไว้ และยังครอบคลุมถึงความเสียหายจากกรณีรถหาย หรือไฟไหม้ด้วย จะเห็นว่าประกันภัยประเภท 2+ มีความคุ้มค่าพอสมควร ครอบคลุมกรณีรถหาย และไฟไหม้ จะเป็นรองประกันภัยชั้น 1 ตรงที่ไม่สามารถเคลมกับสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ได้ จะต้องเป็นอุบัติเหตุระหว่างรถกับรถเท่านั้น และต้องมีคู่กรณีด้วยเสมอ ซึ่งเหมาะกับคนที่มีความเสี่ยงที่รถจะหาย และไฟไหม้ เช่น ต้องจอดรถริมถนนทุกวัน และรถติดแกส 3 พลัส ประกันภัยประเภท 3 คุ้มครอง ชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย และคุ้มครอง ความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ สิ่งปลูกสร้าง หรือที่เรียกรวมว่าคู่กรณี ส่วนทรัพย์สินของผู้ทำประกัน ต้องรับผิดชอบเอง ถ้าคุณเป็นฝ่ายผิด ส่วนถ้าคุณเป็นฝ่ายถูก คู่กรณี หรือ บริษัทประกันของคู่กรณีต้องรับผิดชอบให้ อัตราเบี้ยต่อปีประมาณ 2,000-4,000 บาท 3+ ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ค่าเบี้ยเริ่มต้นประมาณ 6,000-9,000 บาท ขึ้นกับทุนประกัน หรือวงเงินคุ้มครอง สิ่งที่คุ้มครองเพิ่มขึ้น มีอย่างเดียว คือ ในกรณีที่รถเอาประกันได้รับความเสียหายจากยานพาหนะทางบก หากผู้ทำประกันเป็นฝ่ายผิด บริษัทประกัน จะซ่อมให้ทั้ง 2 ฝ่าย แต่มีข้อแม้ว่า ผู้ทำประกันจะต้องร่วมจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (ค่าเอกซ์เซสส์) ครั้งละ 2,000 บาท ในการซ่อมรถตัวเอง ส่วนที่เหลือ บริษัทประกันจ่ายให้ไม่เกินวงเงินที่ทำสัญญาไว้ จะเห็นว่าประกันภัย 3+ ไม่ได้มีความคุ้มครองมากไปกว่าประกันชั้น 3 สักเท่าไร และไม่เทียบเท่าประกันภัยชั้น 1 ด้วย เพราะมีเพียงข้อเดียวที่เพิ่มเติมมา คือ ซ่อมรถที่เอาประกัน กรณีที่ได้รับความเสียหายจากพาหนะทางบก ส่วนกรณีรถหาย/ไฟไหม้ รวมทั้งค่ารักษาพยาบาล ของผู้ขับและผู้โดยสาร ไม่คุ้มครองแต่อย่างใด ประกัน พรบ. ทุกคันต้องมี รถยนต์ทุกคันที่มีสิทธิวิ่งในประเทศไทย ต้องทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือที่เรียกกันว่า "พรบ." เสียก่อน เนื่องจากถูกบังคับโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถปี พศ. 2535 ใครไม่ทำมีความผิด ถูกปรับไม่เกิน 10,000 บาท ประกันภัยประเภทนี้รับผิดชอบต่อความสูญเสียของชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของผู้ประสบเหตุจากรถยนต์เท่านั้น ความเสียหายอื่น เช่น รถยนต์ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ จะไม่คุ้มครอง และมีค่าเบี้ยตายตัวประมาณ 600 กว่าบาทเท่านั้น คปภ. คือใคร ? คปภ. ย่อมาจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ซึ่งเปลี่ยนสถานะจากกรมการประกันภัย ก่อตั้งตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการประกันภัย กระทรวงพาณิชย์ พศ. 2545 มีหน้าที่ส่งเสริม และพัฒนาธุรกิจ ประกันภัย กำกับดูแลการประกอบธุรกิจของบริษัทประกันภัย รวมทั้งตัวแทนและนายหน้า ประกันภัย และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยและประชาชน เพื่อให้ธุรกิจประกันภัยมีความเจริญก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เอาประกันที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการประกันภัย หรือต้องการร้องเรียนบริษัทประกันภัยติดต่อได้ที่ คปภ. สายด่วน 1186 หรือ www.oic.or.th ซื้อประกันภัยของบริษัทไหนดี ? เรามีหลักง่ายๆ ดังนี้ อันดับแรกสำคัญที่สุด คือ พิจารณาความมั่นคงของบริษัท อย่า "มโน" ไปเอง ว่าบริษัทที่มีชื่อเสียงจากการโฆษณา คือ บริษัทที่มั่นคงเสมอไป แต่ให้ดูข้อมูลด้านธุรกิจ เช่น การจ่ายปันผลกองทุนในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น ต่อมาพิจารณานโนบาย หรือประสบการณ์ของบริษัท และคุณภาพบุคลากร จากนั้นพิจารณาเครือข่าย และพันธมิตรของเขาว่าเป็นอย่างไร ศูนย์ซ่อมเป็นอย่างไร มีคนรู้จักมากน้อยขนาดไหน การจัดการค่าสินไหมทดแทน การจ่ายสำรองให้กับอู่ และ มาตรฐานของอะไหล่ เป็นอย่างไร จำไว้ว่า อย่าดูแต่ค่าเบี้ยที่ถูกกว่าเพียงอย่างเดียว ให้ดูเงื่อนไขความคุ้มครอง ว่าครอบคลุมกรณีใดบ้าง มีวงเงินมากน้อยเพียงใด การบริการรวดเร็วขนาดไหน อู่ซ่อมมากน้อยเท่าไร ที่ขาดไม่ได้คือ ความมั่นคงของบริษัทประกัน ไม่เช่นนั้นอาจต้องช้ำใจกับบริษัทประกันภัยที่ดีแต่โฆษณา ซื้อกับตัวแทน หรือผ่านโบรกเกอร์ดี ? หลายคนเลือกไม่ถูก ว่าจะซื้อประกันภัยรถยนต์กับใครดี ระหว่างตัวแทน กับโบรกเกอร์ ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า "ตัวแทน(AGENT)" คือบุคคลที่ทำหน้าที่แทนบริษัท เรียกว่าเป็นพนักงานของบริษัทประกันก็ได้ ดังนั้นการนำเสนอขายประกัน จึงขายได้เฉพาะบริษัทที่ตนสังกัดเท่านั้น ต่างกับ "นายหน้า" หรือโบรกเกอร์(BROKER) ซึ่งเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลที่ทำหน้าที่ชี้แนวทาง และจัดทำประกันภัยรถยนต์ให้แก่ผู้ซื้อ โดยนายหน้าสามารถแนะนำประกันของบริษัทใดก็ได้อย่างอิสระ(ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัท) ดังนั้น จึงมีข้อมูลบริษัทต่างๆ ไว้เปรียบเทียบประกอบการตัดสินใจ แต่อาจบวกค่าบริการเพิ่มไปอีกนิดหน่อย แต่โบรกเกอร์ "ผี" ก็มีเยอะ มักอุปโลกน์ว่าตนเป็นโบรกเกอร์ เปิดบริษัทขึ้นมาลอยๆ โดยไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ดังนั้น จะซื้อผ่านตัวแทนหรือนายหน้าก็ได้ แต่ต้องตรวจเชคใบรับรองจาก คปภ. รวมถึงข้อมูลต่างๆ ให้ดีเสียก่อน ซื้อประกันภัยรถยนต์ทางโทรศัพท์ดีไหม ? เดี๋ยวนี้โทรศัพท์ กลายเป็นช่องทางหนึ่งในการขายประกันภัยรถยนต์ โดยมักจะได้ชื่อลูกค้า จากข้อมูลบัตรเครดิท กรณีนี้คุณต้องเหนื่อยกับการใช้วิจารณญาณมากๆ เนื่องจากคุณจะได้ยินเพียงเสียงตามสาย แถมไม่มีเอกสารใดๆ ประกอบ ยิ่งกว่านั้น คุณไม่อาจรู้ได้เลยว่า ผู้ที่โทรศัพท์มาเป็นคนของบริษัทประกันจริงหรือไม่ ปัจจุบันมีการลักลอบขายข้อมูล บัตรเครดิทเป็นจำนวนมาก อาจเป็นช่องทางหากินของมิจฉาชีพ รถอะไร ประกันภัย ฯ ไม่รับทำ ? ส่วนใหญ่รถที่บริษัทประกันภัยรถยนต์ไม่รับทำประกันภาคสมัครใจ คือ รถที่มีความเสี่ยงสูง เช่น รถแข่ง รถตกแต่ง หรือรถที่มีวัตถุไวไฟ เสี่ยงที่จะเกิดการระเบิดสูง นอกเหนือจากนั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัทว่าจะมีข้อจำกัดของรถยนต์ที่ขอทำประกันอย่างไร เอกสารที่ต้องมีติดรถ สิ่งที่ต้องเตรียมไว้ในรถอยู่เสมอคือ สำเนากรมธรรม์ ส่วนตัวจริงให้เก็บไว้ที่ปลอดภัย เพราะถ้ารถหาย คุณจะไม่มีหลักฐานใดๆ เหลือไว้เลย แนะนำว่าให้ถ่ายสำเนาเก็บไว้ดีกว่า อีกอย่าง ปัจจุบัน ประกันภัยประเภท 1 เกือบทุกบริษัทมักจะให้ ไอดี คาร์ด มาด้วย คุณควรพกติดตัว เพราะหากเกิดอุบัติเหตุหนัก ถูกนำส่งโรงพยาบาล จะได้มีหลักฐาน เมื่อเกิดเหตุต้องทำอย่างไร ? เมื่อเกิดเหตุ สิ่งที่ต้องทำอันดับแรก คือ ต้องตั้งสติ ถ้าไม่รุนแรงมาก ไม่มีคนเจ็บ หรือรถวิ่งได้ตามปกติ และสามารถตกลงกันได้ รวมถึงอีกฝ่ายมีประกัน ฯ แลกใบเคลม(ใบยืนยันการเกิดเหตุ) กันได้เลย โดย 1. ตรวจหมายเลขทะเบียนรถในเอกสารใบเคลมของอีกฝ่ายว่าตรงกับหมายเลขทะเบียนรถ ของเขาหรือไม่ หากไม่ตรงให้ติดต่อบริษัทประกันภัยของคุณแต่หาตรงให้ทำตามข้อต่อไป 2. กรอกรายละเอียดของคุณลงในเอกสาร และบันทึกรายการเสียหายของคุณ และคู่กรณี ให้ตรงกันทั้ง 2 ฝ่าย 3. เซ็นชื่อในเอกสารของคุณ และคู่กรณี ใครเป็นฝ่ายถูกหรือผิดให้ลงตามช่องถูกหรือผิดนั้น แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ให้ถือความเห็นของตำรวจจราจร 4. แลกเอกสารยืนยันการเกิดเหตุกับอีกฝ่าย แล้วแยกย้ายกันได้เลย 5. นำเอกสารที่แลกมา ไปติดต่อบริษัทประกันภัยของคุณภายใน 7 วัน เพื่อคุ้มครองสิทธิ สินไหมทดแทนนำรถไปซ่อม 6. ขอเอกสารใบใหม่จากบริษัทประกันของคุณ เผื่อใช้ในคราวต่อไป หมายเหตุ: ในกรณีที่รุนแรง หรือตกลงกันไม่ได้ ให้ติดต่อบริษัทประกันภัยของคุณทันที และทุกครั้งที่แจ้งประกันภัยให้ถามชื่อ และรหัสประจำตัวของพนักงานไว้ เนื่องจากบางบริษัทมีพนักงานหลายพันคน เวลาตามเรื่องจะได้ง่าย ค่า เอกซ์เซสส์ คือ อะไร ? ค่า "เอกซ์เซสส์" (EXCESS) ว่ามันคือค่าอะไร และทำไมเราต้องจ่าย ? ค่าเอกซ์เซสส์ คือ ค่าความเสียหายส่วนแรก ที่ผู้เอาประกันภัยต้องจ่ายในแต่ละครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ และเราเป็นฝ่าย "ผิด" ประมาณ 2,000-5,000 บาท ส่วนมากแล้วค่าเอกซ์เซสส์ จะมีเฉพาะประกันประเภทที่มีราคาถูก แต่ให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันภัยชั้น 1 เช่น ประเภท 2 พลัส และ 3 พลัส ประกันภัยเหล่านี้ค่าเบี้ยต่ำ บริษัทประกันภัยจึงกำหนดให้มีค่าความเสียหายส่วนแรก โดยชนแล้วหนี ! ทำอย่างไร ? จะขับอยู่แล้วรถอื่นมาชนแล้วหนี หรือจอดไว้แล้วเห็นรถอื่นมาชนแล้วหลบหนีไป เราควรทำอย่างไร แล้วประกันที่ทำไว้จะชดเชยให้ได้ไหม เรามีคำแนะนำ สำคัญที่สุดต้อง "ตั้งสติ" อย่าตกใจ หรือ โมโห จนทำอะไรไม่ถูก ให้พยายามจดจำรายละเอียดของรถคู่กรณีให้มากที่สุด เช่น ประเภทรถ สี ยีห้อ สำคัญที่สุด คือ "หมายเลขทะเบียน" รวมถึง ลักษณะรูปพรรณของผู้ขับขี่(ถ้าจำได้จะดีมาก) และให้รีบโทรหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ(191) ทันที บอกรายละเอียด และเส้นทางที่รถคู่กรณีหลบหนี ตำรวจจะวิทยุเข้าศูนย์เพื่อติดตามรถดังกล่าวให้ จากนั้นให้สำรวจความเสียหายของรถ รวมถึงตัวเรา(กรณีได้รับบาดเจ็บ) หากมีพยานพบเห็นให้ขอรายละเอียดไว้ เช่น ชื่อ สกุล ที่อยู่ เบอร์โทร และขอร้องให้เขาเป็นพยานให้ เมื่อพนักงานสอบสวนมาถึง อาจมีการจัดทำแผนที่เกิดเหตุ ถ่ายรูป หากเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมรถคู่กรณีได้ จะสอบสวนดำเนินคดีต่อไป แต่หากจับกุมไม่ได้ แต่ได้รายละเอียดของรถที่เราแจ้ง ก็เพียงพอที่จะเอาผิดผู้ขับขี่ได้ พนักงานสอนสวนจะออกหมายเรียก และดำเนินการตามกฏหมายต่อไป ถ้าเรามีประกันประเภท 1 เมื่อคู่กรณีหลบหนี โดยที่ผู้เอาประกันภัย ไม่ทราบรายละเอียดของคู่กรณี บริษัทประกัน ต้องชดเชยความเสียหายให้กับผู้เอาประกัน ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าความเสียหายของรถ ทั้งนี้ต้องไม่เกินวงเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ แต่กรณีนี้ผู้เอาประกัน ต้องรับผิดชอบความเสียหายส่วนแรก ประมาณ 1,000 บาท ต่อครั้ง เพื่อกันผู้เอาประกันคิดไม่ซื่อนั่นเอง
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการบทความและสารคดี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2558
คอลัมน์ Online : รายงาน(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/11142