รถใหม่
(ต่อจากฉบับเดือนมีนาคม 2550) ผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์เป็นองค์กรอิสระ มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า THE DEDROIT AUTO DEALERS ASSOCIATION และเรียกกันย่อๆ ว่า DADA ชื่อนี้น่าจะแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า สมาคมผู้จำหน่ายรถยนต์แห่งเมืองดีทรอยท์
(ต่อจากฉบับเดือนมีนาคม 2550) ผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์เป็นองค์กรอิสระ มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า THE DEDROIT AUTO DEALERS ASSOCIATION และเรียกกันย่อๆ ว่า DADA ชื่อนี้น่าจะแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า สมาคมผู้จำหน่ายรถยนต์แห่งเมืองดีทรอยท์
DADA จัดงานแสดงรถยนต์ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม 1907 ปี 2007 จึงเป็นปีที่งานแสดงรถยนต์รายการนี้มีอายุครบ 100 ปี ยังค้นไม่พบว่า ในระยะแรกงานแสดงรถยนต์รายการนี้มีชื่อว่าอะไร ทราบก็แต่เพียงว่า ชื่ออย่างเป็นทางการที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือ NORTH AMERICAN INTERNATIONAL AUTO SHOW ซึ่งเรียกกันย่อๆ ว่า NAIAS เริ่มใช้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1989 หากยึดชื่อนี้เป็นหลัก งานครั้งล่าสุดซึ่งมีขึ้นในปี 2007 นี้ ก็นับได้ว่าเป็นงานครั้งที่ 19
เอกสารที่ DADA แจกให้แก่ผู้สื่อข่าวที่ไปร่วมงานระบุว่า NORTH AMERICAN INTERNATIONAL AUTO SHOW หรือที่เรียกตามภาษา "ฟอร์มูลา" ว่า มหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ เป็นงานแสดงรถยนต์รายการเดียวของสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับการรับรองจากองค์กรนานาชาติ ซึ่งมีชื่อเรียกในภาษาฝรั่งเศสว่า ORGANISATION INTERNATIONALE DES CONSTRUCTEUR D'AUTOMOBILES (OICA) หรือ องค์การผู้ผลิตรถยนต์นานาชาติ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงปารีส องค์การนี้มีกิจกรรมหลายอย่าง รวมทั้งการดูแลและให้การรับรองงานแสดงรถยนต์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
DADA ยังระบุด้วยว่า การจัดงานนี้ครั้งก่อน คือ เมื่อเดือนมกราคม 2006 ในวันที่จัดไว้โดยเฉพาะสำหรับสื่อมวลชน ซึ่งมีอยู่รวม 3 วัน มีผู้สื่อข่าว 6,600 คน จาก 62 ประเทศ และจาก 42 รัฐของสหรัฐอเมริกา ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน จำนวนที่ว่านี้ รวมเครือข่ายโทรทัศน์จำนวน 279 เครือข่ายอยู่ด้วย และเมื่อแยกตามสัญชาติก็พบว่า มากกว่าร้อยละ 30 เป็นผู้สื่อข่าวจากต่างประเทศ
เพื่อให้ตระหนักในความยิ่งใหญ่ของงาน เอกสารของ DADA ให้รายละเอียดว่า การจัดงาน NAIAS แต่ละครั้งจะเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่รัฐมิชิแกน เป็นมูลค่ามากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 18,000 ล้านบาท การจัดงานแต่ละครั้งต้องใช้รถเซมิ-ทเรเลอร์ 14 คัน บรรทุกพรมยาว 75,000 หลา หรือประมาณ 67,500 เมตร เพื่อใช้ปูในงาน เป็นปริมาณเพียงพอที่จะใช้ปูสนามฟุตบอลจำนวน 750 สนาม พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในงานแต่ละครั้ง เป็นปริมาณพลังไฟฟ้าที่บ้านเรือน 180 หลัง สามารถใช้ได้นาน 1 ปี
การเตรียมงานแต่ละครั้งต้องใช้เวลาประมาณ 10 สัปดาห์ หรือเท่ากับหนึ่งภาคเรียนในวิทยาลัย (เทียบกับเมื่อสิบห้าก่อนที่ใช้เวลาแค่ 4 วัน) ต้องว่าจ้างช่างไม้ ช่างไฟฟ้า ช่างเหล็ก ฯลฯ มากกว่า 1,500 คน ทำงานวันละ 12-14 ชม. ในการก่อสร้างและรื้อถอนบูธจัดงานต่างๆ
ถึงวันงาน สถานที่จัดงานคือ COBO CENTER ซึ่งใช้เป็นที่จัดงานมาตั้งแต่ปี 1965 ก็ต้องใช้คนมากกว่า 1,700 คน ในการดูแลจัดการให้งานดำเนินไปโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ในจำนวนนี้รวมทั้ง เจ้าหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยทั่วๆไปจำนวน 200 คน เจ้าหน้าที่จัดอาหารและเครื่องดื่มจำนวน 500-700 คน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวน 450 คน และเจ้าหน้าที่เช็ดถูทำความสะอาดรถจำนวน 65 คน รวมอยู่ด้วย
ในฉบับเดือนมีนาคม 2550 ได้บอกไปแล้วว่าผู้ผลิตรถยนต์แต่ละรายนำผลงานใหม่อะไรบ้างออกอวดตัวในงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ครั้งนี้ แต่ลืมบอกไปว่า สินค้าต่างๆ ที่บรรดาผู้ผลิตนำออกแสดงในงานนี้ รวมทั้งรถยนต์จำนวนประมาณ 700 คัน DADA บอกว่า มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นมากกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับประมาณ 7,200 ล้านบาทไทย ในเดือนนี้จะทำตามที่ทิ้งท้ายไว้เมื่อเดือนก่อน โดยนำเสนอรายละเอียดของบรรดารถแนวคิด ซึ่งปรากฏตัวในงานนี้มากมาย
เชฟโรเลต์ โวลท์ คอนเซพท์
เชฟโรเลต์ โวลท์ คอนเซพท์ (CHEVROLET VOLT CONCEPT)ดาวดวงเด่นในบูธของค่าย จีเอม เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถ 4 ประตูซีดาน 4 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าจากหม้อแบทเตอรี ลิเธียม-อีออน (LITHIUM-ION) ขนาดใหญ่ มีน้ำหนักประมาณ 181 กก. และมีเครื่องยนต์เทอร์โบ 3 สูบเรียง ความจุ 1.0 ลิตร ทำหน้าที่เป็นเครื่องประจุไฟเข้าแบทเตอรีกรณีไฟหมดขณะใช้งาน เครื่องยนต์ที่ว่านี้ใช้เชื้อเพลิงเหลวแบบพิเศษ คือ เชื้อเพลิงที่ผสมขึ้นจาก เอธานอลร้อยละ 85 และเบนซินร้อยละ 15 อธิบายการทำงานได้อย่างสั้นๆ ว่า รถแนวคิดขนาดตัวถัง 4.318x1.790x1.336 ม. คันนี้ เป็นรถที่วิ่งด้วยพลังไฟฟ้าจากแบทเตอรีล้วนๆ เป็นแบทเตอรีที่สามารถประจุไฟด้วยไฟบ้านขนาด 110 โวลท์ โดยใช้เวลาประมาณ 6-6.5 ชม. และมีพลังเพียงพอสำหรับการเดินทางไกล 40 ไมล์ หรือ ประมาณ 64 กม. โดยมีอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ใน 8.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 190 กม./ชม. กรณีไฟหมด เพราะลืมประจุไฟ หรือเมื่อเดินทางไกล และไม่สามารถประจุไฟจากไฟบ้าน ก็สามารถให้เครื่องยนต์ทำงานประจุไฟเข้าแบทเตอรี ซึ่งจะทำให้เดินทางได้อีกประมาณ 960 กม.
ฟอร์ด แอร์สตรีม คอนเซพท์
ฟอร์ด แอร์สตรีม คอนเซพท์ (FORD AIRSTREAM CONCEPT) หนึ่งในรถแนวคิดจำนวน 2 คัน ที่ค่าย ฟอร์ด นำออกอวดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของ CROSSOVER VEHICLE หรือ "รถผสานพันธุ์" ขับเคลื่อนด้วยระบบพันทาง (HYBRID DRIVE) ที่ ฟอร์ด พัฒนาขึ้นเอง และตั้งชื่อว่า HYSERIES DRIVE
เป็นรถที่ออกแบบสำหรับ MALE EMPTY NESTER หรือ ผู้ชายวัย 50 ปี ซึ่งมีเวลาเหลือเฟือพอสำหรับการท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ตัวถังทรงกล่องเดียว ขนาด 4.700x2.004x1.793 ม. มีประตูข้างไม่เหมือนกัน คือ ด้านผู้ขับมีประตูเดียว เป็นประตูติดบานพับแบบธรรมดา แต่ด้านตรงข้าม เป็นประตูขนาดใหญ่ กว้างถึง 2 ใน 3 ของตัวรถ และเปิดโดยพลิกขึ้นข้างบน ภายในห้องโดยสารซึ่งออกแบบให้นั่งเพียง 2 คน ฟอร์ด บอกว่า ออกแบบในสไตล์ที่ได้แรงบันดาลใจจากยานอวกาศของภาพยนตร์ที่เคยโด่งดังในอดีต คือ 2001: A SPACE ODYSSEY ของ สแตนลีย์ คูบริค (STANLEY KUBRICK)
ระบบขับเคลื่อน HYSERIES DRIVE ที่กล่าวข้างต้น รถจะวิ่งด้วยพลังไฟจากหม้อแบทเตอรี ลิเธียม-อีออน(LITHIUM-ION) ตลอดเวลา โดยมีเซลล์เชื้อเพลิง (FUEL CELL) เป็นตัวป้อนประจุไฟฟ้า
ฟอร์ด อินเตอร์เซพเตอร์ คอนเซพท์
ฟอร์ด อินเตอร์เซพเตอร์ คอนเซพท์ (FORD INTERCEPTOR CONCEPT) รถแนวคิดอีกคันหนึ่งที่ยักษ์รองของสหรัฐอเมริกา นำออกเปิดตัวที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถซีดาน 4 ประตู 4 ที่นั่งขนาด FULL-SIZE ออกแบบสำหรับผู้พิสมัยรถแรง และเร็ว อย่างที่เรียกกันในเมืองมะกันว่า MUSCLE CAR โดยขอหยิบขอยืมพแลทฟอร์มจากรถตลาดซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี คือ ฟอร์ด มัสแตง จีที (FORD MUSTANG GT)
ตัวถังทรง 3 กล่อง ขนาด 5.120x1.940x1.392 ม. มีลักษณะเด่นตรงแผงกระจังหน้าขนาดโตที่รวมดวงโคมไฟหน้าทั้งด้านซ้ายและด้านขวาเข้าไว้ด้วย มี BELTLINE หรือ "เส้นสะเอว" ค่อนข้างสูง และติดตั้งกระทะล้อขนาดโตถึง 22 นิ้ว รูปทรงองค์เอวของตัวถังโดยรวม ฟอร์ด บอกว่า ออกแบบในสไตล์ของรถซีดานยุคปี 1960
เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยพลังจากเครื่องยนต์ วี 8 สูบ 5.0 ลิตร 400 แรงม้า ซึ่งพัฒนามาจากเครื่อง วี 8 สูบ 4.6 ลิตร ที่ใช้อยู่ในขณะนี้กับรถตลาด ฟอร์ด มัสแตง จีที รวมทั้งเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากที่ใช้น้ำมันเบนซินล้วนๆ เป็นเชื้อเพลิง E85 ซึ่งมีส่วนผสม เอธานอลร้อยละ 85 และเบนซินร้อยละ 15 ส่วนระบบเกียร์ เป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
ไครสเลอร์ นาสเซา
ค่าย ไดมเลร์ ไครสเลอร์ นำรถแนวคิดออกอวดตัวในงานนี้หลายคัน คันแรกที่นำมาให้ชมกันนี้คือ ไครสเลอร์ นาสเซา (CHRYSLER NASSAU) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถคูเป 4 ประตู 4 ที่นั่งระดับหรู ออกแบบสำหรับผู้ใช้รถวัยหนุ่มวัยสาวที่ต้องการความแปลกใหม่
ตัวถังขนาด 4.981x1.885x1.496 ม. วางตัวอยู่บนพแลทฟอร์มที่มีช่วงฐานล้อยาวถึง 3.050 ม. ทั้งนี้เป็นผลลัพธ์ของการออกแบบเพื่อให้มีช่วงยื่นหน้ายื่นหลัง (0.940/0991 ม.) สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ตัวถังภายนอกมีรายละเอียดที่น่าสนใจอยู่มากมาย รวมทั้งกระจกบานท้ายที่โอบรวมตัวถัง และหลังคาซึ่งทำเป็นช่องกระจกรูปสี่หลี่ยมผืนผ้า 2 ช่องขนานกันไปตามยาวของตัวรถ วิจารณ์กันในเมืองมะกันว่า รูปทรงองค์เอวของตัวถังภายนอกทำให้แลดูเหมือนรถมีขนาดเล็กกะทัดรัดกว่าที่เป็นจริง
ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยพลังจากเครื่องยนต์ OHV วี 8 สูบ 6.1 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 425 แรงม้า ที่ 6,200 รตน. ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ทำได้ใน 5.0 วินาที ควอร์เตอร์ไมล์ทำได้ใน 13.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 265 กม./ชม.
จีพ ทเรลฮอว์ค
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของค่าย ไดมเลอร์ ไครสเลอร์ ที่เลือกมาให้ชมกัน คือ จีพ ทเรลฮอว์ค (JEEP TRAILHAWK) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของ SPORT-UTILITY VEHICLE (SUV) หรือ รถกิจกรรมกลางแจ้ง 4 ที่นั่ง ซึ่งมีกระบะเปิดท้ายเหมือนรถพิคอัพ
ตัวถังทรง 2 กล่อง ขนาด 4.858x1.968x1.761 ม. วางตัวอยู่บนพแลทฟอร์มที่ขอหยิบขอยืมมาจากรถตลาด จีพ แรงเลอร์ (JEEP WRANGLER) ซึ่งมีช่วงฐานล้อยาว 2.946 ม. รูปทรงองค์เอวของตัวถังซึ่งมี BELTLINE หรือ "เส้นสะเอว" ค่อนข้างสูง ให้ความรู้สึกในพละกำลัง และความบึกบึนทนทาน เอกสารประชาสัมพันธ์ของค่าย ไครสเลอร์ ระบุว่า เมื่อมองจากด้านข้าง จะให้จินตนาการเหมือนลูกศรที่กำลังถูกง้าง ด้วยลำแขน และไหล่อันทรงพลังของนักธนู ลองดูกันเองก็แล้วกันในภาพประกอบ ว่าเห็นจินตภาพอย่างที่ว่านี้หรือไม่
เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยพลังจากเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง BLUETEC วี 6 สูบ 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 215 แรงม้า ที่ 4,000 รตน. ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ทำได้ใน 9.0 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม.
เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ โอเชียน ดไรฟ
จุดโฟคัสสายตาในบูธของค่าย"ดาวสามแฉก"คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ โอเชียน ดไรฟ (MERCEDES-BENZ CONCEPT OCEAN DRIVE) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเปิดประทุน 4 ประตู 4 ที่นั่งระดับสุดหรู ซึ่งเชื่อกันว่าอีกไม่นานก็คงกลายสภาพเป็นรถตลาด
เป็นต้นแบบของรถเปิดประทุนระดับสุดหรูที่ค่าย "ดาวสามแฉก" จะทำออกขายในตลาด เพื่อสู้กับรถเปิดประทุนของค่าย โรลล์ส-รอยศ์ ซึ่งก็ใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวเช่นกัน แต่ที่ยังกังขากันอยู่ ก็คือ เมื่อออกจำหน่ายจะติดยี่ห้อ เมร์เซเดส-เบนซ์ หรือ มายบัค (MAYBACH)
ตัวถังขนาด 5.293x1.911x1.497 ม. ขอหยิบขอยืมเครื่องยนต์และกลไกหลายชิ้นจากรถตลาด เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ S-CLASS) แต่ชิ้นส่วนตัวถังออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหาง และทำขึ้นเพียงคันเดียว เพื่ออวดตัวที่งานนี้ ติดตั้งประทุนหลังคาแบบอ่อน เปิด/ปิดด้วยระบบ อีเลคทรอ-ไฮดรอลิค (ELECTRO-HYDRAULIC) โดยใช้เวลาเพียง 20 วินาที ซึ่งนับว่า
เป็นรถขับล้อหลัง ด้วยพลังจากเครื่องยนต์เทอร์โบ SOHC วี 12 สูบ 36 วาล์ว 5.5 ลิตร 517 แรงม้า ที่ขอหยิบขอยืมมาจากรถตลาด เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส 600 (MERCEDES-BENZ S600)
โวลโว เอกซ์ซี 60
ผู้ผลิตรถยนต์หมายเลขหนึ่งของเมืองฟรีเซกซ์ ซึ่งอยู่ในร่มเงาของยักษ์รอง ฟอร์ด นำรถใหม่ออกแสดงในงานนี้หลายคัน แต่มีอยู่เพียงคันเดียวเท่านั้นที่เรียกร้องความสนใจได้อย่างล้นหลาม คือ โวลโว เอกซ์ซี 60 (VOLVO XC60) ซึ่งเป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็ก และเป็นต้นแบบของรถกิจกรรมกลางแจ้งอนุกรมใหม่ ที่ค่ายนี้จะนำออกจำหน่ายในปี 2009 และเรียกกันในภาษาอังกฤษว่าเป็น BABY OFF-ROADER
เป็นผลงานรังสรรค์ของทีมงานที่มี สตีฟ แมททิน (STEVE MATTIN) เป็นผู้อำนวการ และออกแบบโดยมีรถระดับเดียวกันอย่าง บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 3 (BMW X3) และ แลนด์ โรเวอร์ ฟรีแลนเดอร์ (LAND ROVER FREELANDER) เป็นคู่ต่อสู้เป้าหมาย มีลักษณะการออกแบบหลายอย่างที่ไม่เคยพบกันมาก่อนในรถยี่ห้อนี้ ตัวอย่างเช่น เก้าอี้ที่นั่งแบบ FLOATING SEAT ที่เหมือนลอยแขวนอยู่ในอากาศ
เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยพลังจากเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 3.2 ลิตร 265 แรงม้า ที่ใช้ BIO-ETHANOL E85 (เอธานอล ร้อยละ 85/เบนซิน ร้อยละ 15) เป็นเชื้อเพลิง สามารถทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ใน 8.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 228 กม./ชม.
โตโยตา เอฟที-เอชเอส
ยักษ์ใหญ่ของเมืองยุ่นนำรถออกแสดงในงานนี้เป็นกองทัพ แต่คันที่เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนได้มากที่สุด คือ โตโยตา เอฟที-เอชเอส (TOYOTA FT-HS) ที่เห็นอยู่นี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถ 2 ประตูคูเป 2+2 ที่นั่ง สมรรถนะสูง ตัวถังขนาด 4.325x1.860x1.290 ม. มีเปลือกตัวถังเหมือนเอารูปสามเหลี่ยมหลายๆรูปมาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน และสามารถเปลี่ยนสภาพเป็นรถเปิดประทุนประเภท TARGA ในชั่วพริบตา โดยเลื่อนแผงหลังคาไปด้านหลัง
แล้วลดระดับลงเก็บไว้ในห้องโดยสารส่วนท้ายเป็นผลงานรังสรรค์ของศูนย์ออกแบบ CALTY DESIGN CENTER
ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และเชื่อกันว่า เป็นต้นแบบของรถสปอร์ทคูเปอนุกรมใหม่ ที่ค่ายนี้จะนำออกสู่ตลาดแทนที่รถที่เคยโด่งดังในอดีตและถูกปลดจากสายการผลิตไปเมื่อปี 2002 คือรถ โตโยตา ซูพรา (TOYOTA SUPRA) เป็นรถขับล้อหลัง ด้วยระบบขับเคลื่อนแบบพันทาง (HYBRID DRIVE) โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน DOHC วี 6 สูบ 3.5 ลิตร 292 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 650 โวลท์ 197 แรงม้า ระบายความร้อนด้วยน้ำ ทำให้ได้กำลังสูงสุดถึง 400 แรงม้า
เลกซัส แอลเอฟ-เอ
รถแนวคิดอีกคันหนึ่งที่ยักษ์ใหญ่เมืองยุ่นนำออกอวดตัวเป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้ติดยี่ห้อ โตโยตา คือ เลกซัส แอลเอฟ-เอ (LEXUS LF-A) ที่เห็นอยู่นี้ พัฒนาจากรถแนวคิดชื่อเดียวกันซึ่งปรากฏตัวเป็นครั้งแรกที่งานเดียวกันนี้เมื่อ 2 ปีก่อน หน้าตาและรูปทรงองค์เอวอยู่ในสภาพที่น่าจะเชื่อได้ว่า อีกไม่นานคงเปลี่ยนฐานะเป็นรถตลาด
เป็นรถที่ออกแบบเพื่อให้เป็นรถสปอร์ทซูเพอร์คาร์ ระดับเดียวกับยอดรถสปอร์ทอย่าง โพร์เช 911 เทอร์โบ (PORSCHE 911 TURBO) และ แฟร์รารี 599 จีทีบี (FERRARI 599 GTB) ตัวถัง 2 ประตู2 ที่นั่ง ขนาด 4.660x1.815x1.410 ม. มีแนวคิดการออกแบบที่น่าสนใจอยู่มากมาย รวมทั้งการติดตั้งหม้อน้ำไว้ตรงท้ายรถ มีช่อง
ระบายอากาศรวมอยู่ในกรอบเดียวกับดวงโคมไฟท้ายทั้ง 2 ข้าง และมีท่อไอเสีย 3 ท่อวางเรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยมยอดคว่ำ
คาดหมายว่าน่าจะทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. โดยใช้เวลาต่ำกว่า 4.9 วินาที และน่าจะทำความเร็วได้สูงกว่า 320 กม./ชม. เพราะใช้ระบบขับล้อหลัง ด้วยพลังจากเครื่องยนต์วางกลางลำ วี 8 สูบ 5.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงกว่า 400 แรงม้า และให้แรงบิดสูงกว่า 47 กก.-ม. ส่วนระบบเกียร์เป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
อคูรา แอดวานศ์ สปอร์ทส์ คาร์ คอนเซพท์
อคูรา แอดวานศ์ สปอร์ทส์ คาร์ คอนเซพท์ (ACURA ADVANCED SPORTS CAR CONCEPT) ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสเมื่อเดือนธันวาคม 2006 และฉายซ้ำให้คนในเมืองมะกันได้ชื่นชมอีกครั้งที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ทระดับ "ซูเพอร์คาร์" และเป็นต้นแบบของรถรุ่นใหม่ ที่ค่ายนี้จะนำออกสู่ตลาดแทนที่รถสปอร์ทพันธุ์ยุ่นยอดดัง ที่อยู่ในสายการผลิตระหว่างปี 1990-2005 คือ ฮอนดา/อคูรา เอนเอสเอกซ์ (HONDA/ACURA NSX) ที่คนรักรถในบ้านเราคงคุ้นเคยกันดี
ตัวถัง 2 ประตู 2+2 ที่นั่ง ขนาด 4.610x1.996x1.222 ม. มีช่วงฐานล้อที่ยาวถึง 2.765 ม. เพราะตั้งใจออกแบบให้มีช่วงยื่นหลัง (REAR OVERHANG) สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รูปทรงองค์เอวของตัวถังภายนอก นับว่าออกแบบได้ดีเยี่ยม เพราะให้ความรู้สึกในความปราดเปรียวทรงพลัง และดูงามสะดุดตาในทุกมุมมอง
ติดตั้งเครื่องยนต์วางหน้า วี 10 สูบ ซึ่งยังไม่ระบุขนาดความจุและแรงม้าสูงสุด แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ใช้ระบบขับ 4 ล้อ SH-AWD (SUPER HANDLING ALL WHEEL DRIVE) ซึ่งพัฒนาอีกขั้นหนึ่ง จากระบบที่ใช้อยู่ในรถหรู ฮอนดา เลเจนด์ (HONDA LEGEND) รุ่นล่าสุด
นิสสัน บีเวล
เช่นเดียวกับรถแนวคิดของค่าย ฟอร์ด นิสสัน บีเวล (NISSAN BEVEL) ที่เห็นอยู่นี้ เป็นรถแนวคิดที่ออกแบบสำหรับผู้ใช้รถวัย 45-60 ปี ซึ่งเรียกกันในภาษาอังกฤษว่า MALE EMPTY NESTER นิสสัน อธิบายว่า คนประเภทนี้ชอบทำอะไรอย่างที่เรียกกันว่า DIY หรือ DO-IT-YOURSELF ไม่ต้องการรถอเนกประสงค์ หรือรถพิคอัพขนาด FULL-SIZE เพราะมักจะไปไหนมาไหนคนเดียว ยักษ์รองของเมืองยุ่นจึงรังสรรค์รถแนวคิดคันนี้ขึ้น และเรียกมันว่า DYNAMIC MULTI-PURPOSE VEHICLE
ตัวถังทรงกล่องเดียว ขนาด 4.400x1.905x1.620 ม. มีช่วงฐานล้อที่ยาวถึง 2.930 ม. เพราะมีช่วงยื่นหน้าและยื่นหลังค่อนข้างสั้น รูปทรงองค์เอวตัวถังภายนอก ออกแบบดูเถื่อนๆ ดิบๆ อย่างที่เรียกในภาษาฝรั่งว่า SPARTAN และมีลักษณะ ASYMMETRY หรือ อสมมาตร คือ ตัวถัง 2 ด้าน มีรูปลักษณ์ต่างกัน ด้านผู้ขับมีประตูบานเดียว เป็นประตูติดบานพับแบบธรรมดา ส่วนด้านตรงข้ามมีประตู 2 บาน และเปิดแยกออกจากกันโดยไม่มีเสาค้ำยันกลาง อย่างที่เรียกกันว่า ประตูฆ่าตัวตาย หรือ ประตูตู้กับข้าว ทำให้มีช่องเปิดสำหรับการขึ้นลงรถที่กว้างถึง 170 ซม. นั่นเทียว
มาซดา รียูกะ
ไม่มีแนวคิดที่ยิ่งใหญ่อลังการอะไร แต่นักวิจารณ์หลายคนในเมืองมะกัน ให้ความเห็นต้องตรงกันว่า รถแนวคิดที่รูปทรงองค์เอวงดงามชวนมองที่สุดในงานนี้ คือ มาซดา รียูกะ (MAZDA RYUGA)หนึ่งในบรรดารถแนวคิดจำนวน 4 คัน ที่ผู้ผลิตรถยนต์เมืองยุ่นรายนี้กำลังขะมักเขม้นรังสรรค์อยู่ในปัจจุบัน
เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ทคูเป 4 ที่นั่ง ประตูปีกนก ตัวถังขนาด 4.280x1.900x1.260 ม. มีช่วงฐานล้อยาว 2.800 ม.มีห้องโดยสารที่กว้างขวางอย่างน่าประหลาดใจ และมีรายละเอียดของตัวถังภายนอกที่ได้แรงบันดาลใจจากหลายสิ่งหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น พื้นผิวของตัวถังได้แบบมาจากสวนญี่ปุ่น ที่เรียกกันว่า KARESANSUI ดวงโคมไฟหน้าได้แนวความคิดจากหยดน้ำค้างที่กำลังร่วงจากใบไผ่ และผนังด้านข้างกับดวงโคมไฟท้ายได้แบบจาก LAVA หรือหินละลายของภูเขาไฟ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ไม่ได้คิดเอาเอง แต่ว่ากันตามเอกสารประชาสัมพันธ์ที่แจกจ่ายให้แก่สื่อมวลชน
เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยพลังจากเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร ที่ใช้ E85 (เอธานอล ร้อยละ 85/เบนซิน ร้อยละ 15) เป็นเชื้อเพลิง ส่วนระบบเกียร์ที่ใช้ เป็นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ฮันเด เฮลเลียน
ฮันเด เฮลเลียน (HYUNDAI HELLION) ปรากฏตัวครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิส เมื่อเดือนธันวาคมปีกลาย และฉายซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ที่งานนี้เช่นกัน เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของ CUV (CROSSOVER UTILITY VEHICLE) หรือ รถกิจกรรมกลางแจ้งผสานพันธุ์ 3 ประตู 2+2 ที่นั่ง ออกแบบสำหรับผู้ใช้รถที่ต้องการความแปลกใหม่ ไม่ซ้ำซากจำเจ และไม่ต่อต้านความเปลี่ยนแปลง
ตัวถังทรง 2 กล่อง ขนาด 4.171x1.890x1.560 ม. ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากเป้สะพายหลังเปลือกแข็งที่ใช้กันอยู่ทั่วๆไป โดยใช้โครงสร้างน้ำหนักเบาซึ่งมีลักษณะเหมือนซี่โครงของมนุษย์จำนวน 3 ชิ้น และกระดูกสันหลังซึ่งมีลักษณะเหมือนกระดานโต้คลื่น ประกอบกันเป็นโครงของตัวรถ ส่วนหลังคาซึ่งเลื่อนและถอดออกได้ เป็นหลังคาแบบอ่อน ทำจากผ้าใบสังเคราะห์ มีสีและลวดลายเหมือนชุดพรางของทหาร
เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยพลังจากเครื่องยนต์ดีเซลฉีดตรง (คอมมอนเรล) วี 6 สูบ 3.0 ลิตร 236 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และใช้ระบบรองรับแบบอิสระทั้งหน้าและหลัง
เกีย กิว คอนเซพท์
เกีย กิว คอนเซพท์ (KIA KUE CONCEPT) ปรากฏตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานนี้ และเป็นผลงานชิ้นแรกของทีมออกแบบ เกีย ในยุคที่มี พีเทร์ ชเรเยร์ (PETER SCHREYER) เป็นผู้นำทีม เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของ CUV (CROSSOVER UTILITY VEHICLE) หรือ รถกิจกรรมกลางแจ้งผสานพันธุ์ ซึ่งว่ากันว่า คงไม่มีโอกาสเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาด
ตัวถังทรงกลมมน ขนาด 4.724x1.929x1.600 ม. มีช่วงฐานล้อที่ยาวถึง 2.900 ม. และมีช่วงยื่นหน้ายื่นหลังสั้นเป็นพิเศษ ทั้งนี้เป็นผลลัพธ์ของการออกแบบ โดยตั้งใจวางตำแหน่งล้อให้อยู่ใกล้ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้กับมุมทั้ง 4 ของตัวรถ รูปทรงองค์เอวของตัวถังภายนอก มีจุดสะดุดตาอยู่หลายจุด รวมทั้งประตูข้างที่เปิด/ปิดแบบปีกผีเสื้อ และ
BELTLINE หรือ "เส้นสะเอว" ที่ค่อนข้างสูง ทำให้เหลือช่องกระจกหน้าต่างอยู่แคบนิดเดียว
ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยพลังจากเครื่องยนต์ วี 6 สูบ 4.6 ลิตร ติดซูเพอร์ชาร์เจอร์ ซึ่งให้กำลังสูงถึง 400 แรงม้า และให้แรงบิดสูงถึง 54.1 กก.-ม. ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลัง เป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ที่เปลี่ยนจังหวะเกียร์ด้วยมือก็ได้
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน เมษายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/8810