ทั่วไป
โลกเรานี่ก็แปลกนะครับ เดือนนี้ที่ ออสเตรเลีย ฝนตก ที่กรุงเทพ ฯ อากาศหนาวเย็น ภาคอีสาน เย็นจัด อินเดีย ร้อนจัด และ เกาหลี หิมะตก
โลกเรานี่ก็แปลกนะครับ เดือนนี้ที่ ออสเตรเลีย ฝนตก ที่กรุงเทพ ฯ อากาศหนาวเย็น ภาคอีสาน เย็นจัด อินเดีย ร้อนจัด และ เกาหลี หิมะตก
นี่แค่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ แต่เรื่องจริงคือ อากาศหนาวเย็นจากจีนเคลื่อนตัว ก็ให้น่าเป็นห่วงรุ่นลูกหลานนะครับ ว่าไม่รู้จะเจอความแปรปรวนอะไรบ้าง ?
ขนาดภูเขาน้ำแข็ง ยังมีข่าวว่ามีขนาดบางลงเลย สงสัยจะเป็นห่วงหมีขาวแถบขั้วโลก
แต่อย่างไรก็ตาม วงการรถยนต์ ก็มีเรื่องแปรปรวนเป็นประจำอยู่แล้ว เริ่มด้วยข่าวใหญ่ต่อเนื่องจาก คุณเดือนเพ็ญ ณ ศรีอยุธยา ตามมาด้วยรถคันนิดเดียว จากสำโรง รถโลโก ไตสีฟ้า ดาวสามแฉก ออกมากันเป็นระลอก
ประมาณว่า ซื้อรถไปแล้วมีปัญหา ค่ายรถยนต์ไม่ยอมแก้ไขให้
ก็ดีครับ ผู้บริโภคตื่นตัว ทำเอาฟากรัฐกระโดดโลดเต้นตามไปด้วย ถือเป็นนิมิตใหม่ ที่น่าจะลงมือทำกันตั้งนานมาแล้ว
แค่มาตรฐานอุตสาหกรรมแต่ละอย่าง แต่ละชิ้น ยังประกาศไล่ไม่หมดเสียที แล้วจะให้ตั้งมาตรฐานรถทั้งคัน ไม่ทราบท่านคิดกันได้ยังไง
แถมด้วยตั้งศูนย์รับร้องเรียนขึ้นมา แล้วท่านก็รับร้องเรียนเรื่องที่ลูกค้าเอารถไปประสบอุบัติเหตุมา แต่ไม่ได้ซ่อมกับศูนย์ ซ่อมเคลมประกัน ซ่อมเสร็จแล้วรถมีปัญหา ท่านก็ยังอุตสาห์รับร้องเรียน เรียนบริษัทรถยนต์ไปคุย
ก็ให้งงๆ นะครับ บริษัทเขามีกระบวนการ มีสมุดคู่มือ มีใบรับประกัน มีเงื่อนไขพิมพ์ปรากฏชัดเจน ไม่ใช่พิมพ์กันแบบโรเนียว พิมพ์กันเป็นเล่มสมุดไทยเลย ท่านยังบอกว่า ต้องให้ชัดเจนกว่านี้
กำหนดฟอนท์มาแบบเงื่อนไขของบัตรเครดิทมาเลยก็หมดเรื่อง เพียงแค่บอกว่าต้องชัดเจนน่ะไม่พอหรอกครับ แถมใครจะเป็นตอบว่าเงื่อนไขจะมีแค่ไหน เท่าใด พูดกันให้ชัดๆ ออกมาเลยได้ไหม
ไม่ใช่ไฟไหม้ฟางเหมือนทุกวันนี้
ถัดมาก็เรื่องการเลื่อนไหลของบุคลากร จากวงการรถยนต์ไปอยู่วงการโทรคมนาคม สงสัยเงินเดือนจะดีนะครับ
แล้วก็ถึงการฟาดฟันกันของสองยักษ์ใหญ่ เชิญผู้สื่อข่าวเดินทางต่างประเทศ ชนกันสนั่นหวั่นไหว ค่ายรถยนต์เล็กๆ ก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัว สนุกดีครับ
คุยเรื่องที่ไม่เข้าตัวดีกว่า
มาใหม่อีกแล้ว วาทะประจำเดือนของ พณหัวเจ้าท่าน หนนี้กล่าวในงานปฐมนิเทศ สส. ใหม่ ว่าด้วยทฤษฎีของ ดร. ลอเรนซ์ ปีเตอร์ ที่ว่า
หากองค์กรใดองค์กรหนึ่ง มีขั้นของความเจริญเติบโตมากพอ คนๆ หนึ่งจะมีความสุขในการได้เลื่อนตำแหน่งต่อไปอย่างต่อเนื่อง ความสุขในตำแหน่งสุดท้ายคือความสุขที่เขาเกือบจะเป็นคนที่ไม่มีความสามารถแล้ว แต่ถ้าเขาถูกเลื่อนไปอีกขั้นเดียว ไปสู่ตำแหน่งที่เกินความสามารถเขาแล้ว เขาจะได้รับการโปรโมทไปสู่ความทุกข์
เอ ท่านเอามาพูดก่อนประกาศตำแหน่งรัฐมนตรี นี่แสดงว่าท่านกำลังจะบอกอะไรกับทุกคนหรือเปล่าครับ ว่าคนที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีน่ะ ควรจะมีความสุขในตำแหน่งสุดท้ายที่เป็นอยู่นะ อย่าเข้ามาเป็นรัฐมนตรีเลย
เอ๊ะ นี่กระผมชิงสุกก่อนห่ามหรือเปล่าเนี่ย
มาคุยกันเรื่องทั่วไปต่อดีกว่า
นั่งดูถ่ายทอดสดการแข่งขัน เอฟ 1 สนามแรก ที่มีคนโศกเศร้าเสียใจกับ แฟร์รารี สีแดงเพลิง พลาดท่าออกควอลิฟายด์ แล้วฝนตก ออกสตาร์ทเป็นคันสุดท้าย แถมแข่งจริงยังถูกชน เลยวิ่งไม่จบ และ เรอโนลต์ ดีใจกันยกใหญ่หนนี้ เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ทำไมมีนิตยสารเกี่ยวกับ เอฟ 1 ออกมาจำหน่ายหนหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ แล้วคนทำคงเบื่อ เลิกกันไปแล้ว
ก็บังเอิญไปพบใน www.sanook.com ขออนุญาตนำมาเผยแพร่ เป็นความรู้หนละเล็กละน้อยก็แล้วกันนะครับ เพราะบางเรื่อง ตัวกระผมเองยังไม่รู้เลย
ขอเริ่มต้นกันด้วยวลีอมตะที่อดีตตำนานวิศวกรยานยนต์ผู้ยิ่งใหญ่และล่วงลับไปแล้วก็คือ แฟร์ดินานด์ โพร์เช เคยกล่าวไว้ก็คือ "รถแข่งที่ดีที่สุดคือรถที่เข้าเส้นชัยเป็นคันแรก และจากนั้นก็จะแตกพังเป็นเสี่ยงๆ"
นั่นหมายความว่าการออกแบบเครื่องยนต์ในยุคนี้ ต้องเน้นไปที่การสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นระหว่างเครื่องยนต์ที่ให้กำลังมหาศาล แต่ก็ต้องทนทานนานพอสำหรับการวิ่งจนครบการแข่งขัน
ถ้าเราได้เห็นวิวัฒนาการในเรื่องพละกำลังของเครื่องยนต์ในรถแข่ง เอฟ 1 จากอดีตจนถึงปัจจุบัน เราจะทึ่งไปกับมันไม่น้อย
ย้อนกลับไปในทศวรรษที่ 50 รถแข่ง เอฟ 1 ในเวลานั้นสามารถจะรีดพลังออกมาที่ 100 bhp/litre ตัวเลขที่ว่านี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกาลเวลาผ่านไป
เมื่อถึงยุคของเครื่องยนต์เทอร์โบรุ่งเรือง กำลังที่ได้จากเครื่อง เอฟ 1 มีขนาดที่ 750 bhp/litre และมีแนวโน้มว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย จนกระทั่งในปี 1989 ที่มีแนวคิดจะให้กีฬา เอฟ 1 กลับคืนสู่สามัญ ตัวเลขนั้นเลยลดลง ก่อนจะเพิ่มสูงกลับขึ้นมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้
อย่างไรก็ดีความพยายามที่จะทำให้เครื่องยนต์มีกำลังที่มากเกินพอดี ก็พบได้ในทุกการแข่งขัน ที่รถแข่งของทีมแข่งบางทีมมักจะมีปัญหาต้องออกจากการแข่งขันอยู่บ่อยๆ เพราะเครื่องพังนั่นเอง สำหรับตัวเลขรอบที่เครื่องยนต์ในรถแข่งเอฟวันทำได้นั้น อยู่ที่ประมาณ 18,000 รตน.
การสร้างเครื่องยนต์ เอฟ 1 ในยุคปัจจุบัน เน้นไปที่ความกระทัดรัดและน้ำหนักที่เบาขึ้น ขณะเดียวกันก็ควรจะอยู่ต่ำที่สุดที่จะเป็นได้เพื่อให้รถมีแรงดึงดูดต่อจุดศูนย์กลางมากขึ้น
ระบบเกียร์ในรถแข่ง เอฟ 1 ยุคนี้ ล้วนเป็นแบบออโตเมติกทั้งสิ้น โดยนักแข่งสามารถจะเปลี่ยนเกียร์ได้บนพวงมาลัยที่ออกแบบมาอย่างไฮเทค อย่างไรก็ดีในปี 2004 เอฟไอเอ หรือ (FIA) ได้มีมติไม่ให้บรรดาทีมแข่งติดตั้งระบบอำนวยความสะดวกบางอย่างต่อนักแข่ง เช่น LAUNCH CONTROL กับตัวรถ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าอย่างน้อยที่สุด นักแข่งก็ต้องแตะกันทุกคนอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วงของการออกสตาร์ท
และอย่างที่ทราบกันดีว่าในปี 2004 เอฟไอเอ ยังได้ออกกฏใหม่ขึ้นมาเกี่ยวกับเครื่องยนต์โดยคำนึงถึงความสิ้นเปลืองของทีมแข่งต่างๆ เมื่อมีการกำหนดว่าทีมแข่งแต่ละทีมจะสามารถใช้เครื่องยนต์ได้เพียงเครื่องเดียวเท่านั้นตลอดทั้งสัปดาห์ที่มีการแข่งขัน รวมถึงการฝึกซ้อม และ ในรอบคัดเลือก โดยมีข้อยกเว้นบางอย่าง เช่น หากนักแข่งคนใดต้องการจะเปลี่ยนเครื่องยนต์ก่อนหน้าที่จะเริ่มการแข่งขัน นักแข่งรายนั้นต้องยอมถูกร่นอันดับในการออกสตาร์ทจริงลงไปอีก 10 อันดับจากอันดับที่ทำได้ในรอบคัดเลือก
หอมปากหอมคอแค่นี้ก่อนนะครับ รอบหน้ามีเรื่องสนุกมาคุยเยอะเลย
ขนาดยังไม่ถึงปลายเดือนมีนาคม ยังมีขนาดนี้ แล้วพอถึงต้นเดือนเมษายน ช้างสารชนกันอีก สนุกแน่ครับ
เชื่อขนมกินกันก่อนยังได้
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน เมษายน ปี 2548
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/7992