ธุรกิจ
ซาโตชิ โตชิดะ กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ประจำภูมิภาคเอเชีย และโอเชียเนีย บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด และประธานกรรมการบริหาร และซีอีโอ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด ร่วมกับผู้บริหาร บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด/บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด และ บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยถึงแผนงานของกลุ่ม ฮอนดา ในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชีย และโอเชียเนีย ว่าบริษัทจะมีการลงทุนเพิ่มในภูมิภาคนี้ต่อไปในปี 2548 เพื่อขยายกำลังการผลิต และเพิ่มความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ครอบคลุมพื้นที่จากประเทศปากีสถาน ไปจนถึงนิวซีแลนด์ ยกเว้นจีน และญี่ปุ่น
ซาโตชิ โตชิดะ กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ประจำภูมิภาคเอเชีย และโอเชียเนีย บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด และประธานกรรมการบริหาร และซีอีโอ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด ร่วมกับผู้บริหาร บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด/บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด และ บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยถึงแผนงานของกลุ่ม ฮอนดา ในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชีย และโอเชียเนีย ว่าบริษัทจะมีการลงทุนเพิ่มในภูมิภาคนี้ต่อไปในปี 2548 เพื่อขยายกำลังการผลิต และเพิ่มความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ครอบคลุมพื้นที่จากประเทศปากีสถาน ไปจนถึงนิวซีแลนด์ ยกเว้นจีน และญี่ปุ่น
สำหรับรถจักรยานยนต์ ฮอนดา จะขยายโรงงานแห่งที่ 3 ในประเทศอินโดนีเซีย ด้วยกำลังการผลิต 1 ล้านคัน/ปี จะเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงครึ่งปีหลัง 2548
ส่วนเรื่องของกิจกรรมส่งเสริมความปลอดภัย และให้ความรู้ด้านการขับขี่ปลอดภัย แก่ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ระดับนานาชาติ ฮอนดา จะขยายพื้นที่ศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยในไทย และเปิดศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยแห่งที่ 2 ในประเทศเวียดนาม รวมทั้งก่อตั้งศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยแห่งใหม่ในประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
สำหรับรถยนต์ ฮอนดา จะเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานที่ประเทศอินเดีย จาก 30,000 คัน/ปี เป็น 50,000 คัน/ปี และเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานที่ประเทศอินโดนีเซียจาก 40,000 คัน เป็น 50,000 คัน/ปี ส่วนประเทศไทยอีก 2 ปีข้างหน้า จะลงทุนเพิ่มประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท ขยายการผลิตชิ้นส่วนเพื่อการประกอบ (CKD) ที่ผลิตในประเทศสำหรับส่งออก โดยจะมีการสร้างสายการผลิตใหม่สำหรับการปั๊มขึ้นรูปชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์ โรงผลิตชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติค และสายการผลิตปลอกสูบ
ส่วนเครื่องยนต์อเนกประสงค์ ยังให้ความสำคัญกับประเทศไทย โดยปี 2548 บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด จะผลิตเครื่องยนต์ขนาดเล็ก ทำให้กำลังการผลิตต่อปีเพิ่มขึ้นอีก 480,000 เครื่อง เป็น 1.8 ล้านเครื่อง จากเดิม 1.32 ล้านเครื่อง โดย 90 % ของเครื่องยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็ก จะส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
คณะผู้บริหารกล่าวต่อไปว่า ในปี 2548 ฮอนด้า ฯ ตั้งเป้าจะผลิต ผลิตภัณฑ์หลักเพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้าทั่วโลกรวม 21.9 ล้านคน โดยจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น 13 % จากปี 2547 โดยจักรยานยนต์ ฮอนดา คาดว่าจะผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเกือบ 9 ล้านคน ในภูมิภาคเอเชีย และโอเชียเนีย
สำหรับตลาดในไทยคาดว่าจะมียอดจำหน่าย 1.45 ล้านคัน โดยในช่วงกลางปี 2548 บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด จะเปิดตัวรถจักรยานยนต์ระบบหัวฉีด โดยจะเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีราคาลดลง รวมถึงการปรับโฉมรถจักรยานยนต์รุ่นหลักๆ ที่จำหน่ายอยู่
ส่วนรถยนต์วางแผนจำหน่ายในภูมิภาคนี้ 310,000 คัน เพิ่มขึ้น 12 % จากปี 2547 โดยในประเทศไทย ฮอนดา ตั้งเป้าจำหน่ายไว้ที่ 80,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 6 % จากปีที่แล้ว นอกจากนี้ภายในปี 2549 จะขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายทั่วประเทศจาก 112 เป็น 150 แห่ง
ด้านการส่งออกรถจักรยานยนต์ รถยนต์ เครื่องยนต์อเนกประสงค์ ชิ้นส่วนเพื่อการประกอบ (CKD) และชิ้นส่วนยานยนต์ ฮอนดา ที่ผลิตจากประเทศไทยไปจำหน่ายกว่า 70 ประเทศทั่วโลก คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออกรวมสูงกว่า 58,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ฮอนดา ยังได้ลงทุน 850 ล้านบาท เพื่อขยายสำนักงานแห่งใหม่ ของ บริษัท ฮอนด้า อาร์แอนด์ดี เซาท์อีสท์ เอเชีย จำกัด เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนารถจักรยานยนต์สำหรับภูมิภาคนี้ และทดสอบเทคโนโลยีของรถต้นแบบให้สามารถทำได้ในประเทศไทย
ส่วนบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ลงทุนอีกประมาณ 317 ล้านบาท เพื่อก่อตั้งศูนย์ฝึกอบรมด้านเทคนิค และบริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรทั้งในด้านการขายและการบริการ รวมถึงยังรับหน้าที่ในการฝึกอบรมผู้ฝึกสอนในระดับอาเซียน ซึ่งเดิมเป็นหน้าที่ของศูนย์ฝึกอบรมที่ประเทศญี่ปุ่น
ออโตเมติค บิสซิเนส ฯ
เปิดตัวสินค้าใหม่ OEM
วิบูลย์ ว่องศิลป์วัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออโตเมติค บิสซิเนส กรุ๊ป จำกัด ผู้แทนจำหน่ายสัญญาณกันขโมย ABT/RAKON/AG GUARD และ OEM DEALER OF ABG เปิดเผยว่า จากการเติบโตของรถพิคอัพ โดยเฉพาะ อีซูซุ ดี-แมกซ์ ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ดังนั้นบริษัทจึงได้ตอบรับกระแสความนิยม ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์สัญญาณกันขโมย เพื่อรถ อีซูซุ ดี-แมกซ์ โดยเฉพาะ ภายใต้ชื่อ OEM ภายใต้คอนเซพท์ "OEM DEALER OF ABG"
สำหรับอุปกรณ์กันขโมยทุกชิ้นถูกออกแบบให้สอดคล้องกับโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ อีกทั้งวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ก็มีมาตรฐาน ISO และ QS ซึ่งอุปกรณ์ทั้งชุดประกอบด้วย กล่องควบคุม พร้อมระบบ SHOCK SENSOR แบบ BILL IN สวิทช์ฝากระโปรงหน้ากันน้ำ 100 % ไซเรนอุปกรณ์ต่อเชื่อมระบบไฟฟ้าด้วยสายไฟนิรภัย OEM COMPLETE SET อุปกรณ์ LED และรีโมทคอนทโรล
ส่วนการติดตั้งของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น กล่องควบคุมถูกเชื่อมต่อแล้วติดตั้งภายในคอนโซลต่อแบบ SOCKET ทำให้ปลอดภัย ให้ความแม่นยำในการทำงาน และไม่มีผลกระทบต่อระบบสมองกลของสวิทช์ฝากระโปรงหน้า และไซเรนที่มีตำแหน่งและพื้นที่เพื่อการติดตั้งโดยเฉพาะเส้นทางเดินสายไฟ อุปกรณ์ LED กลมกลืนกับคอนโซลหน้าอย่างสวยงาม อุปกรณ์ทุกชิ้นติดตั้งได้สะดวก โดยไม่มีการตัดต่อดัดแปลง เพราะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับโครงสร้างของรถ
นอกจากนี้ลูกค้า อีซูซุ ดี-แมกซ์ จึงมั่นใจได้ในประสิทธิภาพการใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบ และ OEM ยังเพิ่มความอุ่นใจให้แก่ลูกค้าด้วยกรมธรรม์คุ้มครองสูงสุด 255,000 บาท ภายใต้มาตรฐาน OEM DEALER OF ABG จำหน่ายในราคาเพียง 8,500 บาท
สัมพันธ์ประกันภัย ฯ
เซ็นสัญญา มิลลาเคิล ฯ
ศรีศักดิ์ ณ นคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด และ เจริญ เฟื่องอารมย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลลาเคิล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมกับอู่ในชมรมรถใช้ระหว่างซ่อม จัดทำ โครงการพัฒนาอู่ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เอาประกันได้รับความพึงพอในงานด้านบริการของบริษัทมากยิ่งขึ้น โดยที่ผ่านมาอู่ในโครงการได้เริ่มปรับปรุงในด้านเครื่องมืออุปกรณ์ รวมถึงการปรับปรุงมาตรฐานของอู่ให้ดีขึ้นในเรื่องของสถานที่ และบุคลากร
โดยล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญากับ บริษัท มิลลาเคิล ประเทศไทย จำกัด และอู่โครงการรถใช้ระหว่างซ่อม นำสีพ่นรถยนต์ มิลลาเคิล จากประเทศเยอรมนี เข้ามาบริการลูกค้า โดยสีที่นำเข้ามาเป็นสี 2K ที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับสีชั้นนำทั่วไป แต่ราคาถูกกว่า ทำให้ต้นทุนในเรื่องค่าสินไหมทดแทนลดลง ซึ่งจะส่งให้ผลประกอบการดีขึ้น
สำหรับการเข้ามาเปิดตลาดของ สีพ่นรถยนต์ มิลลาเคิล ในครั้งนี้จะเริ่มทำตลาดกับ อู่โครงการรถใช้ระหว่างซ่อม ของสัมพันธ์ประกันภัย ฯ ก่อน โดยจะมีราคาที่ลดลงจากตลาดประมาณ 20-25 % ซึ่งหลังจากนั้นก็จะมีการขยายตลาดไปในส่วนต่างๆ
นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,100 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายงานภายในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าการผลิตยอดเบี้ยประกันภัยจะไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนที่จะขยายตัวแทนเข้าไปในทุกอำเภอ หมายถึง การแต่งตั้งตัวแทน 1 อำเภอ 1 สัมพันธ์ ฯ คาดว่าจะมีอู่เพิ่มขึ้นประมาณ 100 แห่ง ที่จะเป็นมาตรฐานในโครงการรถใช้ระหว่างซ่อม สำหรับการขยายตัวแทนเพิ่มขึ้นในต่างจังหวัดมีสาเหตุมาจากที่ผ่านมาตัวแทนของบริษัทจะเน้นอยู่ที่ กรุงเทพ ฯ เป็นส่วนใหญ่ โดยมีตัวแทนกว่า 1,000 ราย ซึ่งแผนการขยายไปในทุกอำเภอนั้น คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 100 %
ส่วนในเรื่องของเบี้ยประกัน บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มเบี้ยประกัน 5-10 % ทั้งระบบ แต่ในส่วนของรถแทกซี และรถบรรทุก ยังไม่มีการปรับเพิ่ม ซึ่งการเพิ่มเบี้ยประกันครั้งนี้จะเน้นที่รถใหม่ เนื่องจากมีโอกาสเกิดเหตุใกล้เคียงกันกับรถเก่า แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะเน้นเรื่องการบริการเป็นหลัก เพื่อเพิ่มความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าของบริษัท
เชฟโรเลต์
แต่งตั้งฝ่ายการตลาด
บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด แต่งตั้ง สมภพ ปฏิพันธาดา เป็นผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด
ที่ผ่านมา สมภพ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีแห่งโตเกียว และทำงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ญี่ปุ่นนานถึง 5 ปี หลังจบการศึกษา จากนั้น สมภพ มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทยกว่า 8 ปี ก่อนร่วมงานกับ เชฟโรเลต ฯ ซึ่งรวมถึงบริษัทรถยนต์ของญี่ปุ่นด้วย
สมภพ เริ่มงานที่ เชฟโรเลต ฯ ในปี 2544 ในฐานะผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวางแผนดำเนินงานระจำภูมิภาคอาเซียน รับผิดชอบการวางแผนเชิงกลยุทธ์สำหรับประเทศในกลุ่มอาเซียน ส่วนหนึ่งของหน้าที่ที่รับผิดชอบขั้นแรก คือ การวางแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในรูปแบบต่างๆ และการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการของตลาด รวมไปถึงการคาดการณ์สภาพตลาดในอนาคตอีกด้วย
บัตรกรุงไทย ฯ
เปิดแผนตลาดเชิงรุกแนวใหม่
นิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2548 บริษัทได้เตรียมแผนการตลาดใหม่ ภายใต้คอนเซพท์ "EXPERIENCE THE NEW EXPERIMENTAL" เน้นการตอบสนองผู้บริโภคยุคใหม่ ที่มีความต้องการในการแสวงหาและทดลองสิ่งใหม่ๆ รวมถึงเน้นการมอบสิทธิประโยชน์ เจาะลึกทุกรูปแบบของการใช้ชีวิต โดยเข้าถึงทุกกิจกรรมความต้องการของลูกค้าเพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด ได้สัมผัสสินค้าและบริการ รวมถึงสิทธิประโยชน์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะมีบัตรเครดิทและบัตรกิฟท์คาร์ด ออกมาในหลากหลายรูปแบบ
บัตรเครดิทสำหรับองค์กร บัตรฟลีทคาร์ด ร่วมกับ ปตท.ฯ และ บางจาก ฯ ออกบัตรเพื่ออำนวยความสะดวกในการเติมน้ำมัน และสามารถใช้แทนเงินสดสำหรับองค์กร
บัตรเครดิทส่วนบุคคลสำหรับลูกค้าไลฟ์สไตล์ในรูปแบบต่างๆ เช่น กลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ แบ่งออกเป็น บัตรเครดิทเคทีซี วีซาอินฟินิท สำหรับบุคคลพิเศษที่ได้รับการเชิญเป็นสมาชิกเท่านั้น บัตรเคทีซี วีซาแพลทินัม สำหรับกลุ่มลูกค้ารายได้ระดับสูง และ บัตรเคทีซี วีซาทอง ให้อำนาจและสิทธิพิเศษเหนือบัตรทองทั่วไป
กลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบความหลากหลาย เช่น บัตรเคทีซี วีซา เชพ คาร์ด บัตรแรกและใบเดียวที่เปิดโอกาสให้คุณเลือกดีไซจ์นของบัตรให้เหมาะสมกับความชื่นชอบของตัวคุณเอง บัตรเติมเงิน หรือบัตรของขวัญ เป็นบัตรที่ลูกค้าสามารถเลือกแบบและจำนวนเงินในบัตรได้ตามต้องการ
กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความคุ้มค่าในทุกๆ ครั้งของการใช้จ่าย บัตรเครดิทเคทีซี วีซาแคชแบค เป็นบัตรเครดิทที่คืนเงินเข้าบัญชีของผู้ถือบัตรสำหรับทุกยอดการใช้จ่าย ด้วยอัตราสูงสุด 0.8 %
การปรับแผนการตลาดครั้งนี้ ถือเป็นมิติใหม่ทางการตลาดที่จะมอบสิทธิประโยชน์และทางเลือกที่ฉีกแนวจากบัตรเครดิททั่วไป ซึ่งจะมีความชอบและมีรูปแบบในการดำเนินชีวิตเฉพาะบุคคลที่แตกต่างกัน โดยเคทีซี มุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์และสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม เพื่อให้สามารถนำบัตรไปใช้ได้ในทุกโอกาส
การใช้รูปแบบการตลาดเชิงรุกแนวใหม่ โดยการออกผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกความต้องการ และความชื่นชอบของกลุ่มลูกค้า จะสร้างความพึงพอใจสูงสุด และสร้างความเป็นสุดยอดแบรนด์ในใจลูกค้า ขยายฐาน และชิงส่วนแบ่งการตลาดได้มากยิ่งขึ้น
ยังค์มีดี ฯ
เปิดร้าน โปร-ชอพ สาขา 3
ธรวัตน์ กนกธราธร ผู้จัดการทั่วไป โพร-ชอพ บริษัท ยังค์มีดี ฟิวเจอร์ กรุพ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับรถยนต์ และอุปกรณ์ประดับรถยนต์ เปิดเผยว่า ร้าน PRO-SHOP สาขา ซีคอนสแควร์ นับเป็นสาขา 3 ของบริษัท และเป็นคอนเซพท์ใหม่ที่แตกต่างจาก 2 สาขาเดิมที่อาคาร ศรีวรจักร คือ มีการตกแต่งสไตล์ใหม่สำหรับร้านค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าตกแต่งรถยนต์ ด้วยการจัดร้านในแนว CONTEMPORARY สีสันสดใส การตกแต่งภายในสวยงาม โดดเด่นสะดุดตา การจัดเรียงสินค้าครบครัน เพียบพร้อมไปด้วยสินค้าคุณภาพ
ทั้งนี้ โพร-ชอพ สาขา ซีคอนสแควร์ เป็นการยกระดับร้าน เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างมากขึ้น ตอบสนองผู้ใช้รถทั่วไป จนถึงผู้ที่ชื่นชอบการตกแต่งรถเป็นชีวิตจิตใจ เน้นการจำหน่ายสินค้าตกแต่งรถยนต์ชั้นนำระดับโลก เช่น โมโม/สปาร์โค และ ซาเบลท์ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าที่ต้องการสินค้าในระดับเวิร์ลด์คลาสส์ที่แท้จริง รวมถึงลูกค้าที่ต้องการสินค้าเพื่อการใช้งานในการแข่งขันทั้งระดับชาติ และนานาชาติ
สำหรับร้านโพร-ชอพ สาขา ซีคอนสแควร์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท โดยในอนาคตบริษัทวางแผนที่จะขยายกิจการของร้านประเภทนี้ไปในส่วนของจังหวัดต่างๆ มากขึ้น ซึ่งในช่วงแรกจะเน้นที่จังหวัดใหญ่ๆ เช่น เชียงใหม่/ชลบุรี/ระยอง/อุดรธานี และ ขอนแก่น ตั้งเป้าในปีนี้จะเปิดทั้งสิ้น 10 สาขา เนื่องจากในปัจจุบันมีลูกค้าจากต่างจังหวัดเข้ามาซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก
ในระยะยาว การเปิดสาขาเพิ่มขึ้นในปีหน้า และประสบความสำเร็จ บริษัทก็มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปสู่ระบบแฟรนไชส์ เพราะในปัจจุบันพันธมิตรทางการค้าของบริษัทก็อยากที่จะเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่บริษัทจำหน่ายอยู่ เนื่องจากมองว่าสินค้ามีคุณภาพ และเติบโตในตลาด ซึ่งหากมาร่วมธุรกิจกันจะสามารถสร้างความพึงพอใจสูงสุด และได้ประโยชน์ร่วมกัน แต่อย่างไรก็ตามต้องดูความเป็นไปได้ของตลาด และคอนเซพท์ใหม่ด้วยว่าจะประสบความสำเร็จอย่าง 2 สาขาแรกที่สามารถดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลานาน
เทเวศประกันภัย ฯ
เปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่
ดร. จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานกรรมการ และ อวิรุทธ์ วงศ์พุทธพิทักษ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสภาพการแข่งขันของประกันภัย ทำให้บริษัทมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงองค์กรมากขึ้น โดยเฉพาะการเจาะกลุ่มลูกค้ารายย่อย ทั้งนี้เพื่อให้ลูกค้ารู้จักบริษัทเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการบริการ โดยบริษัทจะเน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาดต่างๆ ตลอดปี 2548 นี้
สำหรับภาพลักษณ์ใหม่ของบริษัทจะประกอบด้วยหลัก 4 ประการคือ ลูกค้าคือหัวใจ คงไว้เกียรติภูมิ รอบรู้เชี่ยวชาญ สืบสานความเชื่อมั่น ซึ่งลักษณะทั้ง 4 ประการนี้จะนำไปสู่คำสัญญาของบริษัท คือ "เทเวศประกันภัย คุ้มครองเคียงข้างคุณ" ซึ่งเป็นคำมั่นที่บริษัทให้แก่ลูกค้า ผู้บริโภค ผู้เกี่ยวข้อง และประชาชนทั่วไป
นอกจากนี้บริษัทยังได้เปลี่ยนโลโกใหม่จากเดิมที่เป็นตราเทวดา ซึ่งมีลักษณะเป็นตราสัญลักษณ์ของหน่วยงานของรัฐและมีรายละเอียดมาก มาเป็นโลโกใหม่ที่ทันสมัย มีตัวหนังสือภาษาไทย "เทเวศ" สีน้ำเงินเข้มบนพื้นสี่เหลี่ยมสีเหลือง ด้านล่างเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยม สีน้ำเงินและมีชื่อ "DEVES INSURANCE"
ด้านการเปลี่ยนแปลงบริษัทมีแผนที่จะสื่อสารเรื่องภาพลักษณ์ขององค์กรกับกลุ่มเป้าหมายคือ พนักงาน ลูกค้า ผู้ถือุหุ้น และประชาชนทั่วไป รวมถึงการพัฒนาระบบสื่อสารข้อมูลไปยังผู้ถือหุ้นให้มากขึ้น เพื่อสอดคล้องกับนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดี ให้ความสำคัญต่อการเปิดเผยข้อมูล ส่วนประชาชนทั่วไปจะได้พบเห็นสื่อโฆษณาของ เทเวศ ฯ และการเปลี่ยนแปลงอาคารสำนักงานใหญ่ สำนักงานสาขา และหน่วยบริการลูกค้า
เงินทุนธนชาติ ฯ
ปี '48 ปล่อยสินเชื่อรถยนต์ 1.5 แสนคัน
บัณฑิต ชีวะธนรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เงินทุน ธนชาติ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ของบริษัทประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยจะมีทั้งรถเก่าและรถมือสอง ในปีที่ผ่านมา บริษัทให้เช่าซื้อรถยนต์ประมาณ 133,000 คัน คิดเป็นวงเงิน 52,500 ล้านบาท สูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ 7 % โดยแบ่งเป็นรถใหม่ประมาณ 44,000 ล้านบาท หรือ 84 % และรถมือสองประมาณ 8,500 ล้านบาท หรือ 16 %
สำหรับในปี 2548 บริษัทตั้งเป้าให้เช่าซื้อรถยนต์ประมาณ 1.5 แสนคัน คิดเป็นวงเงิน 60,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วจำนวน 7,500 ล้านบาท หรือ 14 % แบ่งเป็นรถใหม่ 100,500 คัน วงเงิน 47,000 ล้านบาท รถมือสอง 49,500 คัน วงเงิน 13,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ในปี 2548 บริษัทได้ปรับเป้าหมายเน้นให้เช่าซื้อรถยนต์มือสองเพิ่มมากขึ้นจากปี 2547 ที่มีรถมือสองสัดส่วนประมาณ 16 % ให้อยู่ที่ประมาณ 22 % ของยอดการให้เช่าซื้อรวม เนื่องจากอัตราผลตอบแทนการให้เช่าซื้อรถมือสองสูงกว่ารถใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยรับของบริษัทเพิ่มขึ้น
กลยุทธ์ที่ทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายการเป็นผู้นำด้านธุรกิจเช่าซื้อ ประกอบด้วย การมีสำนักอำนวยสินเชื่อ 16 แห่ง มีเจ้าหน้าที่การตลาดจำนวนมาก ประมาณ 400 คน ทำให้สามารถให้บริการได้ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงการเป็นพันธมิตรที่ดีกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์กว่า 3,000 แห่ง และมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อรถยนต์ครบทุกประเภท ทั้งบริการเช่าซื้อรถยนต์สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ในลักษณะ "FLEET" และมีบริการสินเชื่อเพื่อสินค้าคงคลังแก่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์
นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการตลาดในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดกิจกรรมแสดงรถยนต์ในกรุงเทพ ฯ และร่วมกับตัวแทนจำหน่ายตามสถานที่ต่างๆ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้าเช่าซื้อรถยนต์ เพื่อฐานลูกค้า รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจรถยนต์ เพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
แมกไกวส์ ฯ
จัด แมกไกวส์ อวอร์ด ในไทย
แบร์รีย์ แมกไกวส์ ประธานและซีอีโอ แมกไกวส์ อินค์ เปิดเผยว่า จากความสำเร็จของการจัดงาน ประกวด แมกไกวส์ อวอร์ด ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ผลิตกับผู้ใช้ แต่การประกวด แมกไกวส์ อวอร์ด นั้นจะเป็นการมอบรางวัลให้แก่บุคคลมากกว่าชมรม เนื่องจากที่ผ่านมา แมกไกวส์ จะมีการสนับสนุนในทุกชมรม เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในสินค้า แมกไกวส์ มากยิ่งขึ้น
สำหรับการจัดการประกวด แมกไกวส์ อวอร์ด ในประเทศไทย จะจัดขึ้นในเดือน กรกฎาคม 2548 โดยที่ผ่านมา การจัดงานนอกสหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จมาแล้วไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ/นิวซีแลนด์ และไทย นับว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จที่สุดในภูมิภาคนี้ จึงเลือกประเทศไทย รวมถึงความพร้อมในหลายๆ ด้าน ทั้งในเรื่องของชมรมต่างๆ โดยในปี 2549 จะจัดงานที่ออสเตรเลีย
จุดประสงค์ของการจัดงาน เพื่อให้ชมรมคนรักรถต่างๆ สร้างความสัมพันธ์ และเป็นการรวมชมรมเล็กๆ ให้มาพบกัน และสร้างมาตรฐานในการปกป้องดูแลรักษารถ ซึ่งผู้ชนะการประกวดครั้งนี้จะมีชื่อเสียง มีคนยอมรับ รวมถึงต้องการสร้างชื่อสินค้าให้มีการแพร่หลายมากยิ่งขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามการสนับสนุนคนรักรถ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สินค้า แมกไกวส์ อยู่แล้วได้รู้จักมากขึ้น และสร้างการทดลองให้กับคนที่ไม่รู้จักสินค้า เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ นั่นคือแผนการตลาดของ แมกไกวส์ ทั่วโลก
ทั้งนี้ในส่วนของการแข่งขันในตลาดนั้น ปัจจุบันมีสินค้าบำรุงรักษารถยนต์ใหม่เข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยความแตกต่างของ แมกไกวส์ ที่อยู่มานานกว่า 103 ปี ทำให้ผู้ที่ใช้ แมกไกวส์ ยังคงใช้อย่างต่อเนื่อง และด้วยการทำตลาดที่ไม่ทำสัญญา ซึ่งแตกต่างจากยี่ห้ออื่น ทำให้ แมกไกวส์ มีจุดเด่นของสินค้า
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2548
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/7925