เทคนิค
ต้องเปลี่ยนไส้กรองหรือหม้อกรองน้ำมันเครื่องทุกครั้งที่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหรือไม่ ?
1. ถาม
ต้องเปลี่ยนไส้กรองหรือหม้อกรองน้ำมันเครื่องทุกครั้งที่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหรือไม่ ?
ตอบ
ผู้ผลิตรถยนต์จากยุโรป แนะนำให้เปลี่ยนพร้อมกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้ง แต่โรงงานผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่น จำนวนไม่น้อยแนะนำให้เปลี่ยนไส้กรองหรือหม้อกรองทุกๆ ครั้งที่สองของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
ถ้าคำนึงถึงคุณภาพของน้ำมันเครื่องยุคปัจจุบันแล้ว การถูกน้ำมันเครื่องหมดอายุแล้วในหม้อกรองน้ำมันเครื่องจำนวนหนึ่งปนเปื้อน ไม่ถึงกับให้โทษในด้านการหล่อลื่นหรือทำความสะอาดภายในเครื่องยนต์ แต่เมื่อคำนึงถึงราคาหม้อกรองหรือไส้กรองน้ำมันเครื่อง ซึ่งถูกกว่าราคาน้ำมันเครื่องแล้ว ควรเปลี่ยนทุกครั้งเพื่อให้น้ำมันเครื่องสะอาดที่สุด ได้ทำหน้าที่รักษาเครื่องยนต์ของเราจะดีกว่า
2. ถาม
เหตุใดผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จึงกำหนดระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสั้นกว่าผู้ผลิตรถจากยุโรป ?
ตอบ
น้ำมันเครื่องที่จำหน่ายในท้องตลาดของประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำในยุโรปนั้น มีคุณภาพสูงมาก ผู้ผลิตรถยนต์เหล่านี้ จึงสามารถเลือกระยะใช้งานน้ำมันเครื่องได้มาก เช่น 12,000 ถึง 15,000 กิโลเมตร ส่วนรถญี่ปุ่นอาจอยู่ในระยะประมาณครึ่งเดียว คือ ราว ๆ 5,000 ถึง 7,000 กิโลเมตร เพราะผู้ผลิตรถของญี่ปุ่นกำหนดมาตรฐานน้ำมันเครื่องที่จะให้ลูกค้าใช้ไว้ไม่สูงนัก เช่น ระดับ SF (ตามมาตรฐาน API) ในขณะที่ปัจจุบันมีน้ำมันเครื่องมาตรฐานสูงกว่าจำหน่ายทั่วไปแล้ว เช่น ระดับ SG SH SJ (สูงสุดสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน)
3. ถาม
ควรเติม " หัวเชื้อ " น้ำมันเครื่องเพื่อถนอมเครื่องยนต์หรือไม่ ?
ตอบ
เราแบ่งหัวเชื้อน้ำมันเครื่องได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ช่วยเพิ่มคุณภาพของน้ำมันเครื่อง และประเภทที่ช่วยเพิ่มความหนืด (หรือความข้น) ของน้ำมันเครื่อง น้ำมันเครื่องคุณภาพสูงในปัจจุบันมีส่วนผสมของสารต่างๆ อยู่ในปริมาณที่สมดุลเหมาะเจาะเป็นสัดส่วนที่ได้จาการค้นคว้า วิจัย และทดสอบอย่างจริงจังสูงสุดของโรงงานระดับโลก จึงไม่ควรใส่สารอื่นเข้าไปทำลายสัดส่วนสารเคมีเหล่านี้ให้เสียสมดุล และกลับให้โทษแก่เครื่องยนต์
หัวเชื้อน้ำมันเครื่องประเภทนี้ จึงเป็นสิ่งมีประโยชน์ในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยที่คุณภาพของน้ำมันเครื่องยังไม่สูงพอเท่านั้น ส่วนหัวเชื้อน้ำมันเครื่องที่ช่วยเพิ่มความหนืดอาจช่วยลดความสิ้นเปลืองน้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์ที่หมดสภาพแล้วได้บ้าง แต่เมื่อคำนึงถึงราคาของมันแล้ว ก็ไม่น่าจะช่วยประหยัดได้ และเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วย วิธีที่ถูกต้องคือการซ้อมใหญ่ ( โอเวอร์ฮอลล์) เพื่อให้เครื่องยนต์กลับสู่สภาพดีปกติ
4. นำน้ำมันเครื่องต่าง "ยี่ห้อ" หรือต่างระดับคุณภาพมาเติมปนกันได้หรือไม่ ?
เราไม่ควรทำให้ส่วนผสมของสารเพิ่มคุณภาพในน้ำมันเครื่องเสียสมดุล (ดุเหตุผลในคำตอบข้อที่แล้ว) จึงไม่ควรเอาน้ำมันเครื่องคุณภาพต่ำเพียงครึ่งลิตร มาทำลายน้ำมันเครื่องชั้นดีราคาสูง และการนำน้ำมันเครื่องคุณภาพสูงสุดสักครึ่งลิตร มาผสมกับน้ำมันเครื่องคุณภาพปานกลาง ก็ไม่สามารถเพิ่มคุณภาพขึ้นมาได้ เอาเงินส่วนนี้ไปทำประโยชน์ส่วนอื่นจะดีกว่า
5. ถ้าเป็นการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องให้เติมน้ำมันเครื่องจนถึงขีดบน (MAX) เพราะน้ำมันเครื่องยิ่งมาก ยิ่งเสื่อมสภาพช้าลง และช่วยระบายความร้อนได้ดีด้วย หากระดับน้ำมันเครื่องลดลงเมื่อใช้งานไประยะหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องรีบเติม จนกว่าระดับจะลดลงมาอยู่ตรงกลางระหว่างขีดบน (MAX) และขีดล่าง (MIN) ไม่ควรเติมน้ำมันเครื่องเมื่อใกล้จะถึงกำหนดเปลี่ยนถ่าย เพราะไม่คุ้มกับการใช้งานเพียงระยะสั้น
6. ทำไมกำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องของรถจากโรงงานต่างๆ จึงต่างกันมาก ทั้งๆ ที่เป็นรถรุ่นใหม่เหมือนกัน ?
คุณภาพของวัสดุที่ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ยุคนี้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน และภาระที่เครื่องยนต์ถูกใช้งาน ก็เป็นองค์ประกอบด้านผู้ใช้รถ ไม่เกี่ยวข้องกับรุ่น และ "ยี่ห้อ" ของรถ เหตุที่กำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องของรถจากแต่ละโรงงานแตกต่างกันมาก มาจากคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่ผู้ผลิตกำหนดให้ใช้ (ในคู่มือประจำรถ ) โรงงานที่กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเครื่องไว้ต่ำ เช่น รถญี่ปุ่น จะมีกำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็นระยะทางที่สั้น เช่น ทุกๆ 7,500 กม. ส่วนโรงงานที่กำหนดมาตรฐานคุณภาพของน้ำมันเครื่องไว้สูง ( เช่น ระดับ SJ สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน ) จะกำหนดระยะทางไว้สูงกว่า เช่น 15,000 กม. หรือมากกว่านั้น กำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่มีระยะมากที่สุดในขณะนี้เป็นของรถ เปอโฌต์ ในยุโรป คือ ทุกๆ 30,000 กม.
7. เหตุใดรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล จึงต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อยกว่ารถยนต์เบนซิน ?
การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ดีเซล ก่อให้เกิดเขม่ามากกว่าในเครื่องยนต์เบนซิน ผงเขม่าขนาดเล็กสามารถลอดผ่านกระดาษกรองของหม้อกรองน้ำมันเครื่องได้ เมื่อสะสมแขวนลอยอยู่ในน้ำมันเครื่องมากขึ้น จะทำให้น้ำมันเครื่องมีค่าความหนืดสูงขึ้น คุณสมบัติในการหล่อลื่นจึงลดลง
เครื่องยนต์ดีเซลระบบฉีดตรงเข้าห้องเผาไหม้ หรือไดเรคท์อินเจคชันยุคใหม่มีเขม่าน้อยกว่าแบบพรีแชมเบอร์มาก เราจึงสังเกตได้ว่า กำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์แบบนี้ใกล้เคียงกับกำหนดสำหรับเครื่องยนต์เบนซินแล้ว
8. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100 % มีคุณภาพคุ้มค่ากับราคาหรือไม่ ?
จุดเด่นแรกของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์อยู่ที่ค่าความหนืดต่ำที่อุณหภูมิต่ำ จึงไหลไปหล่อลื่นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เริ่มติดเครื่องยนต์ในสภาพเย็นจัด เช่น ต่ำกว่า 0 ํ ซ ซึ่งสภาวะเช่นนี้ไม่มีในประเทศไทย
ข้อดีประการที่สอง คือทนต่อความร้อนสูงที่ผนังกระบอกสูบได้ดีกว่าจึงมีอัตราการระเหยเป็นไอได้น้อยกว่าน้ำมันเครื่อง "ธรรมดา" อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเครื่องอาจน้อยกว่าเล็กน้อย
.
จุดเด่นอีกข้อของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์คือการมีค่าดัชนีความหนืดสูง จึงไม่ "ใส" เกินไปเมื่อถูกความร้อนจัด น้ำมันเครื่องสังเคราะห์จึงมีสารปรับดัชนีความหนืดผสมอยู่ในอัตราที่น้อยกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดา เนื่องจากสารปรับดัชนีความหนืดนี้เสื่อมสภาพได้ง่ายตามอายุใช้งาน น้ำมันเครื่องสังเคราะห์จึงมีอายุใช้งานยาวนานกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดามาก ( 2 เท่าขึ้นไป เมื่อคิดการใช้งานเป็นระยะทาง )
เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100 % กับราคาน้ำมันเครื่อง "ธรรมดา" ระดับคุณภาพสูงสุดน้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะมีราคาสูงกว่าราว 2 ถึง 4 เท่า จึงไม่สามารถกล่าวได้ว่าคุ้ม ยกเว้นผู้ใช้รถกลุ่มต่างๆ ต่อไปนี้
4. พวกชอบใช้ของแพง ได้จ่ายเงินมากแล้วมีความสุข
5. ผู้ที่ต้องการถนอมให้เครื่องยนต์สึกหรอน้อยที่สุด โดยไม่คำนึงถึงราคาว่าคุ้มหรือไม่
6. ผู้ที่ใช้รถวันละไม่ต่ำกว่า 100 กม. และสามารถยืดระยะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเพิ่มจากที่กำหนดไว้ในคู่มือประจำรถได้อีก 5,000 ถึง 10,000 กม. เพื่อชดเชยกับราคาที่สูงกว่าของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ โดยไม่ต้องกังวลว่าน้ำมันเครื่องจะเสื่อมสภาพ
7. ผู้ที่ต้องการใช้รถเป็นเวลายาวนาน ( 200,000 กม. ขึ้นไป ) และไม่อยากมีปัญหากับการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ หรือโอเวอร์ฮอลเครื่องยนต์เดิม เพราะน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ช่วยลดความสึกหรอได้ระดับหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันเครื่องธรรมดา
9. การใช้น้ำมันเครื่องรุ่นธรรมดาราคาถูกแต่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อย ๆ เช่น ทุก 3,000 หรือ 4,000 กม. ช่วยถนอมเครื่องยนต์ได้ดีที่สุดหรือไม่ ?
ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง ในประเทศเราที่ไม่มีหน่วยงานควบคุมและตรวจสอบคุณภาพของน้ำมันเครื่องอยู่เลย แม้น้ำมันเครื่องระดับคุณภาพสูงที่เราซื้อมาก็อาจเป็นของปลอมที่กรองและฟอกสีมาจากกากน้ำมันเครื่องใช้แล้วได้
วิธีถนอมเครื่องยนต์ที่ดีที่สุด คือการเลือกใช้น้ำมันเครื่องธรรมดาระดับคุณภาพสูงสุด เช่น เอส เจ ระดับความหนืด 10W-40 , 15W-40 , 15W-50 หรือ 20W-50 จากแหล่งที่เชื่อถือได้ว่าเป็นของแท้ หรือไม่ก็ใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ตามวิธีในข้อ 8
10. ถ้าใช้รถระยะสั้นเป็นประจำ หรือใช้ "ในเมือง" ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อนครบกำหนดหรือไม่ ?
ผู้ใช้รถส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดอยู่ ว่าการใช้รถ "ในเมือง" หรือในสภาพการจราจรติดขัด ทำให้เครื่องยนต์สึกหรอกว่าปกติ ความจริงเป็นเพียงการที่เครื่องยนต์ต้องหมุนจำนวนรอบมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับการขับทางไกลในระยะทางเท่ากัน เพราะในสภาพการจราจรติดขัด ต้องใช้เกียร์ต่ำเป็นส่วนมาก และยังมีส่วนที่เครื่องยนต์ต้องทำงานขณะรถหยุดนิ่งปนอยู่ไม่น้อย
ส่วนความสึกหรอมากกว่าปกติของเครื่องยนต์นั้น เกิดขึ้นเมื่อเครื่องยนต์ทำงานขณะที่ยัง "เย็น" อยู่ เช่น ขณะออกรถจากบ้านไปทำงานตอนเช้า หรือติดเครื่องยนต์เมื่อเลิกงานเพื่อกลับบ้าน ไอของเชื้อเพลิงที่เข้มข้นจะเกาะผนังกระบอกสูบ และละลายปนกับฟีล์มน้ำมันเครื่องที่ฉาบผนังอยู่ ทำให้การหล่อลื่นแหวนลูกสูบกับผนังกระบอกสูบไม่เพียงพอ นอกจากนี้ทั้งเชื้อเพลิงที่ระเหยไม่หมด และไอน้ำที่เกิดจากการเผาไหม้ขณะเครื่องยังเย็นนี้ ยังละลายปนอยู่ในน้ำมันเครื่อง ทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเร็วขึ้นอีกด้วย
ผู้ใช้รถควรใช้วิจารณญาณในการร่นระยะเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ตามสภาพการใช้งานที่กล่าวมาแล้ว เช่น เหลือ 70% ของกำหนดในคู่มือ กรณีที่ใช้งานในสภาพการจราจรติดขัดเป็นส่วนใหญ่ หรือเหลือเพียง 50% ถ้าต้องสตาร์ทเครื่องเย็นบ่อยๆ และ "รถติด" เป็นประจำด้วย แต่ต้องใช้กำหนดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องในคู่มือใช้รถจริงๆ เป็นเกณฑ์ ซึ่งสวนใหญ่จะมีระยะทางราว 10,000 กม. ขึ้นไป ไม่ใช่กำหนดที่ปั๊มน้ำมันหรือศูนย์บริการฯ ลดทอนเอาเองมาก่อนแล้ว เพราะต้องการขายน้ำมันเครื่องให้มากเข้าไว้ก่อน
หรือยึดหลักง่ายๆ ดังนี้
.
ถ้าใช้น้ำมันเครื่อง "ธรรมดา" คุณภาพสูง แล้วใช้งานหนักมาก เปลี่ยนทุก 5,000 กม.
ถ้าใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100 % เปลี่ยนทุก 10,000 กม.
หากใช้งานเบากว่านี้ เพิ่มระยะทางได้ตามความเหมาะสม
11. ต้องทำอย่างไรในการเลือกซื้อน้ำมันเครื่องให้ได้คุณภาพสูงพอ ?
ก่อนอื่นต้องเลือก "ยี่ห้อ" และสถานที่จำหน่ายที่น่าไว้วางใจได้ แล้วจึงเลือกระดับคุณภาพ และระดับความหนืด หรือความข้นของน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมกับอุณหภูมิเฉลี่ยของเมืองไทย
ระดับคุณภาพที่รู้จักกันแพร่หลายในประเทศไทย คือระดับคุณภาพตามมาตรฐานของ API (AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE) ถ้าเป็นรถใช้เครื่องยนต์เบนซิน ควรใช้น้ำมันเครื่อง ระดับคุณภาพ SJ หรือ อย่างน้อย SH
ถ้าเป็นรถใช้เครื่องยนต์เบนซิน ควรเลือกระดับ CG - 4 หรืออย่างน้อย CF - 4
ส่วนระดับความหนืดที่เหมาะสมของน้ำมันเครื่องธรรมดา มีหลายระดับเลือกได้ตามใจชอบดังนี้
10 W-40
15 W-40
15 W-50
20 W-40
20 W-50
ตัวเลขหลัง-ต้องไม่ต่ำกว่า 40 (ยกเว้นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100 %)
ระดับความหนืดที่เหมาะสมของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100 % คือ
0 W-30
5 W-30
5 W-40
5 W-50
10 W-30
10 W-40
10 W - 50
10 W-60
15 W-40
15 W-50
12. จะทราบได้อย่างไร ว่ารถของเรา "กิน" น้ำมันเครื่องเกินระดับปกติหรือไม่ ?
ในคู่มือประจำรถ จะให้ค่านี้สูงเกินควรไปมาก เช่น บอกว่าถ้าสิ้นเปลืองน้ำมันเครื่องไม่ถึง 1 ลิตร ในระยะทาง 1,000 กม. ยังถือว่าเครื่องยนต์อยู่ในสภาพปกติ
สำหรับเครื่องยนต์ของรถเก๋งขนาดกลางทั่วไปความสิ้นเปลืองน้ำมันเครื่องไม่ควรสูงเกินกว่า 1 ลิตร ต่อ 5,000 กม. หรือไม่ควรเกิน 100 ซีซี ต่อ ระยะทาง 1,000 กม.
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มกราคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/7895