รถใหม่
ครั้งแรกที่ทีมงานของ "สื่อสากล" เดินทางไปเหยียบแผ่นดินของเมืองมะกันเพื่อชมงาน NAIAS (NORTH AMERICAN INTERNATIONAL AUTO SHOW) หรือ "มหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์" คือ เมื่อเดือนมกราคม 2007 ครั้งนั้นสิ่งที่คณะของเราได้สัมผัสทั้งด้วยมือด้วยตา และเป็นสิ่งที่ไม่เคยประสบพบเห็นมาก่อนเลยในงานแสดงรถยนต์รายการใดๆ นั่นก็คือ ทุกประตูทางเข้าทางออกงานซึ่งมีอยู่หลายประตู นอกจากเจ้าหน้าที่หน้าตาดุและวางมาดเข้ม 4-5 คน ที่ยืนตรวจตราไม่ยอมให้ผู้ไม่แขวนบัตรเดินผ่านประตูเข้าไปแล้ว ที่หมอบอยู่ 2-3 ตัวเคียงข้างเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ก็คือ สุนัขทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี ภารกิจของสัตว์เล็บงามที่ว่านี้ ก็คือ ใช้จมูกสูดดมค้นหาสิ่งผิดปกติเป้ในกระเป๋า และในอะไรก็ตามที่ผู้คนต้องการถือติดตัวเข้าไปในบริเวณงานด้วย
ครั้งแรกที่ทีมงานของ "สื่อสากล" เดินทางไปเหยียบแผ่นดินของเมืองมะกันเพื่อชมงาน NAIAS (NORTH AMERICAN INTERNATIONAL AUTO SHOW) หรือ "มหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์" คือ เมื่อเดือนมกราคม 2007 ครั้งนั้นสิ่งที่คณะของเราได้สัมผัสทั้งด้วยมือด้วยตา และเป็นสิ่งที่ไม่เคยประสบพบเห็นมาก่อนเลยในงานแสดงรถยนต์รายการใดๆ นั่นก็คือ ทุกประตูทางเข้าทางออกงานซึ่งมีอยู่หลายประตู นอกจากเจ้าหน้าที่หน้าตาดุและวางมาดเข้ม 4-5 คน ที่ยืนตรวจตราไม่ยอมให้ผู้ไม่แขวนบัตรเดินผ่านประตูเข้าไปแล้ว ที่หมอบอยู่ 2-3 ตัวเคียงข้างเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ก็คือ สุนัขทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี ภารกิจของสัตว์เล็บงามที่ว่านี้ ก็คือ ใช้จมูกสูดดมค้นหาสิ่งผิดปกติเป้ในกระเป๋า และในอะไรก็ตามที่ผู้คนต้องการถือติดตัวเข้าไปในบริเวณงานด้วย
เป็นมาตรการความปลอดภัยที่ดูขัดหูขัดตาพอสมควร เมื่อคิดว่านี่คืองานแสดงรถยนต์ระดับ "อินเตอร์" ผู้จะได้รับบัตรผ่านประตูในฐานะสื่อมวลชนย่อมต้องผ่านการตรวจสอบมาแล้วในระดับหนึ่ง แต่ตอนเราพวกเราก็ไม่ได้รู้สึกข้องอกข้องใจอะไร เพราะทราบดีว่าตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ปฏิบัติการถล่มตึกแฝดที่นครนิวยอร์คเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน
หลังการเยือนครั้งนั้น "สื่อสากล" ก็บรรจุมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ไว้ในปฏิทินการทำงานเป็นประจำทุกปีไม่มีขาดตกยกเว้น ปีนี้ทีมงานของเราก็เดินทางไปเยือนงานแสดงรถยนต์รายการนี้อีกครั้งหนึ่ง และนับได้ว่าเป็นครั้งที่ 9 ก่อนการเดินทางเราศึกษาข้อมูลไว้ล่วงหน้า แล้วก็ได้พบรายงานพยากรณ์อากาศที่บ่งบอกว่า ปีนี้สภาวะอากาศของเมืองดีทรอยท์ในช่วงวันเปิดงาน NAIAS ค่อนข้างจะหนักหนาสาหัสเอาการอยู่ รู้แล้วก็ต้องจำใจบอกตัวเองว่ารู้ไปก็เท่านั้น สาหัสแค่ไหนก็ต้องไปไม่มีทางเลี่ยง เมื่อเดินทางไปถึงก็พบว่ามันหนักหนาสาหัสจริงอย่างที่เขาว่า วันที่เดินทางไปถึงคือวันอาทิตย์ที่ 11 ในเดือนแรกของปีแพะบ้า อุณหภูมิอากาศที่วัดได้ คือ 0 องศา เป็นองศาเซลเซียสอย่างที่ใช้วัดกันในบ้านเราก็ยังแย่แล้ว นี่เป็นองศาฟาเรนไฮท์ ซึ่งเมื่อแปลงเป็นองศาเซลเซียสก็จะมีค่าเท่ากับ -18 ยังดีที่ส่วนใหญ่เราใช้ชีวิตอยู่แต่ในอาคาร มีความจำเป็นต้องออกนอกหลังคาเพียงไม่กี่ครั้ง และครั้งละแค่ประเดี๋ยวประด๋าว ทุกครั้งที่ก้าวเท้าออกจากตัวอาคาร สิ่งที่พานพบคือพื้นผิวที่เต็มไปด้วยเกล็ดและกองหิมะ กับความเย็นยะเยือกที่ "เอาไม่อยู่" แม้ว่าสวมใส่เสื้อผ้าอยู่ถึง 3 ชั้น แถมมี "ลองจอห์น" รองอยู่ข้างในอีกต่างหาก
หลังวันปิดงาน คือ วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม 2015 ผู้จัดงานเปิดเผยตัวเลขว่า งานครั้งนี้มีผู้สื่อข่าวจาก 60 ประเทศ และ 40 รัฐของสหรัฐอเมริกา เข้าชมงานในวัน PRESS DAY (วันจันทร์ที่ 12-วันอังคารที่ 13 มกราคม) รวม 5,025 คน วันการกุศล หรือ CHARITY PREVIEW DAY (วันศุกร์ที่ 16 มกราคม) มีผู้ร่วมงาน 15,350 คน และได้เงินเพื่อการกุศลสำหรับเด็กรวม 5.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 175 ล้านบาทไทย มีผู้ซื้อบัตรเข้าชมงานรวมทั้งสิ้น 808,775 คน มีผลกระทบในทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 12,000 ล้านบาทไทย มีรถแนวคิดอวดตัวในงานรวม 7 คัน และมีรถตลาดอวดตัวเป็นครั้งแรกรวม 55 แบบ ทั้งหมดของรถแนวคิดและรถตลาดที่ว่านี้ ทีมงานของเราเก็บภาพและข้อมูลไว้แล้วทั้งหมด อย่างไรก็ตามด้วยความจำกัดของเนื้อที่หน้ากระดาษ มีเพียงบางส่วนและเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น ที่ปรากฏอยู่ในรายงาน 18 หน้าถัดจากนี้
BUICK AVENIR CONCEPT
บิวอิค ผู้ผลิตรถยนต์ในสังกัดของยักษ์ใหญ่ จีเอม เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนและผู้ชมงานด้วยรถติดป้ายชื่อ บิวอิค อาเวอนีร์ คอนเซพท์ (BUICK AVENIR CONCEPT) ซึ่งอวดตัว WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเก๋งซีดานขนาดใหญ่เต็มพิกัด ที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกกับหน้าตาและรูปทรงองค์เอวของตัวถัง ประจักษ์พยานยืนยัน คือ ความเห็นของ เอด เวลเบิร์น (ED WELBURN) นายใหญ่ด้านการออกแบบของค่าย จีเอม ที่กล่าวแก่ผู้สื่อข่าวในงานว่า "สไตล์ของตัวรถคือจุดสร้างความแตกต่างที่สำคัญที่สุด เพราะไม่มีใครสามารถรักษาความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีได้ยาวนาน" เป็นรถขับทุกล้อด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง วี 6 สูบ ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ส่วนชื่อรถ คือ AVERNIR เป็นภาษาฝรั่งเศส ซึ่งตรงกับ FUTURE ในภาษาอังกฤษ หรือ "อนาคต"
CADILLAC CTS-V SEDAN
จุดโฟคัสความสนใจในบูธของยอดผู้ผลิตรถหรูเมืองมะกัน คือ แคดิลแลค ซีทีเอส-วี ซีดาน (CADILLAC CTS-V SEDAN) ซึ่งเป็นรถอเมริกันพันธุ์แท้อีกแบบหนึ่งซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ ไม่ใช่รถที่ออกแบบ/พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งคัน แต่พัฒนาจากรถ แคดิลแลค ซีทีเอส ซีดาน (CADILLAC CTS SEDAN) รุ่นล่าสุดซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 3 และเพิ่งออกขายในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2014 หัวใจของรถแรงแต่หน้าตาดูธรรมด๊าธรรมดารุ่นนี้ คือเครื่องยนต์เบนซินโอเวอร์เฮดวาล์ว วี 8 สูบ ความจุ 6,162 ซีซี ติดซูเพอร์ชาร์เจอร์ ซึ่งให้กำลังสูงถึง 477 กิโลวัตต์/640 แรงม้า ที่ 6,400 รตน. เป็นตัวเลขที่ทำให้กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า นี่คือรถที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ 112 ปีของรถยี่ห้อนี้ ส่วนตัวเลขความเร็วก็สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของค่ายนี้เช่นกัน นั่นคือ อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ทำได้ในเวลาแค่ 3.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 320 กม./ชม.
BUICK CASCADA
ผลงานใหม่เอี่ยมป้ายแดงอีกชิ้นหนึ่งซึ่งอวดตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ในบูธของค่าย บิวอิค คือ รถติดป้ายชื่อ บิวอิค คัสกาดา (BUICK CASCADA) รถเปิดประทุนแบบแรกในช่วงเวลายาวนานถึง 25 ปีที่ค่ายนี้จะนำออกขายในสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่รถอเมริกันพันธุ์แท้หากเป็นรถสายพันธุ์ยุโรปผลิตในโปแลนด์ โดยติดป้ายชื่อ OPEL CASCADA หรือ VAUXHALL CASCADA ซึ่งกำลังจะลงเรือมาขึ้นบกที่เมืองมะกัน แล้วออกจำหน่ายตอนต้นปี 2016 โดยเปลี่ยนยี่ห้อแต่ไม่เปลี่ยนชื่อรุ่น ตัวถัง 2+2 ที่นั่ง ขนาด 4.696x1.839x1.443 ม. ติดตั้งประทุนหลังคาแบบอ่อน เปิด/ปิดด้วยการกดปุ่มโดยใช้เวลา 17 วินาที และกดปุ่มได้เมื่อรถยังวิ่งเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. เป็นรถขับล้อหน้าที่จะมีเครื่องยนต์เพียงขนาดเดียว คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 1,598 ซีซี 149 กิโลวัตต์/200 แรงม้า ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
CHEVROLET COLORADO ZR2 CONCEPT
อวดตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสตอนปลายเดือนพฤศจิกายน 2014 และฉายซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ในงานนี้ คือ รถกระบะติดป้ายชื่อ เชฟโรเลต์ โคโลราโด เซดอาร์ 2 คอนเซพท์ (CHEVROLET COLORADO ZR2 CONCEPT) รถแนวคิดที่หน้าตาเหมือนรถตลาดที่มีให้เลือกซื้อเลือกหาได้แล้วในโชว์รูม เป็นรถที่ค่าย เชฟโรเลต์ รังสรรค์ขึ้นเพื่อแสดงให้ประจักษ์ว่า มีวิสัยทัศน์อย่างไรกับการทำรถกระบะให้เป็นรถที่วิ่งได้ในท้องถิ่นทุรกันดารอย่างที่เรียกกันว่า 4WD ตัวถังหน้าตาดุดันดัดแปลงจากรถ เชฟโรเลต์ โคโลราโด รุ่นปัจจุบันซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 2 และเริ่มจำหน่ายในเมืองมะกันเมื่อปีโมเดล 2012 โดยปรับเปลี่ยนรายละเอียดมากมาย รวมทั้งขยายตัวถังให้กว้างขึ้นประมาณ 10 ซม. และยกพื้นรถให้สูงขึ้นประมาณ 5 ซม. ส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องดีเซล DURAMAX 2.8 ลิตร 181 แรงม้า ที่เพิ่งออกแบบขึ้นใหม่
CHEVROLET VOLT
หนึ่งในบรรดารถใหม่ 4 คัน ที่หนังสือพิมพ์ USA TODAY ยกนิ้วให้เป็น "รถยอดฮิท" ของงานนี้ คือ รถติดป้ายชื่อ เชฟโรเลต์ โวลท์ (CHEVROLET VOLT) ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 2 และกำลังจะออกโชว์รูมในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2016 เช่นเดียวกับรถรุ่นแรกซึ่งเริ่มขายในเมืองมะกันเมื่อปลายปี 2010 รถรุ่นใหม่นี้เป็น EREV (EXTENDED RANGE ELECTRIC VEHICLE) หรือรถไฟฟ้าที่ติดตั้งเครื่องยนต์ซึ่งช่วยยืดระยะทางการวิ่งไว้ด้วย ระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าในรถรุ่นที่ 2 ซึ่งเป็นรถ 5 ประตูแฮทช์แบคที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คนนี้ เป็นระบบขับล้อหน้าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ให้กำลังรวม 111 กิโลวัตต์/149 แรงม้า ติดตั้งแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาด 18.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง และมีเครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,490 ซีซี 75 กิโลวัตต์/101 แรงม้า ทำหน้าที่เป็นตัวยืดระยะทาง รายละเอียดมากกว่านี้โปรดติดตาม "ระเบียงรถใหม่"
CHEVROLET BOLT EV
รถไฟฟ้าอีกแบบหนึ่งที่ยักษ์ใหญ่ของเมืองมะกันนำออกอวดตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ เชฟโรเลต์ โบลท์ อีวี (CHEVROLET BOLT EV) ซึ่งยังมีฐานะเป็นรถแนวคิดไม่ใช่รถที่กำลังจะออกตลาด เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกะทัดรัด ที่ยักษ์ใหญ่ของเมืองมะกันซึ่งมีประสบการณ์ในการทำรถไฟฟ้า เชฟโรเลต์ สปาร์ค อีวี (CHEVROLET SPARK EV) และ เชฟโรเลต์ โวลท์ (CHEVROLET VOLT) มาก่อนแล้ว รังสรรค์ขึ้นเพื่ออวดวิสัยทัศน์ในการทำรถไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริงวิ่งได้ไกลและมีราคาย่อมเยา คือ เริ่มต้นที่ระดับ 30,000 เหรียญสหรัฐ ฯ(ประมาณ 100,000 บาท) เท่านั้นเอง ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิคใดๆ ของระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าในรถแนวคิดคันนี้ บอกแต่เพียงว่าใช้แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ซึ่งประจุไฟแต่ละครั้งโดยใช้เวลาไม่นานนักรถจะวิ่งได้ไกลถึง 320 กม.
RAM 1500 REBEL
เป็นรถสายพันธุ์อเมริกันที่อวดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้เช่นกัน คือ รถกระบะติดป้ายชื่อ แรม 1500 รีเบล (RAM 1500 REBEL) ซึ่งเห็นได้ในบูธของค่าย FCA หรือ FIAT CHRYSLER AUTOMOBILES กลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 7 ของโลก เป็นรถกระบะขนาดใหญ่เต็มพิกัดที่ช่วงครึ่งหลังของปีแพะบ้านี้จะเริ่มออกโชว์รูมในเมืองมะกัน เป็นรถกระบะที่ผ่านการปรับเติมเสริมแต่งเพื่อให้สามารถใช้งานได้ในลักษณะ 4 WD ตัวถังติดกระบะท้ายยาว 5 ฟุต 7 นิ้ว (ประมาณ 1.70 ม.) มีจุดเด่นสะดุดตาตรงส่วนหน้ารถที่ดูบึกบึนทรงพลังประดับป้ายยี่ห้อ RAM ขนาดใหญ่มองเห็นได้แต่ไกล มีทั้งแบบ 4x2 แบบ 4x4 และมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด คือเครื่องเบนซิน PENTASTAR DOHC วี 6 สูบ 3,604 ซีซี 305 แรงม้า กับเครื่องเบนซิน HEMI OHV วี 8 สูบ 5,654 ซีซี 395 แรงม้า ทั้ง 2 ขนาดทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
RAM PROMASTER CITY
อวดตัวในบูธของค่าย FCA (FIAT CHRYSLER AUTOMOBILES) เช่นกัน คือ รถตู้อเนกประสงค์ติดป้ายชื่อ แรม พโรมาสเตอร์ ซิที (RAM PROMASTER CITY) ซึ่งเพิ่งออกจำหน่ายในเมืองมะกันในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2015 โดยติดป้ายค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 23,130 เหรียญสหรัฐ ฯ (ประมาณ 763,000 บาท) เป็นรถผลิตในตุรกีและในตลาดยุโรปออกจำหน่ายโดยติดป้ายชื่อ เฟียต โดบโล (FIAT DOBLO) ในเมืองมะกันรถแบบเก่าในชื่อใหม่นี้มีตัวถังให้เลือกใช้ 2 แบบ คือ ตัวถัง CARGO VAN ซึ่งเน้นการบรรทุกของและนั่งได้เพียง 2 คนอย่างคันที่เห็นในภาพ กับตัวถัง PASSENGER WAGON ซึ่งติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 2 แถวนั่งได้รวม 5 คน ทั้ง 2 ตัวถังซึ่งมีขนาด 4.763x1.831x1.880 ม. ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน TIGERSHARK DOHC 4 สูบเรียง 2,360 ซีซี 133 กิโลวัตต์/178 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ
FORD GT
ฟอร์ด จีที (FORD GT) หนึ่งในบรรดารถแรงรถเร็วรวม 3 แบบ ที่ยักษ์รองเมืองมะกันนำออกอวดตัว "ครั้งแรกในโลก" ในงานนี้ เป็นรถสปอร์ทระดับ "ซูเพอร์คาร์" ที่จะเริ่มออกตลาดตอนปลายปี 2016 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ที่รถสไตล์เดียวกันนี้ในอดีต คือ รถ FORD GT40 กวาดเรียบทั้งตำแหน่งที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ในการแข่งรถ เลอ มองส์ 24 ชั่วโมง เมื่อปี 1966 เป็นรถตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์นั่ง 2 คน และขับเคลื่อนล้อหลังด้วยพลังของเครื่องยนต์ ECOBOOST ทวินเทอร์โบเบนซิน วี 6 สูบ 3.5 ลิตร ที่คาดว่าจะให้กำลังสูงสุดสูงกว่า 600 แรงม้า ยังไม่มีการระบุตัวเลขน้ำหนักตัวและสมรรถนะความเร็ว มีเพียงคำยืนยันว่า จะมีค่า POWER-TO-WEIGHT RATIO หรือ "อัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักตัว" ที่เยี่ยมยอดกว่ารถตลาดแบบใดๆ เป็นรถที่จะจำกัดจำนวนผลิตไว้ที่หลักร้อยไม่ใช่หลักพัน ส่วนค่าตัวคาดกันว่าน่าจะเริ่มต้นระดับ 300,000 เหรียญสหรัฐ ฯ
FORD SHELBY GT350R MUSTANG
รถแรงรถเร็วอีกแบบหนึ่งของยักษ์รองเมืองมะกันซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ รถติดป้ายชื่อ ฟอร์ด เชลบี จีที 350 อาร์ มัสแตง (FORD SHELBY GT350R MUSTANG) ผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องของสำนักแต่งรถ คาร์โรลล์ เชลบี (CARROLL SHELBY) ซึ่งหากินกับค่าย ฟอร์ด มานมนาน เป็นรถผลิตจำนวนจำกัดและไม่ใช่รถที่ทำขึ้นใหม่ทั้งคัน แต่เป็นพัฒนาการอีกก้าวหนึ่งของรถติดป้ายชื่อ ฟอร์ด เชลบี จีที 350 มัสแตง (FORD SHELBY GT350 MUSTANG) ซึ่งก็เป็นรถแรงที่พัฒนาจากรถ ฟอร์ด มัสแตง (FORD MUSTANG) รุ่นปัจจุบันซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 6 อีกทอดหนึ่ง หัวใจของรถแรงโมเดลนี้ คือ เครื่องยนต์ DOHC วี 8 สูบ 5.2 ลิตร ที่ปรับแต่งเป็นพิเศษจนได้กำลังสูงสุดสูงกว่า 500 แรงม้า เป็นตัวเลขที่ทำให้กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า นี่คือ เครื่องยนต์หายใจอากาศธรรมดาที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 1 ศตวรรษของค่าย ฟอร์ด
LINCOLN MKX
ปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เช่นกัน คือรถตลาด ลินคอล์น มาร์คเอกซ์ (LINCOLN MKX) ซึ่งฤดูใบไม้ร่วงของปีแพะบ้านี้จะออกโชว์รูมในเมืองมะกันแทนที่รถรุ่นเดิม (ที่อยู่ในสายการผลิตมาตั้งแต่ปี 2007 และเป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งแบบแรกของค่ายนี้ที่ตัวถังมีโครงสร้างแบบ UNIBODY เหมือนรถเก๋ง) และไม่นานหลังจากนั้นก็จะส่งไปขายทั้งในจีน ตะวันออกกลาง และเกาหลีใต้ เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ระดับหรูขนาดกลาง อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกันว่า MID-SIZE LUXURY CROSSOVER SUV จะมีให้เลือกใช้ทั้งแบบขับล้อหน้า แบบขับทุกล้อ และมีเครื่องยนต์ให้เลือกรวม 2 ขนาด คือ เครื่อง ECOBOOST ทวินเทอร์โบเบนซิน DOHC วี 6 สูบ 2.7 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุดสูงกว่า 330 แรงม้า กับเครื่องเบนซิน DOHC วี 6 สูบ 3.7 ลิตร ที่คาดว่าจะให้กำลังสูงสุดสูงกว่า 300 แรงม้า ทั้ง 2 ขนาดทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ALFA ROMEO 4C SPIDER
รถจากเมืองมะกะโรนีเพียงแบบเดียวที่อวดตัว "ครั้งแรกในโลก" ในงานนี้ คือรถตลาด อัลฟา โรเมโอ 4 ซี สไปเดอร์ (ALFA ROMEO 4C SPIDER) ซึ่งมีรายละเอียดในหลายจุดเปลี่ยนแปลงไปจากตอนที่ยังเป็นเพียงรถแนวคิด เป็นการปรากฏตัวเพื่อยืนยันซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า อัลฟา โรเมโอ ซึ่งเพิ่งหวนคืนสู่เมืองมะกันเมื่อปีกลายหลังจากห่างหายไปนานถึง 2 ทศวรรษให้ความสำคัญเพียงใดกับตลาดนี้ มีกำหนดออกโชว์รูมในเมืองมะกันตอนฤดูร้อนของปีแพะบ้า ในระยะแรกตัวถังขนาด 4.000x1.868x1.185 ม. ที่ออกแบบให้นั่งเพียง 2 คน และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.341 จะมีประทุนหลังคาแบบเดียว คือ ประทุนอ่อน ส่วนประทุนแข็งซึ่งทำจากคาร์บอนไฟเบอร์จะตามมาภายหลัง เป็นรถขับล้อหลังด้วยพลังของเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,742 ซีซี 177 กิโลวัตต์/237 แรงม้า และระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ
AUDI Q7
ค่าย "สี่ห่วง" ดึงดูดความสนใจจากสื่อมวลชนและผู้ชมงานด้วยรถกิจกรรมกลางแจ้งรุ่นใหม่รวม 2 อนุกรม อนุกรมแรกคือ เอาดี คิว 7 (AUDI Q7) ซึ่งค่าย "สี่ห่วง" เลือกใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัว "ครั้งแรกในโลก" เป็นรถรุ่นที่ 2และเป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ระดับหรูขนาดใหญ่เต็มพิกัด อย่างที่เรียกขานกันในภาษาอังกฤษว่า FULL-SIZE LUXURY CROSSOVER SUV มีขนาดตัวถังสั้นแคบและสูงกว่ารถรุ่นเดิมนิดหน่อย คือ มีขนาด 5.052x1.968x1.741 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.316-0.333 ที่ต่างจากรถรุ่นเดิม ก็คือ รถรุ่นใหม่นี้ทำห้องโดยสารเป็น 2 แบบ คือ แบบติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 2 แถว นั่งได้รวม 5 คน กับแบบติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 3 แถว นั่งได้รวม 7 คน ทั้ง 2 แบบมีรถให้เลือก 2 โมเดล คือ AUDI Q7 3.0 TFSI QUATTRO TIPTRONIC (245 กิโลวัตต์/333 แรงม้า) กับ AUDI Q7 3.0 TDI QUATTRO TIPTRONIC (200 กิโลวัตต/272 แรงม้า)
AUDI Q7 E-TRON QUATTRO
นอกจาก 2 โมเดลที่กล่าวไปแล้ว ภายในปีแพะบ้านี้ค่าย "สี่ห่วง" จะมีรถ เอาดี คิว 7 โมเดลพิเศษสุดให้เลือกใช้อีก 1 โมเดล คือ เอาดี คิว 7 อี-ทรอน กวัตตโร (AUDI Q7 E_TRON QUATTRO) รถไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบบแรกของโรงที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ และระบบขับทุกล้อ QUATTRO เป็นระบบไฮบริดที่ใช้เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 2,967 ซีซี 190 กิโลวัตต์/258 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 94 กิโลวัตต์/128 แรงม้า แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน 17.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง และระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ได้กำลังสุทธิสูงสุด 275 กิโลวัตต์/373 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.0 วินาที ความเร็วสูงสุด 225 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่น่าทึ่งมาก คือ 1.7 ลิตร/100 กม. หรือ 58.8 กม./ลิตร และเมื่อวิ่งด้วยพลังไฟอย่างเดียวจะวิ่งได้ไกลถึง 56 กม.
AUDI Q3
รถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์รุ่นใหม่อีกอนุกรมหนึ่งที่ค่าย "สี่ห่วง" นำออกอวดโฉมในงานนี้ คือ เอาดี คิว 3 (AUDI Q3) ซึ่งไม่ใช่รถรุ่นใหม่แท้เหมือน เอาดี คิว 7 ที่เพิ่งผ่านตาไป แต่เป็นรถรุ่นแรกที่เริ่มจำหน่ายในเยอรมนีเมื่อฤดูใบไม้ผลิปี 2011 และเพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" เป็นการปรับปรุงเพียงเล็กน้อยในส่วนตัวถังจนสังเกตแทบไม่เห็น การเปลี่ยนแปลงที่เป็นสาระและน่าสนใจกว่า คือ การเพิ่มเติมนวัตกรรมทางเทคนิคหลายรายการ เป็นรถผลิตในสเปนและเริ่มการจำหน่ายในเมืองแม่ไปแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีแพะบ้า มีเครื่องยนต์ให้เลือกอย่างหลากหลายถึง 6 ขนาด ทั้งเครื่องเบนซินและดีเซล ค่าตัวอยู่ระหว่าง 29,699-56,600 ยูโร รถโมเดลหัวกะทิ คือ AUDI RS Q3 ติดตั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 5 สูบเรียง 2,480 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 250 กิโลวัตต์/340 แรงม้า คือ เพิ่มขึ้นจากก่อนการปรับปรุงถึง 30 แรงม้า
MINI JOHN COOPER WORKS
มีนี จอห์น คูเพอร์ เวิร์คส์ (MINI JOHN COOPER WORKS) รถสายพันธุ์ยุโรปอีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัว WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแรงโมเดลหัวกะทิที่พัฒนาจากรถ มีนี คูเพอร์ เอส 3 ประตู (MINI COOPER S 3 DOOR HATCH) ซึ่งเพิ่งออกโชว์รูมในเมืองผู้ดีเมื่อตอนต้นปีงูใหญ่ ตัวถังขนาด 3.874x1.727x1.414 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.34 มีรายละเอียดมากมายที่ทำขึ้นใหม่ ตัวอย่างเช่น กันชนหน้า โคมไฟหน้าแอลอีดี ธรณีประตูที่กว้างขึ้น สปอยเลอร์เหนือประตูบานท้าย กันชนหลัง ฯลฯ อย่างไรก็ตามหัวใจของรถโมเดลนี้ คือ เครื่องยนต์ เป็นเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,998 ซีซี ที่ปรับแต่งจนได้กำลังสูงสุด 170 กิโลวัตต์/231 แรงม้า ตัวเลขที่ไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในรถตลาดแบบใดๆ ของค่ายนี้ ส่วนระบบเกียร์มีให้เลือก 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
MERCEDES-BENZ F 015 LUXURY IN MOTION
ปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งาน CES (CONSUMER ELECTRONICS SHOW) ซึ่งมีขึ้นที่เมืองลาสเวกัสระหว่างวันที่ 6-9 มกราคม 2015 แต่ก็ยังดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้อย่างล้นหลามเมื่อฉายซ้ำสองที่งานนี้ คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอฟ 015 ลักชัวรี อิน โมชัน (MERCEDES-BENZ F 015 LUXURY IN MOTION) รถหน้าตาสุดแสนวิลิศมาหราที่วิ่งได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ขับ เป็นยานวิจัยที่ทีมงานของค่าย "ดาวสามแฉก" รังสรรค์ขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนรถยนต์เป็นห้องพักผ่อนหย่อนใจซึ่งเคลื่อนไปได้ทุกที่ทุกทางหากมีถนนทำได้อย่างไร ? ตัวถังขนาด 5.220x2.018x1.524 ม. มีห้องโดยสารที่ออกแบบให้นั่งได้สบายเหมือนนั่งอยู่ในเลาจ์น์ระดับหรู ตัวถังทั้งภายนอกภายในมีลูกเล่นมากมาย ตัวอย่าง คือ LED FIELDS หรือแผงไฟแอลอีดีที่จะเปล่งแสงสีขาวเมื่อรถวิ่งโดยมีผู้ขับ และเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเมื่อวิ่งแบบ AUTONOMOUS DRIVE คือ ไม่มีผู้จับพวงมาลัย
MERCEDES-BENZ GLE COUPE
ค่าย "ดาวสามแฉก" ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าโดยนำรถตลาดรุ่นใหม่ๆ ออกอวดตัวในงานนี้เป็นกองทัพ เลือกคันที่น่าสนใจมาให้ชมกันเพียง 4 คัน คันแรก คือรถใหม่เอี่ยมป้ายแดง เมร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี คูเป (MERCEDES-BENZ GLE COUPE) ซึ่งปรากฏตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดกลางในตัวถัง 4.900x2.003x1.731 ม. ที่แม้ไม่มีการประกาศอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นรถที่ค่ายนี้ตั้งใจให้เป็นคู่ต่อสู้โดยตรงกับรถ บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 6 (BMW X6) ของค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" ต้องรอจนถึงฤดูร้อนจึงจะเริ่มออกโชว์รูมในเมืองมะกัน โดยมีรถให้เลือกเพียงโมเดลเดียว คือ MERCEDES-BENZ GLE 450 AMG 4MATIC COUPE ซึ่งติดตั้งเครื่องไบเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 2,996 ซีซี 270 กิโลวัตต์/362 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ
MERCEDES-AMG GLE 63 S 4MATIC COUPE
จอดอยู่ข้างเคียงกันคือ เมร์เซเดส-เอเอมจี จีแอลอี 63 เอส 4 เมทิค คูเป (MERCEDES-AMG GLE 63 S 4MATIC COUPE) รถโมเดลหัวกะทิผลงานชิ้นล่าสุดของสำนัก AMG หน่วยงานซึ่งรับผิดชอบการออกแบบ/พัฒนารถแรงรถเร็วของค่าย "ดาวสามแฉก" ทำขึ้นเพื่อเอาใจผู้ใช้รถเงินถุงเงินถังสตางค์แยะที่ชอบความแตกต่าง และเห็นได้ชัดว่าจะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับรถ บีเอมดับเบิลยู เอกซ 6 เอม (BMW X6 M) ต้องรอจนถึงฤดูร้อนจึงจะเริ่มการจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน ตัวถังทั้งภายนอกภายในมีรายละเอียดในหลายๆ จุดที่ผิดแผกแตกต่างจากรถซึ่งเป็นที่มา ที่แตกต่างมากคือเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นเครื่องไบเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 5,461 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 430 กิโลวัตต์/577 แรงม้า เป็นเครื่องยนต์ที่ผลิตตามปรัชญา ONE MAN,ONE ENGINE คือเครื่องยนต์ 1 เครื่องใช้คนประกอบคนเดียว
MERCEDES-BENZ C 450 AMG 4MATIC
ปรากฏตัว "ครั้งแรกในโลก" เช่นกัน คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี 450 เอเอมจี 4 เมทิค (MERCEDES-BENZ C 450 AMG 4MATIC) ผลงานชิ้นที่ 2 ของสำนัก AMG ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ วี 6 สูบ มีให้เลือกทั้งตัวถัง 4 ประตูซีดาน และตัวถัง 5 ประตูตรวจการณ์ ทั้ง 2 ตัวถังมีหน้าตาและรายละเอียดตัวถังแตกต่างจากรถอนุกรมเดียวกันโมเดลอื่นๆ เพียงเล็กน้อย ที่แตกต่างมาก คือ เครื่องยนต์ เครื่องยนต์ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ฝากระโปรงหน้าของรถโมเดลนี้ เป็นเครื่องไบเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 2,996 ซีซี ที่สำนัก AMG ปรับแต่งจนได้กำลังสูงสุด 270 กิโลวัตต์/362 แรงม้า ที่ 5,500-6,000 รตน. ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าคู่หลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 7-G TRONIC PLUS สมรรถนะความเร็วของตัวถังซีดาน อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ทำได้ใน 4.9 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.
MERCEDES-BENZ C 350 PLUG-IN HYBRID
รถตลาดติดตรา "ดาวสามแฉก" อีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี 350 พลัก-อิน ไฮบริด (MERCEDES-BENZ C 350 PLUG-IN HYBRID) รถไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบบที่สองของค่ายนี้ เป็นระบบไฮบริดซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,991 ซีซี 155 กิโลวัตต์/208 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 60 กิโลวัตต์/80 แรงม้า แบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาด 6.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งมีน้ำหนักตัวประมาณ 100 กก. และระบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS ได้กำลังสุทธิสูงสุด 205 กิโลวัตต์/275 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ใน 5.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 210 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 2.1 ลิตร/100 กม. หรือ 47.6 กม./ลิตร ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 48 กรัม/กม. และวิ่งได้ไกล 32 กม. เมื่อใช้พลังไฟล้วนๆ
BMW 6-SERIES COUPE/BMW 6-SERIES CONVERTIBLE/BMW 6-SERIES GRAN COUPE
ผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องรายการเดียวซึ่งค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" นำออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้คือรถตลาด บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-6 (BMW 6-SERIES) ซึ่งว่ากันอย่างตรงไปตรงมาก็ไม่ใช่รถใหม่แท้ หากเป็นรถรุ่นที่ 3 ซึ่งอยู่ในสายการผลิตมาตั้งแต่ปี 2011 และเพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" เช่นเดียวกับรุ่นก่อนการปรับปรุงรถรุ่นใหม่นี้มีตัวถังรวม 3 แบบ คือ ตัวถัง 2 ประตูคูเป 4 ที่นั่ง (6-SERIES COUPE) ตัวถัง 2 ประตูเปิดประทุน 4 ที่นั่ง (6-SERIES CONVERTIBLE/CABRIO) และตัวถัง 4 ประตูคูเป 4 ที่นั่ง (6-SERIES GRAN COUPE) การเปลี่ยนแปลงในส่วนของตัวถังมีให้เห็นไม่มาก ตัวอย่าง คือ กันชนหน้าหลังที่เปลี่ยนรูปลักษณ์นิดหน่อย แผงกระจังหน้าที่ออกแบบใหม่หมด และกระทะล้อที่หน้าตาเปลี่ยนไป ภายในห้องโดยสารก็มีการปรับปรุงเพื่อสนองตอบคำวิจารณ์โดยใช้วัสดุหุ้มเบาะที่มีคุณภาพสูงขึ้น ส่วนเครื่องยนต์ก็ยกชุดมาจากรถรุ่นเดิม โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งในด้านความจุและตัวเลขกำลังสูงสุด คือประกอบด้วย เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,979 ซีซี 235 กิโลวัตต์/320 แรงม้า เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 4,395 ซีซี 330 กิโลวัตต์/450 แรงม้า และเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,993 ซีซี 230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า สิ่งที่เปลี่ยนไปและเป็นการเปลี่ยนในทางบวก คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกับอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากปลายท่อไอเสีย ที่อวดตัวให้เห็นด้วยเช่นกัน คือ รถโมเดลพิเศษที่เน้นความแรงความเร็ว คือ BMW M6 COUPE-BMW M6 CONVERTIBLE-BMW M6 GRAN COUPE รถ 3 โมเดลนี้ก็ติดตั้งเครื่องยนต์บลอคเดิมเช่นกัน คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 4,395 ซีซี 412 กิโลวัตต์/560 แรงม้า
PORSCHE 911 TARGA 4 GTS
ผู้ผลิตรถยนต์ของเมืองเบียร์ซึ่งปัจจุบันควบทั้งตำแหน่งยอดผู้ผลิตรถสปอร์ท และยอดผู้ผลิตรถ เอสยูวี ระดับสุดหรู ใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวรถสปอร์ทเปิดประทุนโมเดลใหม่เอี่ยมแกะกล่อง คือ โพร์เช 911 ทาร์กา 4 จีทีเอส (PORSCHE 911 TARGA 4 GTS) ซึ่งไม่ใช่รถที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งคัน แต่พัฒนาจากรถ โพร์เช 911 ทาร์กา 4 (PORSCHE 911 TARGA 4) ซึ่งเพิ่งออกจำหน่ายในเมืองเบียร์เมื่อต้นปี 2014 รถเปิดประทุนโมเดลนี้อยู่ในตัวถัง 2+2 ที่นั่ง ขนาด 4.509x1.852x1.291 ม. ที่มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.30 ติดตั้งเครื่องยนต์บลอคเดียวกันกับรถติดรหัส GTS โมเดลอื่นๆ คือ เครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบนอนยัน (บอกเซอร์) 3,800 ซีซี 316 กิโลวัตต์/430 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าคู่หลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ สามารถทำความเร็วสูงสุด 303 กม./ชม.
VOLKSWAGEN CROSS COUPE GTE
ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์บ่งบอกทิศทางของรถกิจกรรมกลางแจ้งอนุกรมใหม่ซึ่งมีกำหนดออกตลาดภายในปี 2016 โดยการนำรถแนวคิด โฟล์คสวาเกน ครอสส์ คูเป จีทีอี (VOLKSWAGEN CROSS COUPE GTE) ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดกลางอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า MID-SIZE CROSSOVER ตัวถังขนาด 4.847x2.030x1.736 ม. ที่ออกแบบให้นั่ง 5 คน ติดตั้งระบบขับไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ (PLUG-IN HYBRID) ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง วี 6 สูบ 3.6 ลิตร 206 กิโลวัตต์/280 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด แบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาด 14.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง และระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ ได้กำลังสุทธิสูงสุด 265 กิโลวัตต์/360 แรงม้า และจะไปได้ไกล 32 กม. เมื่อวิ่งด้วยพลังไฟอย่างเดียว
VOLKSWAGEN JETTA HYBRID
รถไฮบริดอีกแบบหนึ่งที่ยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์นำออกแสดงในงานนี้ คือ รถเก๋งซีดาน โฟล์คสวาเกน เจททา ไฮบริด (VOLKSWAGEN JETTA HYBRID) ซึ่งเป็นรถขนาดเล็กกะทัดรัดที่ทำขึ้นโดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้รถในเมืองมะกัน รถโมเดลนี้ติดตั้งระบบขับไฮบริดชนิดไม่ต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,395 ซีซี 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 20 กิโลวัตต์/27 แรงม้า แบทเตอรีขนาด 220 โวลท์ 5 แอมพ์ชั่วโมง และระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ ได้กำลังสุทธิสูงสุด 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 19.2 กม./ลิตร และเมื่อวิ่งด้วยพลังไฟล้วนๆ ด้วยความเร็วสูงสุด 70 กม./ชม. จะไปได้ไกลประมาณ 2 กม. สนนราคาค่าตัว MSRP ที่ซื้อขายกันในสหรัฐอเมริกา เริ่มต้นที่ระดับ 27,645 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 912,000 บาท
VOLVO S60 CROSS COUNTRY
ที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนปีงูใหญ่ ผู้ผลิตรถยนต์หมายเลข 1 ของเมืองฟรีเซกซ์ซึ่งมีเจ้าของอยู่ในเมืองจีน ดึงดูดความสนใจของผู้คนด้วยการนำรถเก๋งตรวจการณ์ติดป้ายชื่อ โวลโว วี 60 ครอสส์ คันทรี (VOLVO V60 CROSS COUNTRY) ออกอวดตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ก็เป็นคิวของรถสไตล์เดียวกันแต่อยู่ในตัวถังซีดาน คือ โวลโว เอส 60 ครอสส์ คันทรี (VOLVO S60 CROSS COUNTRY) คันที่เห็นในภาพ ทั้ง 2 แบบเป็นรถเก๋งขนาดเล็กกะทัดรัดที่ผ่านการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในบางจุดรวมทั้งเพิ่ม RIDE HEIGHT หรือความสูงของพื้นรถ 6.5 ซม. เพื่อให้มีรูปลักษณ์และสมรรถนะการขับขี่ที่รถกิจกรรมกลางแจ้งยอมรับเป็นน้อง มีกำหนดออกตลาดในฤดูร้อนของปีแพะบ้า จะมีทั้งแบบขับล้อหน้าขับทุกล้อ และจะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด ทั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรงและเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง
VOLVO XC90 T8 TWIN ENGINE
ผลงานใหม่เอี่ยมป้ายแดงอีกชิ้นหนึ่งของผู้ผลิตรถยนต์เมืองฟรีเซกซ์ที่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้อย่างดี คือ รถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ติดป้ายชื่อ โวลโว เอกซ์ซี 90 ที 8 ทวิน เอนจิน (VOLVO XC90 T8 TWIN ENGINE) ไม่ใช่รถขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์แฝดเหมือนชื่อรุ่น แต่เป็นรถขับทุกล้อด้วยระบบขับไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ (PLUG-IN HYBRID) ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร ติดซูเพอร์ชาร์เจอร์และเทอร์โบชาร์เจอร์ ให้กำลังสูงสุด 234 กิโลวัตต์/318 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 60 กิโลวัตต์/82 แรงม้า แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน 9.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง และระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ได้กำลังสุทธิสูงสุด 294 กิโลวัตต์/400 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม. ทำได้ใน 5.9 วินาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 2.5 ลิตร/100 กม. หรือ 40 กม./ลิตร และไปได้ไกลกว่า 40 กม. เมื่อวิ่งด้วยพลังไฟล้วนๆ
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา chusak@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2558
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/34279