รถใหม่
น่าจะกล่าวได้ว่า ในบ้านเรายุคที่รถสายพันธุ์ฝรั่งเศสเฟื่องฟูที่สุด อุบัติขึ้นเมื่อประมาณ 2 หรือ 3 หรือ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา คือ มันนานมากแล้ว นานจนคนยุคใหม่อาจไม่ยอมเชื่อ หากบอกว่าในยุคหนึ่งบ้านเราเคยมีรถสายพันธุ์ฝรั่งเศสให้เลือกซื้อเลือกหาครบถ้วนทั้ง 3 ยี่ห้อ คือ ซีตรอง (CITROEN) เปอโฌต์ (PEUGEOT) และ เรอโนลต์ (RENAULT) ที่ว่าเฟืองฟูนั้นความจริงก็ไม่ได้ขายดิบขายดี จนคนไทยทั้งเพศชายและเพศหญิงแห่กันไปที่สถานทูตเพื่อร้องขอเปลี่ยนสัญชาติจากไทยเป็นฝรั่ง (เกี่ยวอะไรกันด้วยนะเนี่ย ?) แต่ก็ขายได้มากพอสมควร ชนิดลูกเด็กเล็กแดงถามว่ารถสายพันธุ์ฝรั่งเศสหน้าตาเป็นยังไง ? ก็พอมีให้เห็นเป็นตัวอย่างตามท้องถนนที่รถราสารพันยังไม่ติดจนวินาศสันตะโรเหมือนทุกวันนี้นั่นแหละ
น่าจะกล่าวได้ว่า ในบ้านเรายุคที่รถสายพันธุ์ฝรั่งเศสเฟื่องฟูที่สุด อุบัติขึ้นเมื่อประมาณ 2 หรือ 3 หรือ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา คือ มันนานมากแล้ว นานจนคนยุคใหม่อาจไม่ยอมเชื่อ หากบอกว่าในยุคหนึ่งบ้านเราเคยมีรถสายพันธุ์ฝรั่งเศสให้เลือกซื้อเลือกหาครบถ้วนทั้ง 3 ยี่ห้อ คือ ซีตรอง (CITROEN) เปอโฌต์ (PEUGEOT) และ เรอโนลต์ (RENAULT) ที่ว่าเฟืองฟูนั้นความจริงก็ไม่ได้ขายดิบขายดี จนคนไทยทั้งเพศชายและเพศหญิงแห่กันไปที่สถานทูตเพื่อร้องขอเปลี่ยนสัญชาติจากไทยเป็นฝรั่ง (เกี่ยวอะไรกันด้วยนะเนี่ย ?) แต่ก็ขายได้มากพอสมควร ชนิดลูกเด็กเล็กแดงถามว่ารถสายพันธุ์ฝรั่งเศสหน้าตาเป็นยังไง ? ก็พอมีให้เห็นเป็นตัวอย่างตามท้องถนนที่รถราสารพันยังไม่ติดจนวินาศสันตะโรเหมือนทุกวันนี้นั่นแหละ
จะเป็นเพราะผู้ขาย ขายไม่เป็น หรือเพราะคนไทยดวงไม่ค่อยสมพงษ์กับรถฝรั่งเศส ก็ไม่อาจทราบได้ ยุคเฟื่องฟูของรถฝรั่งเศสในประเทศไทยดำรงอยู่ได้ไม่นาน แล้วก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วกว่ากามนิตหนุ่ม ในระยะหลังๆ รถติดตรา "จ่าโท" และ "สิงห์เผ่น" ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่รถติดโลโก "ข้าวหลามตัด" ของยักษ์ใหญ่ เรอโนลต์ ดูจะกลายเป็นรถที่สูญพันธุ์ไปแล้วจากประเทศสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก เพราะในแต่ละปีรถยี่ห้อนี้สามารถขายในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกได้มากกว่า 2 ล้านคันนั่นเทียว (ขอแทรกไว้นิดตรงนี้ว่า เคยใช้รถสายพันธุ์ฝรั่งเศสคันหนึ่งอยู่หลายปี เป็นรถขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ซื้อต่อจากนายใหญ่ของ "สื่อสากล" รูปทรงองค์เอวเข้าท่า หน้าตาดี และวิ่งได้ดังใจ แต่มีตำหนิอย่างฉกาจฉกรรจ์ที่ระบบเกียร์อัตโนมัติ เป็นจุดอ่อนที่ทำให้ต้องนำรถเข้าอู่เป็นประจำวันละ 3 เวลา ทั้งก่อน และหลังอาหาร หมดค่าซ่อมค่าแซมไปมากกว่าค่าตัวรถที่ซื้อมาเสียอีก ทำให้ต้องจนกรอบอยู่หลายปี และก็ยัง SUSTAINABLE POOR หรือจนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าเลิกใช้รถคันที่ว่าไปนานนมแล้ว)
ไปเยือนมหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งนี้ ผู้จัดงานแจกเอกสารมาให้เล่มหนึ่ง เป็นสูจิบัตรขนาด 21x13 ซม. หนาประมาณ 70 หน้า ดูเผินๆ ไม่น่าสนใจอะไร หน้าปกก็ดูธรรมด๊าธรรมดา ข้อมูลที่บรรจุไว้ก็คงเป็นเรื่องราวรายละเอียดของงานและรายชื่อผู้ร่วมงานเหมือนสูจิบัตรที่แจกกันในงานอื่นๆ พอมีเวลาว่างแล้วหยิบเอกสารเล่มที่ว่าขึ้นมาพลิกอ่าน จึงพบว่านอกจากรายละเอียดของงานแล้ว ยังมีอยู่หลายหน้าที่ตีพิมพ์รายละเอียดบางด้านของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศฝรั่งเศส เป็นรายละเอียดที่น่าสนใจและสมควรนำมาเผยแพร่ไว้ ณ ที่นี้ ตัวอย่างเช่น ในฝรั่งเศส ประมาณ 2,323,000 คน หรือร้อยละ 9 ของผู้มีงานทำทั้งหมด ทำงานที่เกี่ยวเนื่องโดยตรง หรือโดยอ้อมกับอุตสาหกรรมรถยนต์ ร้อยละ 82.8 ของการเดินทางในประเทศเป็นการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนบุคคล จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรเลยที่ในปี 2013 ฝรั่งเศสมีรถยนต์อยู่ถึง 33.8 ล้านคัน และมีอยู่มากถึงร้อยละ 71.4 ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวัน หรือแทบทุกวัน
เคยบอกกล่าวไปบ้างแล้วเกี่ยวกับการใส่ใจของฝรั่งเศสในเรื่องปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลอยจากปลายท่อไอเสียของรถยนต์ ถึงขนาดมีการให้โบนัสแก่ผู้ซื้อรถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และคิดค่าปรับจากผู้ซื้อรถที่ปล่อยสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ผลพวงจากมาตรการดังกล่าวที่กระทำต่อเนื่องมาแล้วหลายปี ส่งผลให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีอัตราการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของยุโรป คือ อยู่ที่ระดับ 114.73 กรัม/กม. ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของยุโรป 28 ประเทศ คือ 124.85 กรัม/กม. อย่างไรก็ตาม มีอยู่ถึง 4 ประเทศ ที่ทำได้ดีกว่า คือ เนเธอร์แลนด์ 109.9 กรัม/กม. โปรตุเกส 111.26 กรัม/กม. นอร์เวย์ 111.34 กรัม/กม. และ เดนมาร์ค 111.46 กรัม/กม.
ไปฝรั่งเศสทั้งที ก็ต้องมีเรื่องราวของฝรั่งเศสมาเล่าสู่กันฟังเป็นน้ำจิ้ม ส่วนเมนคอร์ส คือ มหกรรมยานยนต์ปารีสที่เพิ่งปิดฉากไป พลิกไปพบได้เลยครับใน 18 หน้าถัดจากนี้
CITROEN DIVINE DS
รถแนวคิดที่ค่าย "จ่าโท" รังสรรค์ขึ้น เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ที่จะแยกรถ DS รวม 4 รุ่น ซึ่งมีขายอยู่ในขณะนี้ คือ CITROEN DS3-CITROEN DS3 CABRIO-CITROEN DS4-CITROEN DS5 เป็นรถยี่ห้อใหม่ คือ DS ซึ่งไม่มี CITROEN นำหน้า รวมทั้งไม่มีโลโก "จ่าโท" ติดอยู่บนตัวรถด้วย (คือเป็นอย่างที่เรียกกันว่า STANDALONE BRAND นั่นเอง) เป็นรถที่ทำขึ้นเพื่อบ่งบอกทิศทางการออกแบบของรถยี่ห้อใหม่นี้ ซึ่งตั้งใจจะเพิ่มจำนวนรถเป็นไม่น้อยกว่า 6 รุ่น ตัวถังยาว 4.21 ม. และกว้าง 1.98 ม. ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงความจุ 1.6 ลิตร ที่ให้กำลังสูงถึง 270 แรงม้า แต่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 145 กรัม/กม. ห้องโดยสารระบบ HYPERTYPAGE สามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ 3 แบบ คือ MALE-PARISIENNE CHIC-FATALE PUNK โดยใช้เวลาแค่ 15 นาที
CITROEN C1 URBAN RIDE CONCEPT
อวดตัวแบบ PREMIERE MONDIALE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือรถแนวคิดติดป้ายชื่อ ซีตรอง เซ 1 เออร์บัน ไรด์ (CITROEN C1 URBAN RIDE) ดัดแปลงและพัฒนาจากรถแฮทช์แบคขนาดซูเพอร์จิ๋ว ซีตรอง เซ 1 (CITROEN C1) รุ่นใหม่ที่เพิ่งออกโชว์รูมได้ไม่กี่เดือน โดยปรับเปลี่ยนและตกแต่งรายละเอียดในหลายจุด เพื่อให้มีสมรรถนะการขับขี่ และบุคลิกลักษณะเหมือนรถกิจกรรมกลางแจ้งที่สามารถ GO-ANYWHERE หรือ "ไปไหนไปกัน" อย่างที่เห็นในภาพ ส่วนสิ่งที่มองไม่เห็นในภาพ คือ การยกพื้นรถให้สูงขึ้น 15 มม. และขยายช่วงล้อหน้าและล้อหลังให้กว้างขึ้น 10 มม. มีตัวถัง 2 แบบ คือ ตัวถัง 5 ประตูหลังคาแข็ง กับตัวถังเปิดประทุน AIRSPACE CONVERTIBLE ที่เห็นในภาพ มีที่ออกความเห็นเพื่อให้ผู้ชมงานสามารถลงคะแนนเสียงได้ว่า สมควรจะทำรถแนวคิดคันนี้เป็นรถตลาดหรือไม่ ?
CITROEN C4 CACTUS AIRFLOW 2L CONCEPT
ซีตรอง เซ 4 คักตุส แอร์ฟโลว์ ทูแอล คอนเซพท์ (CITROEN C4 CACTUS AIRFLOW 2L CONCEPT) รถแนวคิดที่ค่าย "จ่าโท" ทำขึ้น เพื่อตอบรับคำท้าทายของรัฐบาลฝรั่งเศสให้ผลิตรถที่มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 2 ลิตร/100 กม. หรือ 50 กม./ลิตร ภายในปี 2020 พัฒนาจากรถ ซีตรอง เซ 4 คักตุส (CITROEN C4 CACTUS) ซึ่งก็เพิ่งออกโชว์รูมในเมืองน้ำหอมได้ไม่กี่เดือน โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายจนตัวถังขนาด 4.156x1.729x1.487 ม. มีน้ำหนักตัวลดลงถึง 100 ม. คือ เหลือแค่ 865 กก.และคุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร์ดีขึ้นถึงร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับรถซึ่งเป็นที่มา ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น คือ ระบบขับไฮบริดสุดประหยัดที่เรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า HYBRID AIR DRIVETRAIN ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบเรียง 82 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า/ปั๊มไฮดรอลิค/และเครื่องอัดอากาศ
PEUGEOT QUARTZ
จุดโฟคัสสายตาในบูธอันกว้างขวางของค่าย "สิงห์เผ่น" คือ รถรูปทรงฟู่ฟ่าหวือหวาติดป้ายชื่อ เปอโฌต์ กวาร์ตซ์ (PEUGEOT QUARTZ) เป็นรถแนวคิดซึ่งบ่งบอกทิศทางของรถกิจกรรมกลางแจ้งรุ่นใหม่ที่ค่ายนี้กำลังจะบรรจุเข้าสู่สายการผลิต ตัวถังยาว 4.50 ม. ติดตั้งประตูข้างที่เปิด/ปิดแบบง้างขากรรไกร และไม่มีเสาค้ำยันตัวกลาง ทำให้การขึ้น/ลงรถทำได้สะดวกมาก แถมยังติดตั้งบันไดที่พับเก็บได้ ไว้ให้ด้วย ที่น่าทึ่งไม่แพ้รูปลักษณ์ของตัวถัง คือ ระบบขับทุกล้อแบบไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ โดยใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซิน 1.6 ลิตร 270 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 85 กิโลวัตต์/116 แรงม้า 2 ชุด และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ได้กำลังสุทธิสูงสุด 500 แรงม้า
PEUGEOT 508 RXH
เพราะเป็นงานใหญ่ในบ้าน ค่าย "สิงห์เผ่น" จึงเลือกใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวรถธงในสายการผลิต คือ เปอโฌต์ 508 (PEUGEOT 508) ซึ่งเพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" ทั้งตัวถัง 4 ประตูซีดาน และตัวถัง 5 ประตูตรวจการณ์ การเปลี่ยนแปลงในส่วนของตัวถังซึ่งมีอยู่หลายจุด ส่งผลให้ขนาดความยาวของตัวถังเพิ่มขึ้น 38 มม. เป็น 4.830 ม. ส่วนความกว้างและความยาวคงเดิม เปอโฌต์ 508 แอร์อิกซ์อาช (PEUGEOT 508 RXH) ที่เลือกมาให้ชมเป็น "แซมเพิล" นี้ เป็นรถตรวจการณ์เพียงโมเดลเดียวที่ติดตั้งระบบขับ HYBRID4 เป็นระบบไฮบริดชนิดไม่ต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟที่ใช้เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,997 ซีซี 163 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 27 กิโลวัตต์/37 แรงม้า และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ได้กำลังสุทธิสูงสุด 200 แรงม้า
PEUGEOT 308 GT
รถตลาดอีกแบบหนึ่งที่ค่าย "สิงห์เผ่น" นำออกเปิดตัวในงานนี้ คือ รถเก๋งติดป้ายชื่อ เปอโฌต์ 308 จีที (PEUGEOT 308 GT) ชื่อที่คนรักรถเล็กแต่ร้อนแรงในเมืองน้ำหอมคุ้นเคยกันดี เป็นรถรุ่นหัวกะทิ และรถ "ฮอทแฮทช์" ที่กำลังจะออกโชว์รูมในเมืองแม่ พร้อมกับป้ายค่าตัวซึ่งเริ่มต้นที่ระดับ 30,450 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 1.279,000 บาทไทย ที่ผิดแปลกแตกต่างจากรถติดรหัส GT รุ่นอื่นๆ ของค่ายนี้ คือ มีให้เลือกทั้งตัวถังแฮทช์แบคและตัวถังตรวจการณ์ แถมยังมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด กล่าวคือ รถรหัส GT 205 ติดตั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 205 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ส่วนรถรหัส GT 180 ติดตั้งเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,997 ซีซี 180 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
RENAULT EOLAB
หมายเลขหนึ่งของเมืองน้ำหอมซึ่งงานนี้ดูกร่อยพิกล พยายามดึงดูดความสนใจจากผู้คนด้วยรถติดป้ายชื่อ เรอโนลต์ อีโอแลบ (RENAULT EOLAB) ซึ่งปรากฏตัวแบบ PREMIERE MONDIALE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดที่ทำขึ้นเพื่อตอบรับคำท้าทายของรัฐบาลฝรั่งเศสให้ทำรถประหยัดที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 2 ลิตร/100 กม. หรือ 50 กม./ลิตร ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น รวมทั้งเป็นต้นแบบของรถขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด ที่ค่ายนี้ตั้งใจจะบรรจุเข้าสู่สายการผลิตภายในเวลา "ไม่เกิน 10 ปี" ยักษ์ใหญ่ให้อรรถาธิบายว่า ด้วยพลังสามประสาน คือ คุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร์อันเยี่ยมยอด น้ำหนักตัวที่เบาหวิว คือ แค่ 400 กก. และระบบขับไฮบริดที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า รถแนวคิดคันนี้จึงมีอัตราสิ้นเปลือง 1 ลิตร/100 กม. และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 22 กรัม/กม.
RENAULT ESPACE
รถตลาดสายพันธุ์ฝรั่งเศสอีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัวแบบ PREMIERE MONDIAL ที่งานนี้ คือ เรอโนลต์ เอสปาศ (RENAULT ESPACE) รถอเนกประสงค์ขนานแท้และดั้งเดิมอนุกรมเก่าแก่ของยักษ์ใหญ่เมืองแฟชัน นับเป็นรถรุ่นที่ 5 และเป็นรุ่นแรกที่ผสมผสานรูปลักษณ์ของรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ไว้ด้วยในตัว ตัวถังซึ่งยาว 4.85 ม. กว้าง 1.87 ม. สูง 1.68 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.30 มีห้องโดยสารให้เลือก 2 แบบ คือ แบบติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 2 แถว นั่งได้ 5 คน กับแบบติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 3 แถว นั่งได้รวม 7 คน ส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้ขับล้อคู่หน้ามีให้เลือกรวม 3 ขนาด คือเครื่องเบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 1,618 ซีซี 200 แรงม้า เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 130 แรงม้า และเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 160 แรงม้า
DACIA DOKKER STEPWAY
ดาซีอา ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติโรมาเนียซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่ เรอโนลต์ ใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวรถใหม่ 2 รุ่น คือ ดาซีอา ลอดจี สเตพเวย์ (DACIA LODGY STEPWAY) กับ ดาซีอา ดอคเคอร์ สเตพเวย์ (DACIA DOKKER STEPWAY) ที่เห็นในภาพ แบบแรกเป็นรถอเนกประสงค์ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบ 5 ที่นั่ง และแบบ 7 ที่นั่ง ส่วนแบบหลังเป็นรถเก๋งตรวจการณ์อย่างที่เรียกขานกันในภาษาอังกฤษว่า LEISURE ACTIVITY VEHICLE และยังนึกไม่ออกว่าสมควรเรียกเป็นภาษาไทยว่ายังไง ? ทั้ง 2 แบบเป็นรถที่ตกแต่งตัวถังได้สวยงามสะดุดตา แบบแรกมีเครื่องยนต์ให้เลือกเพียง 2 ขนาด ส่วนแบบหลังมี 4 ขนาด คือ เครื่องเบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 1,198 ซีซี 115 แรงม้า กับเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง SOHC 4 สูบเรียง 1,461 ซีซี 75 แรงม้า หรือ 85 แรงม้า หรือ 90 แรงม้า
MERCEDES-AMG GT
ไม่น่าจะมีใครขัดข้อง หากยกตำแหน่งรถที่เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนได้ล้นหลามที่สุดในงานนี้ ให้แก่รถติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที (MERCEDES-AMG GT) ของค่าย "ดาวสามแฉก" เป็นรถระดับซูเพอร์คาร์ที่ค่ายนี้กำลังจะบรรจุเข้าสู่สายการผลิตที่เมืองซินเดลฟิงเกน (SINDELFINGEN) ในเยอรมนี แทนที่รถรุ่นเดิมซึ่งเป็นรถคูเปประตูปีกนกติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเอส เอเอมจี (MERCEDES-BENZ SLS AMG) เริ่มรับใบสั่งจองไปแล้วเมื่อเดือนตุลาคม โดยมีรถให้เลือก 2 รุ่น คือ AMG GT ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 3,982 ซีซี 462 แรงม้า และค่าตัวในเยอรมนีเริ่มต้นที่ 115,430 ยูโร กับ AMG GT S ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์บลอคเดียวกันที่ปรับแต่งจนกำลังสูงสุดพุ่งขึ้นเป็น 510 แรงม้า และป้ายค่าตัวเริ่มต้นที่ 134,351 ยูโร
MERCEDES-BENZ B-CLASS
จืดสนิทไปเลยแม้ว่าเป็นการปรากฏตัวแบบ PREMIERE MONDIALE หรือ "ครั้งแรกในโลก" คือ รถเก๋งแฮทช์แบคขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด เมร์เซเดส-เบนซ์ บี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ B-CLASS) สาเหตุที่ทำให้ดูจืดไปหน่อยก็เนื่องจากไม่ใช่รถรุ่นใหม่แท้ แต่เป็นรถรุ่นที่ 2 ที่เริ่มจำหน่ายเมื่อปลายปี 2011 และเพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" เป็นครั้งแรกหลังจากขายในทุกตลาดไปแล้วมากกว่า 350,000 คัน ในเมืองแม่รถรุ่นใหม่นี้มีกำหนดออกโชว์รูมในวันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน มีรถเบนซินให้เลือกรวม 6 โมเดล คือ B 180 BLUEEFFICIENCY-B 180-B 200-B 220 4MATIC-B 250-B 250 4MATIC เป็นรถดีเซลรวม 7 โมเดล คือ B 160 CDI-B 180 BLUEEFFICIENCY EDITION-B 180 CDI-B 200 CDI-B 200 CDI 4MATIC-B 220 CDI-B 220 CDI 4MATIC
MERCEDES-BENZ B-CLASS ELECTRIC DRIVE
ไฮไลท์หรือจุดดึงดูดความสนใจของรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ บี-คลาสส์ รุ่นยกหน้าที่กล่าวไปแล้ว คือ รถโมเดลพิเศษซึ่งติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เบนซ์ บี-คลาสส์ อีเลคทริค ดไรฟ (MERCEDES-BENZ B-CLASS ELECTRIC DRIVE) เป็นรถพลังงานทดแทนผลงานจากความร่วมมือกับ เทสลา มอเตอร์ส (TESLA MOTORS) ผู้ชำนาญการด้านรถไฟฟ้าของเมืองมะกัน เป็นรถขับล้อหน้าด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์แบบใดๆ มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 132 กิโลวัตต์/180 แรงม้า รับพลังไฟจากแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ซึ่งหนักถึง 300 กก. สามารถวิ่งได้ไกลประมาณ 200 กม. โดยทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.9 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 160 กม./ชม. เพราะวิ่งเร็วกว่านี้จะเปลืองไฟมาก ขณะนี้ยังไม่เปิดรับการสั่งจอง ต้องรอต้นปีแพะบ้าจึงจะได้ฤกษ์
MERCEDES-AMG C 63
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของสำนัก AMG ที่เรียกผู้คนเข้าบูธได้แน่นขนัด คือ รถติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เอเอมจี ซี 63 (MERCEDES-AMG C 63) ซึ่งมีให้เลือกทั้งตัวถัง 4 ประตูซีดาน และตัวถัง 5 ประตูตรวจการณ์อย่างคันที่เห็นในภาพ เป็นรถหรูเลิศและร้อนแรงที่เห็นตัวเลขความเร็วแล้วขนลุก เช่นเดียวกันกับรถ เมร์เซเดส-เอเอมจี จีที (MERCEDES-AMG GT) ที่เพิ่งผ่านตาไป ค่าย "ดาวสามแฉก" ทำรถแบบนี้เป็น 2 รุ่น คือ AMG C 63 ติดตั้งเครื่องทวินเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 3,982 ซีซี 476 แรงม้า และค่าตัวในเยอรมนีเริ่มต้นที่ 76,100 ยูโร กับ AMG C 63 S ติดตั้งเครื่องยนต์บลอคเดียวกันแต่กำลังเพิ่มเป็น 510 แรงม้า และค่าตัวเพิ่มเป็น 84,370 ยูโร ทุกรุ่นไม่มีรุ่นใดที่ใช้เวลามากกว่า 4.2 วินาที ในการทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.
SMART FORFOUR
ออกงานเป็นครั้งแรกหลังจากเปิดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่นครหลวงของเยอรมนีเมื่อเดือนกรกฎาคมคือรถจิ๋วติดป้ายชื่อ สมาร์ท ฟอร์โฟร์ (SMART FORFOUR) ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 2 ที่เพิ่งหวนคืนสู่สายการผลิตของโรงงานซึ่งตั้งอยู่ในฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง หลังจากรถชื่อเดียวกันรุ่นแรกถูกตัดสินด้วยโทษประหารเมื่อหลายปีก่อน เป็นรถที่ออกแบบ/พัฒนามาพร้อมๆ กับรถ สมาร์ท ฟอร์ทู (SMART FORTWO) รุ่นที่ 3 ซึ่งจะกล่าวถึงในลำดับต่อไป เครื่องยนต์กลไกต่างๆ ที่ใช้ก็เป็นชุดเดียวกัน คือ เครื่องเบนซิน DOHC 3 สูบเรียง 999 ซีซี 71 แรงม้า กับเครื่องเทอร์โบเบนซิน 3 สูบเรียง 898 ซีซี 90 แรงม้า ทั้ง 2 เครื่องส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ในเยอรมนีซึ่งแบ่งการตกแต่ง/อุปกรณ์เป็น 4 ระดับ คือ BASIC PASSION PRIME EPOXY ค่าตัวรวมภาษีร้อยละ 19 เริ่มต้นที่ 11,555 ยูโร
SMART FORTWO
ออกงานเป็นครั้งแรกหลังจากเปิดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เมื่อเดือนกรกฎาคมเช่นกัน คือ รถติดป้ายชื่อ สมาร์ท ฟอร์ทู (SMART FORTWO) ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 3 และเป็นผลงานจากความร่วมมือกับยักษ์ใหญ่ของเมืองแฟชันคือ เรอโนลต์ เป็นรถหรูขนาดจิ๋วที่มีขนาดตัวถังและรูปทรงองค์เอวใกล้เคียงกันมากกับรถรุ่นเดิมที่อยู่ในตลาดมายาวนานกว่า 7 ปี แต่หน้าตาเห็นได้ชัดว่าตั้งใจออกแบบด้วยแนวคิดใหม่ และเห็นได้ชัดเจนว่าแตกต่างเป็นอย่างมากจากรถรุ่นเดิม โดยเฉพาะดวงโคมไฟหน้าซึ่งเปลี่ยนรูปลักษณ์จาก "ไฟตาตี่" เป็น "ไฟตาโต" เครื่องยนต์กลไกเป็นเครื่องชุดเดียวกับรถ สมาร์ท ฟอร์โฟร์ (SMART FORTWO) และ เรอโนลต์ ทวิงโก (RENAULT TWINGO) รุ่นล่าสุด การตกแต่ง/อุปกรณ์ก็ทำเป็น 4 แบบ คือ BASIC PASSION PRIME EPOXY ส่วนค่าตัวย่อมเยากว่ากันนิดหนึ่ง คือ เริ่มที่ 10,895 ยูโร
BMW 2-SERIES CABRIO
ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" นำผลงานใหม่ไปอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ 2-3 ชิ้น ชิ้นแรกที่เลือกมาให้ชมกัน คือ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-2 กาบริโอ (BMW 2-SERIES CABRIO) เป็นรถเปิดประทุนขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัดอนุกรมใหม่ ที่ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์เพิ่งบรรจุเข้าสู่สายการผลิตแทนที่รถรุ่นเดิม ซึ่งอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ต้นปี 2008 พร้อมกับป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 กาบริโอ (BMW 1-SERIES CABRIO) เช่นเดียวกับรถรุ่นเดิม รถอนุกรมใหม่และชื่อใหม่นี้ติดตั้งประทุนหลังคาแบบอ่อน เป็นประทุนที่เปิด/ปิดด้วยระบบไฟฟ้าโดยใช้เวลา 20 วินาที และสามารถกดปุ่มบังคับเปิดหรือปิดเมื่อรถยังวิ่งเร็วไม่เกิน 50 กม./ลิตร ในเยอรมนีจะเริ่มจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ของปีแพะ และจะมีรถให้เลือก 4 โมเดล คือ 220I CABRIO-228I CABRIO-220D CABRIO-M235I CABRIO
BMW X6
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" นำออกอวดในงานมหกรรมยานยนต์ระดับ "อินเตอร์" เป็นครั้งแรก คือ รถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดกลางติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 6 (BMW X6) ซึ่งเพิ่งเข้าสู่สายการผลิตที่รัฐเซาธ์แคโรไลนาในสหรัฐอเมริกา แทนที่รถรุ่นเดิมที่เริ่มออกโชว์รูมเมื่อต้นปี 2008 และขายทั่วโลกไปแล้วประมาณ 250,000 คัน ทั้งหน้าตาทั้งขนาดและรูปทรงองค์เอวของตัวถัง เห็นได้ชัดว่าเป็นผลลัพธ์ของการออกแบบที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม คือ อะไรที่มันดีอยู่แล้วก็อย่าไปยุ่งกับมันให้มาก ในเยอรมนีจะเริ่มออกโชว์รูมในเดือนธันวาคม 2014 โดยมีรถให้เลือกรวม 5 โมเดล คือ X6 XDRIVE 35I-X6 XDRIVE 50I-X6 XDRIVE 30D-X6 XDRIVE 40D-X6 M50D ทุกโมเดลเป็นรถขับทุกล้อ ติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ STEPTRONIC ค่าตัวเริ่มต้นที่ 65,650 ยูโร
VOLKSWAGEN XL SPORT
ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ดึงดูดผู้คนเข้าสู่บูธได้อย่างล้นหลามเพราะมี โฟล์คสวาเกน เอกซ์แอล สปอร์ท (VOLKSWAGEN XL SPORT) ที่กำลังอวดโฉมอยู่ขณะนี้เป็นแม่เหล็กดึงดูด เป็นรถแนวคิดที่ไม่ได้ทำขึ้นใหม่ทั้งคัน แต่ดัดแปลงและพัฒนาจากรถ โฟล์คสวาเกน เอกซ์แอล 1 (VOLKSWAGEN XL1) ที่เคยอวดตัวใน "ฟอร์มูลา" มาก่อนแล้ว มีจุดเปลี่ยนสำคัญ คือ การยกกระบิระบบขับ จากขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ เป็นขับด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซิน DOHC 2 สูบเรียง 1,199 ซีซี 200 แรงม้า ของรถซูเพอร์ไบค์ DUCATI 1191 SUPERLEGGERA ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเครื่องจักรยานยนต์ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ผลลัพธ์คือ รถที่มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.258 และมีน้ำหนักตัวแค่ 890 กก. คันนี้ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. โดยใช้เวลาเพียง 5.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 270 กม./ชม.
VOLKSWAGEN GOLF ALLTRACK
นอกจากรถแนวคิดที่ผ่านตาไปแล้ว ยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์ยังนำรถตลาดรุ่นใหม่ๆ ไปอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" อีกหลายรุ่นหลายคัน คันแรกที่เลือกมาให้ชมกัน คือ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ ออลล์ทแรค (VOLKSWAGEN GOLF ALLTRACK) ไม่ใช่รถใหม่แท้ที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งคัน แต่เป็นรถใหม่ซึ่งพัฒนาจากรถที่มีอยู่ก่อนแล้วในสายการผลิต คือ รถตรวจการณ์ขนาดกะทัดรัดติดป้ายชื่อ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ วาเรียนท์ (VOLKSWAGEN GOLF VARIANT) เป็นการพัฒนาโดยเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมาย รวมทั้งติดตั้งระบบขับทุกล้อ 4MOTION และยกพื้นรถให้สูงขึ้น 200 มม. เพื่อทำให้มีรูปลักษณ์และสมรรถนะการขับขี่เหมือนเป็นรถกิจกรรมกลางแจ้ง ทั้งๆ ที่ยังมีพื้นฐานเป็นรถเก๋ง จะเริ่มออกโชว์รูมในฤดูใบไม้ผลิของปีแพะบ้า โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกรวม 4 ขนาด และให้กำลังสูงสุดระหว่าง 110 ถึง 184 แรงม้า
VOLKSWAGEN PASSAT GTE
ปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เช่นกัน คือ รถเก๋งขนาดกลางติดป้ายชื่อ โฟล์คสวาเกน พาสสัท จีทีอี (VOLKSWAGEN PASSAT GTE) ซึ่งต้องรอจนถึงกลางปี 2015 จึงจะเริ่มออกโชว์รูม มีจุดขายสำคัญ คือ ระบบขับไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ หรือ PLUG-IN HYBRID ซึ่งใช้เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,390 ซีซี 156 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 85 กิโลวัตต์/115 แรงม้า แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน 9.9 กิโลวัตต์ชั่วโมงและระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ ได้กำลังสุทธิสูงสุด 218 แรงม้า เมื่อชาร์จไฟเต็มหม้อและเติมเชื้อเพลิงเต็มถังจะวิ่งได้ไกลกว่า 1,000 กม. คือ เดินทาง ปารีส-ลอนดอน-ปารีส ได้โดยไม่ต้องแวะปั๊ม แต่เมื่อใช้ E-MODE คือ วิ่งด้วยพลังไฟอย่างเดียว จะไปได้ไกล 50 กม.และทำความเร็วสูงสุด 130 กม./ชม.
AUDI TTS ROADSTER
ค่าย "สี่ห่วง" เป็นผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันอีกรายหนึ่งที่ขนผลงานชิ้นใหม่ไปเปิดตัวในงานนี้เป็นกองทัพ มีทั้งรถแนวคิดและรถตลาด คันแรกที่เลือกมาให้ชมกันคือรถติดป้ายชื่อ เอาดี ทีทีเอส โรดสเตอร์ (AUDI TTS ROADSTER) ที่กำลังอวดตัวในภาพบนซ้าย เป็นหนึ่งในบรรดารถเปิดประทุนรุ่นใหม่เอี่ยมแกะกล่องรวม 2 โมเดลที่อวดตัวในบูธของค่ายนี้ (อีกโมเดล คือ AUDI TT ROADSTER) ตัวถังขนาด 4.177x1.832x1.355 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.30 ติดตั้งประทุนหลังคาแบบอ่อนซึ่งมีโครงทำจากเหล็กกล้าและวัสดุมวลเบาอีกหลายชนิด บังคับเปิด/ปิดด้วยการกดปุ่มที่สามารถทำงานเมื่อยังใช้ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. ส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้ขับล้อคู่หน้าและคู่หลัง เป็นเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,984 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 310 แรงม้า
AUDI TT SPORTBACK CONCEPT
รถติดป้ายชื่อ เอาดี ทีที สปอร์ทแบค คอนเซพท์ (AUDI TT SPORTBACK CONCEPT) ที่กำลังอวดตัวอยู่ในภาพบนขวามือ หน้าตาเหมือนเป็นรถตลาดที่กำลังจะออกโชว์รูมแต่ที่จริงยังมีฐานะเป็นรถแนวคิดซึ่งยังไม่มีใครยืนยันว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาดหรือไม่ เป็นรถแนวคิดที่ค่าย "สี่ห่วง" ทำขึ้นเพื่อยืนยันว่า นอกจากตัวถังคูเปและตัวถังเปิดประทุนที่คุ้นเคยกันมานานแล้ว ในอนาคตรถสปอร์ทติดป้ายชื่อ เอาดี ทีที (AUDI TT) อาจมีตัวถัง 4 ประตู หรือตัวถัง 5 ประตูให้เลือกใช้ด้วย เป็นรถแนวคิดที่มีตัวถังยาว 4.47 ม. และกว้าง 1.89 ม. คือ ยาวและกว้างกว่าตัวถังคูเปของรถตลาดรุ่นล่าสุดถึง 29 และ 6 ซม. ตามลำดับ ส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องยนต์บลอคเดิมแต่ให้กำลังสูงขึ้น คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,984 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 400 แรงม้า
AUDI A6
ผลงานชิ้นสุดท้ายของค่าย "สี่ห่วง" ที่เลือกมาให้ชมกัน คือ รถติดป้ายชื่อ เอาดี เอ 6 (AUDI A6) ซึ่งมีให้เลือกทั้งตัวถัง 4 ประตูซีดาน และตัวถัง 5 ประตูตรวจการณ์ ไม่ใช่รถรุ่นใหม่แท้อย่างที่เรียกกันในบ้านเราว่า "ใหม่หมด" แต่เป็นรถรุ่นล่าสุดที่เริ่มจำหน่ายเมื่อต้นปี 2011 และเพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" เป็นครั้งแรก เริ่มจำหน่ายไปแล้วในเมืองแม่ โดยมีรถให้เลือกอย่างหลากหลายมากกว่า 25 โมเดล มีเครื่องยนต์รวม 12 ขนาด ให้กำลังสูงสุดระหว่าง 150 ถึง 560 แรงม้า มีระบบเกียร์ 3 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ TIPTRONIC และเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ S TRONIC ตัวถังซีดาน ค่าตัวซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 ไว้แล้ว เริ่มต้นที่ 38,400 ยูโร ส่วนตัวถังตรวจการณ์ราคาสูงกว่ากันนิดหน่อย คือ 40,900 ยูโร
PORSCHE CAYENNE S E-HYBRID
ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทและรถกิจกรรมกลางแจ้งของเมืองเบียร์ อวดผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องเพียงชิ้นเดียว คือ โพร์เช กาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด (PORSCHE CAYENNE S E-HYBRID) รถไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ที่ค่ายนี้กำลังจะนำออกสู่โชว์รูมแทนที่รถรุ่นเดิมที่อยู่ในสายการผลิตมาตั้งแต่ปี 2010 คือ โพร์เช กาเยนน์ เอส ไฮบริด (PORSCHE CAYENNE S HYBRID) ซึ่งใช้ระบบไฮบริดชนิดไม่ต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ระบบใหม่นี้ใช้เครื่องยนต์บลอคเดิม คือ เครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 2,995 ซีซี 333 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 70 กิโลวัตต์/95 แรงม้า แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน 10.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง และระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ TIPTRONIC S ให้กำลังสุทธิสูงสุด 416 แรงม้า และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เยี่ยมมาก คือ 3.4 ลิตร/100 กม.
OPEL CORSA
เปิดตัวผ่านสื่อต่างๆ มาแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่งานนี้นับเป็นโอกาสแรกที่สาธารณชนได้สัมผัสตัวจริงเสียงจริงของรถ โอเพล โคร์ซา (OPEL CORSA) รุ่นใหม่ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ห้า พิธีแถลงข่าวซึ่งมีขึ้นที่บูธซึ่งอยู่ใน PAVILLON 5 หรืออาคารหมายเลข 5 ของงานนี้ เรียกความสนใจจากสื่อได้อย่างล้นหลาม เพราะมียอดนางแบบชาวเยอรมัน คลาวเดีย ชิฟเฟอร์ (CLAUDIA SCHIFFER) ซึ่งรับบทเป็น BRAND AMBASSADOR หรือทูตประจำเครื่องหมายการค้าของค่ายนี้ร่วมปรากฏตัวด้วย เป็นรถเก๋งแฮทช์แบคขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตลาดยุโรป รถรุ่นเดิมๆ ซึ่งอยู่ในสายการผลิตระหว่างปี 1982-2014 ขายในตลาดนี้ไปแล้วประมาณ 11.7 ล้านคัน ในเยอรมนีรถรุ่นใหม่นี้เริ่มจำหน่ายไปแล้วทั้งตัวถัง 3 และ 5 ประตูแฮทช์แบค ค่าตัวรวมภาษีเริ่มต้นที่ 11,980 ยูโร
FORD C-MAX/FORD GRAND C-MAX
ค่าย ฟอร์ด ยุโรปซึ่งช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2014 ยอดขายในเมืองแฟชันเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2013 ให้ความสำคัญแก่งานนี้ โดยนำผลงานชิ้นใหม่ออกอวดตัวเป็นกองทัพ แต่เนื้อที่มีจำกัดจึงเลือกมาให้ชมเพียง 3 ชิ้น ชิ้นแรกที่กำลังอวดตัวในภาพซ้ายมือ คือ ฟอร์ด กแรนด์ ซี-แมกซ์ (FORD GRAND C-MAX) ซึ่งไม่ใช่รถรุ่นใหม่แท้ แต่เป็นรถรุ่นที่ 2 ที่เริ่มจำหน่ายในยุโรปเมื่อปลายปี 2010 และเพิ่งได้รับการปรับปรุงช่วงครึ่งชีวิต อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า MID-LIFE CHANGES พร้อมๆ กับรถแบบเดียวกันแต่มีตัวถังสั้นกว่า ซึ่งติดป้ายชื่อ ฟอร์ด ซี-แมกซ์ (FORD C-MAX) เป็นการเปลี่ยนแปลงที่กระทำทั้งในส่วนของตัวถัง แชสซีส์ และเครื่องยนต์กลไก ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดด้วยสายตา คือ ดวงโคมไฟหน้า แผงกระจังหน้า และฝากระโปรงหน้า ที่ออกแบบใหม่หมด
FORD S-MAX
ปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของรถแนวคิดมาแล้วหลายครั้ง มหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ MEDIUM MPV หรือรถอเนกประสงค์ขนาดกลางติดป้ายชื่อ ฟอร์ด เอส-แมกซ์ (FORD S-MAX) อวดตัวให้เห็นในฐานะรถตลาดสมบูรณ์แบบ เป็นรถรุ่นที่ 2 ที่ต้องรอจนถึงฤดูร้อนของปีแพะบ้านั่นแหละจึงจะเริ่มการจำหน่ายในตลาดยุโรป พร้อมกับป้ายค่าตัวซึ่งคาดหมายกันว่าน่าจะเริ่มต้นที่ระดับ 32,000 ยูโร หรือ 25,000 ปอนด์อังกฤษ ตัวถังซึ่งติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 3 แถว นั่งได้รวม 7 คน มีขนาดใกล้เคียงกันมากกับรุ่นเดิมแต่ไม่ชิ้นส่วนใดเลยที่ตกทอดจากรุ่นเดิม เป็นรถที่คนของค่ายยักษ์รองอวดโอ่ว่า เสริมความแข็งแกร่งของรถรุ่นเดิม แก้ไขข้อด้อย และแต่งเติมด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ พร้อมยืนยันว่า ไฮไลท์ของรถรุ่นใหม่นี้ คือ ห้องโดยสารที่พลิกแพลงได้มาก กับระบบขับทุกล้อซึ่งไม่เคยมีในรถรุ่นก่อน
FORD EDGE
คนรักรถในทวีปอเมริกาได้เห็นกันมาก่อนแล้ว แต่มหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งนี้นับเป็นงานแรกที่ผู้คนในทวีปยุโรปและทีมงานของ "สื่อสากล" มีโอกาสสัมผัสตัวจริงเสียงจริงขับได้จริงของรถติดป้ายชื่อ ฟอร์ด เอดจ์ (FORD EDGE) ในรูปลักษณ์ของรถตลาดสมบูรณ์แบบ เป็น MID-SIZE CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดกลางออกแบบ/พัฒนาในสหรัฐอเมริกา ที่ค่าย ฟอร์ด กำลังจะนำเข้าไปจำหน่ายในตลาดยุโรป เพื่อเพิ่มกองทัพรถกิจกรรมกลางแจ้งของ ฟอร์ด ยุโรปจาก 2 เป็น 3 อนุกรม ขณะนี้รถที่มีขายอยู่แล้ว คือ ฟอร์ด อีโคสปอร์ท (FORD ECOSPORT) กับ ฟอร์ด คูกา (FORD KUGA) รถอนุกรมใหม่นี้จะมีเครื่องดีเซล DURATORQ ความจุ 2.0 ลิตร ให้เลือก 2 ขนาด คือ เครื่อง 180 แรงม้า กับ 210 แรงม้า ที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 149 กรัม/กม. และ 159 กรัม/กม. ตามลำดับ
SEAT LEON XPERIENCE
อวดตัวแบบ PREMIERE MONDIALE หรือ "ครั้งแรกในโลก" เช่นกัน คือ รถตรวจการณ์ติดป้ายชื่อ เซอัต เลอน เอกซ์พีเรียนศ์ (SEAT LEON XPERIENCE) ผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องของผู้ผลิตรถยนต์เมืองกระทิงดุที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่ โฟล์คสวาเกน กรุพ (VOLKSWAGEN GROUP) ไม่ใช่รถใหม่ที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่พัฒนาจากรถตรวจการณ์ เซอัต เลอน เอสที (SEAT LEON ST) รุ่นปัจจุบันซึ่งเพิ่งเริ่มจำหน่ายในเมืองแม่เมื่อปลายปี 2013 เป็นการพัฒนาและดัดแปลงในลักษณาการเดียวกับที่ผู้ผลิตรถยนต์ร่วมเครือกระทำกับรถ เอาดี เอ 4 ออลล์โรด กวัตตโร (AUDI A4 ALLROAD QUATTRO) คือ ติดตั้งระบบขับเคลื่อนทุกล้อ และอุปกรณ์ "ออฟโรด" นานาชนิด เพื่อให้มีรูปลักษณ์และสมรรถนะการขับขี่ที่รถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์บางรุ่นบางแบบยอมเรียกว่าพี่ มีกำหนดออกโชว์รูมในยุโรปก่อนสิ้นปีม้าพยศนี้
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา/บริษัทผู้ผลิต chusak@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/33978