ทั่วไป
เยอรมนี-ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์ เพิ่มทางเลือกใหม่ให้แก่คนรักตัวกลัวตายเงินถุงเงินถังที่อาจจะรวยศัตรู โดยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อปกป้องผู้ขับผู้โดยสารในระดับสูงสุด แต่ไม่ทำให้ความสะดวกสบายของการนั่งในรถสุดหรูลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด
MERCEDES-BENZ S 600 GUARD รถหุ้มเกราะสุดหรูติดตราดาวสามแฉก เปิดตัวแล้วในเยอรมนี
เยอรมนี-ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์ เพิ่มทางเลือกใหม่ให้แก่คนรักตัวกลัวตายเงินถุงเงินถังที่อาจจะรวยศัตรู โดยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อปกป้องผู้ขับผู้โดยสารในระดับสูงสุด แต่ไม่ทำให้ความสะดวกสบายของการนั่งในรถสุดหรูลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด
เป็นรถหุ้มเกราะติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส 600 การ์ด (MERCEDES-BENZ S 600 GUARD) ซึ่งไม่ใช่รถที่ออกแบบ/พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งคัน แต่ดัดแปลงจากรถรุ่นสามัญ คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส 600 (MERCEDES-BENZ S 600) ซึ่งเพิ่งออกโชว์รูมในเมืองเบียร์เมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมา พร้อมกับป้ายค่าตัว 164,279 ยูโร หรือประมาณ 7.4 ล้านบาทไทย เป็นการดัดแปลงจากรถธรรมดาสามัญให้กลายเป็นรถหุ้มเกราะที่สามารถปกป้องการปองร้าย หรือการโจมตีจากภายนอกได้อย่างดี ที่ผู้ผลิตบอกว่ามีข้อได้เปรียบกว่ารถประเภทเดียวกันแบบอื่นๆ อยู่ 2 ข้อ คือ 1. แข็งแกร่งและมีเสถียรภาพเยี่ยมยอด เพราะเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างพื้นฐาน โดยการผนวกเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการผลิตเปลือกตัวถัง และ 2. ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารยังรักษาไว้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง โดยการประสมประสานวัสดุปกป้องและชิ้นส่วนเดิมเข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาด
ผลลัพธ์ของการเสริมความแข็งแรง ซึ่งมีข้อได้เปรียบดังที่กล่าวข้างต้น ทำให้ค่าย "ดาวสามแฉก" สามารถยืนยันว่ารถหุ้มเกราะโมเดลใหม่ล่าสุดนี้ มีคุณสมบัติด้านการปกป้องเป็นไปตามมาตรฐาน VR9 ของเยอรมนี ทั้งในส่วนที่มองเห็นได้ด้วยตา และส่วนที่มองไม่เห็น นอกจากนั้น เพื่อให้สอดรับกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการหุ้มเกราะ มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในหลายๆ จุดที่สมควรกล่าวถึงด้วย ตัวอย่างเช่น การติดตั้งระบบรองรับ (กันสะเทือน) อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า AIRMATIC AIR SUSPENSION การติดตั้งห้ามล้อจานขนาดโตขึ้น และการติดตั้งยาง MICHELIN PAX RUN-FLAT TYRES ที่ทำให้รถยังวิ่งไปได้ไกลถึง 30 กม. หลังจากยางแตก ที่น่าทึ่ง และเห็นได้อย่างดีจากภาพประกอบก็คือ ภายหลังการดัดแปลงทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวแล้วนี้ หน้าตา และรูปโฉมภายนอกแทบไม่มีจุดไหนเลยที่แตกต่างจากรถรุ่นสามัญซึ่งเป็นที่มา
ในส่วนของระบบขับ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส 600 การ์ด ติดตั้งเครื่องยนต์บลอคเดียวกับรถซึ่งเป็นที่มา คือ เครื่องเบนซิน SOHC วี 12 สูบ 5,980 ซีซี 390 กิโลวัตต์/530 แรงม้า ระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อหลังก็ใช้ชุดเดิม คือ เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 7G-TRONIC ที่เปลี่ยนแปลงไป คือ ความเร็วสูงสุดซึ่งจำกัดไว้เพียง 210 กม./ชม. ด้วยเหตุผลด้านน้ำหนัก
นอกจากรถรุ่นนี้แล้ว ปัจจุบันค่ายดาวสามแฉก มีรถหุ้มเกราะให้เลือกใช้อีก 6 รุ่น คือ รถดีเซล MERCEDES-BENZ E 350 CDI BLUEEFFICIENCY GUARD รถเบนซิน MERCEDES-BENZ E 350 GUARD รถเบนซิน MERCEDES-BENZ E 500 GUARD รถเบนซิน MERCEDES-BENZ G 500 GUARD รถดีเซล MERCEDES-BENZ ML 350 BLUETEC GUARD และรถเบนซิน MERCEDES-BENZ ML 500 GUARD
MINI COOPER LEGO SERIES รถ มีนี เหมือนจริงแต่วิ่งไม่ได้ ของเล่นสำหรับผู้มีอายุ 16+
เดนมาร์ค-ไม่ใช่รถยนต์ที่หน้าตาเหมือนตัวต่อ แต่เป็นตัวต่อที่ทำให้เหมือนรถยนต์ ผลงานสร้างรอยยิ้มชุดใหม่เอี่ยมแกะกล่องของ เลโก (LEGO) เจ้าแห่งการผลิตสินค้าตัวต่อของเมืองโคนม ใช้ตัวต่อจำนวน 1,077 ชิ้น ประกอบกันเป็นรถ มีนี คูเพอร์ (MINI COOPER) ยาว 25 ซม. กว้าง 14 ซม. และสูง 11 ซม. ซึ่งมีหน้าตาและรูปทรงองค์เอวเหมือนรถรุ่นดั้งเดิม ที่ผลิตในเมืองผู้ดีระหว่างเดือนสิงหาคม 1997 ถึงเดือนกรกฎาคม 1998 ในวาระที่รถอันสุดแสนคลาสสิคนี้มีอายุครบ 40 ปี รายละเอียดต่างๆ รวมทั้งเครื่องยนต์พวงมาลัยรวมทั้งรายละเอียดต่างๆ ล้วนตั้งใจทำให้เหมือนกับรถซึ่งเป็นที่มา ที่ชัดเจนที่สุดคือ การทำตัวถังเป็นสี BRITISH RACING GREEN หรือสีเขียวรถแข่งอังกฤษ หลังคา/กระจกมองข้าง/แถบคาดหน้าหม้อเป็นสีขาว และทำพวงมาลัย/เบาะที่นั่ง/โคมไฟบนแผงกระจังหน้ารูปหกเหลี่ยมเป็นสีเบจ เริ่มจำหน่ายผ่านเวบไซท์ shop.lego.com เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2014 และระบุว่าเหมาะสำหรับผู้มีอายุ 16+
MERCEDES-BENZ VITO รถตู้รุ่นใหม่ผลิตในเมืองกระทิงดุ แต่เปิดตัวที่กรุงเบร์ลิน
เยอรมนี-ค่าย "ดาวสามแฉก" ปักหลักกิโลเมตรใหม่ให้แก่กิจการผลิตและจำหน่ายรถตู้ขนาดกลางในทวีปยุโรป โดยเลือกใช้กรุงเบร์ลินนครหลวงของเยอรมนีเป็นที่เปิดตัวรถตู้ เมร์เซเดส-เบนซ์ วีโต (MERCEDES-BENZ VITO) รุ่นใหม่ ซึ่งเริ่มการผลิตที่โรงงานในสเปนไปแล้ว เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่ต้องรอจนถึงเดือนตุลาคมจึงจะเริ่มออกโชว์รูมในเมืองเบียร์เป็น MID-SIZE VAN หรือรถตู้เพื่อการพาณิชย์ขนาดกลาง ที่มีตัวถังให้เลือกใช้ถึง 3 แบบ เพื่อให้สอดรับกับวัตถุประสงค์การใช้งาน คือ ตัวถัง VITO KASTENWAGEN (คันสีแดง) ที่ออกแบบเพื่อการบรรทุกของ จึงติดตั้งเก้าอี้ที่นั่งเพียงแถวเดียว นั่งได้รวม 3 คน ตัวถัง VITO MIXTO (คันสีน้ำเงิน) ที่ออกแบบเพื่อบรรทุกทั้งของและคน จึงติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 2 แถว นั่งได้รวม 6 คน และตัวถัง VITO TOURER ที่ออกแบบให้บรรทุกคนเป็นหลัก จึงติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 3 แถว นั่งได้มากที่สุดไม่เกิน 9 คน นอกจากนั้นรถทั้ง 3 แบบนี้ยังมีตัวถังให้เลือกใช้ถึง 3 ขนาด คือ ตัวถังขนาดกะทัดรัด หรือ KOMPAKTE VERSION ซึ่งยาว 4.895 ม.กว้าง 1.928 ม. สูง 1.890-1.910 ม. ตัวถังยาว หรือ LANGE VERSION ซึ่งยาว 5.140 ม. กว้าง 1.928 ม. สูง 1.890-1.910 ม. และตัวถังยาวพิเศษ หรือ EXTRA LANGE VERSION ซึ่งยาว 5.370 ม. กว้าง 1.928 ม. และสูง 1.890-1.910 ม.
นอกจากมีตัวถังให้เลือกใช้ถึง 3 แบบ และ 3 ขนาด ดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว ค่ายดาวสามแฉกยังยืนยันด้วยว่า เมร์เซเดส-เบนซ์ วีโต รุ่นใหม่นี้ นับเป็นหนึ่งในบรรดารถตู้ขนาดกลางที่บรรทุกน้ำหนักได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับรถขนาดเดียวกันแบบอื่นๆ แถมมีค่าตัวและค่าโสหุ้ยในการใช้งานค่อนข้างต่ำอีกต่างหาก พร้อมกับยกตัวอย่างรถโมเดลที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล คือ VITO 116 CDI BLUEEFFICIENCY ซึ่งมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่เยี่ยมมาก คือ แค่ 5.7 ลิตร/100 กม. หรือ 17.5 กม./ลิตร เป็นตัวเลขความประหยัดที่ไม่มีรถระดับเดียวกันรุ่นใดและแบบใดเคยทำได้มาก่อน ยิ่งกว่านั้นรถรุ่นใหม่นี้ยังเป็นรถตู้ขนาดกลางแบบแรกของยุโรป ที่มีระบบขับให้เลือกใช้ถึง 3 แบบ คือ แบบขับล้อหลัง แบบขับล้อหน้า และแบบขับทุกล้อ
เช่นเดียวกับรถรุ่นแรกซึ่งอยู่ในสายการผลิตระหว่างปี 1995-2013 และขายในตลาดทั่วโลกได้เกือบ 1.2 ล้านคัน เมร์เซเดส-เบนซ์ วีโต รุ่นนี้ใช้โรงงานที่เมือง วีโตรีอา (VITORIA) ในแคว้นบาสค์ของสเปนเป็นที่ผลิต และเมื่อเริ่มออกจำหน่ายในเมืองเบียร์ โดยติดป้ายค่าตัวเริ่มต้นที่ 28,357 ยูโร (ประมาณ 1.276 ล้านบาทไทย) สำหรับ VITO KASTENWAGEN 28,810 ยูโร (ประมาณ 1.300 ล้านบาทไทย) สำหรับ VITO MIXTO และ 30,119 ยูโร (ประมาณ 1.355 ล้านบาทไทย) จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวม 5 ขนาด ทั้งหมดเป็นเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง ที่ให้กำลังสูงสุดระหว่าง 65 กิโลวัตต์/88 แรงม้า ถึง 140 กิโลวัตต์/190 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์มี 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 7G-TRONIC
AUDI A3 SPORTBACK E-TRON รถไฮบริดของค่ายสี่ห่วง เริ่มจำหน่ายแล้วในตลาดยุโรป
เยอรมนี-เจ้าของเครื่องหมายการค้า "สี่ห่วง" เพิ่งยืนยันเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ได้เปิดรับการสั่งจองรถไฮบริดติดป้ายชื่อ เอาดี เอ 3 สปอร์ทแบค อี-ทรอน (AUDI A3 SPORTBACK E-TRON) ทั้งในเยอรมนีและในบางประเทศของทวีปยุโรปไปเรียบร้อยแล้ว รถแบบที่ว่านับเป็น PLUG-IN HYBRID CAR หรือรถไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบบแรกของค่ายนี้ ตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค 5 ที่นั่ง ยาว 4.310 ม. กว้าง 1.785 ม. และสูง 1.424 ม. ติดตั้งระบบขับล้อหน้าแบบไฮบริด โดยใช้เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,395 ซีซี 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 75 กิโลวัตต์/102 แรงม้า และแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ได้กำลังสุทธิสูงสุด 150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่เยี่ยมมาก คือ แค่ 1.5 ลิตร/100 กม.และวิ่งได้ไกล 50 กม. เมื่อใช้พลังไฟล้วนๆ ค่าตัวในเยอรมนีเริ่มต้นที่ 37,900 ยูโร
RANGE ROVER SPORT SVR รถแรงสุดและเร็วสุดของค่าย แลนด์ โรเวอร์ เริ่มให้จองเดือนตุลาคม
อังกฤษ/สหรัฐอเมริกา-แลนด์ โรเวอร์ (LAND ROVER) ยอดผู้ผลิตรถกิจกรรมกลางแจ้งของเมืองผู้ดีเลือกใช้งานแสดงรถยนต์สุดไฮโซของเมืองมะกัน คือ งาน กองกูร์ส เดอ ลากองศ์ (CONCOURS D'ELEGANCE) ซึ่งอุบัติขึ้นที่สนามกอล์ฟ เพบเบิล บีช (PEBBLE BEACH) ในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นที่เปิดตัวรถโมเดลพิเศษ ซึ่งเรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็นรถแรงที่สุดและเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 6 ทศวรรษของค่ายนี้
เป็นรถติดป้ายชื่อ เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ท เอสวีอาร์ (RANGE ROVER SPORT SVR) และนับเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงอีกชิ้นหนึ่งของ SPECIAL VEHICLE OPERATION TEAM ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการออกแบบ/พัฒนารถรุ่นพิเศษของค่าย แจกวาร์ แลนด์ โรเวอร์ (JAGUAR LAND ROVER) บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์สัญชาติอังกฤษที่มีเจ้าของเป็นคนอินเดีย ไม่ใช่รถที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งคัน แต่พัฒนาจากรถรุ่นสามัญที่เริ่มจำหน่ายในเมืองผู้ดีเมื่อกลางปี 2013 ตัวถังซึ่งทำจากอลูมิเนียมล้วนมีรายละเอียดภายนอกอยู่หลายจุด ที่ทำให้เห็นได้โดยง่ายว่าแตกต่างจากรถโมเดลอื่นๆ ตัวอย่างเช่น กันชนหน้าที่ช่องดักลมมีขนาดโตขึ้น แผงกระจังหน้าที่ออกแบบขึ้นใหม่ ช่องดักลมตรงสีข้างขนาดโตขึ้น และสปอยเลอร์ท้ายก็ออกแบบขึ้นใหม่เช่นกัน
อย่างไรก็ตามหัวใจของการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่เครื่องยนต์ ซึ่งมองไม่เห็นจากภายนอกเพราะซ่อนตัวอยู่ภายใต้ฝากระโปรงหน้า เป็นเครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 5,000 ซีซี ติดซูเพอร์ชาร์เจอร์ บลอคเดียวกับที่เคยใช้มาแล้วในรถรุ่นสามัญ แต่ปรับแต่งเป็นพิเศษจนกำลังสูงสุดพุ่งจาก 375 กิโลวัตต์/510 แรงม้า เป็น 405กิโลวัตต์/550 แรงม้า ตัวเลขที่ไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในรถกิจกรรมกลางแจ้งแบบใดๆ ของค่ายนี้ และทำให้รถโมเดลพิเศษนี้กลายเป็นรถระดับ"ซูเพอร์คาร์" ที่สู้กันได้สบายมากกับรถสายพันธุ์เยอรมันแท้อย่าง โพร์เช กาเยนน์ เทอร์โบ เอส (PORSCHE CAYENNE TURBO S) เมร์เซเดส-เบนซ์ เอมแอล 63 เอเอมจี (MERCEDES-BENZ ML 63 AMG) และ บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 6 เอม (BMW X6M) ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ZF 8HP70
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาแค่ 4.7 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 260 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 12.8 ลิตร/100 กม. หรือ 7.8 กม./ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากหน่อย คือ 325 กรัม/กม. วิจารณ์กันว่าเป็นรถที่มีเสียงเหมือนรถแข่ง เพราะติดตั้งระบบไอเสีย 2 จังหวะ มีวาล์วควบคุมการทำงานด้วยระบบอีเลคทรอนิค อย่างที่เรียกขานกันอย่างยาวเฟื้อยในภาษาอังกฤษว่า TWO-STAGE ACTIVE EXHAUST WITH ELECTRONICALLY CONTROLLED VALVES
เริ่มเปิดรับการสั่งจองในเดือนตุลาคม ด้วยค่าตัว 93,450 ปอนด์อังกฤษ หรือเท่ากับประมาณ 5.140 ล้านบาทไทย และคาดว่ารถคันแรกจะถึงมือผู้สั่งจองตอนต้นปี 2015
JAGUAR LIGHTWEIGHT E-TYPE ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 6 คัน ค่าตัวระดับ 1 ล้านปอนด์
อังกฤษ/สหรัฐอเมริกา-ผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ค่าย แจกวาร์ แลนด์ โรเวอร์ ของเมืองผู้ดีนำออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานแสดงยานยนต์ CONCOURS D'ELEGANCE ในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คือ แจกวาร์ ไลท์เวท อี-ไทพ์ (JAGUAR LIGHTWEIGHT E-TYPE) ที่เห็นใน 3 ภาพบน เป็นรถที่ค่ายนี้จะทำขึ้นเพียง 6 คัน เพื่อปิดโครงการผลิตรถ แจกวาร์ สเปเชียล จีที อี-ไทพ์ (JAGUAR SPECIAL GT E-TYPE) ที่ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1963 และตั้งใจจะผลิตรวม 18 คัน แต่ปรากฏว่าช่วงนั้นทำไปได้เพียง 12 คัน จึงต้องทำขึ้นอีก 6 คันเพื่อให้ครบ เป็นรถที่มีรายละเอียดเหมือนรถรุ่นเดิมไม่มีผิดไม่มีเพี้ยน ตัวถังยาว 4.453 ม. กว้าง 1.700 ม. และสูง 1.181 ม. ที่ออกแบบให้นั่งกันเพียง 2 คน ติดตั้งเครื่องเบนซิน DOHC 6 สูบ 3,868 ซีซี 254 กิโลวัตต์/340 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ ค่าตัวคาดกันว่าน่าจะอยูที่ระดับ 1 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 55 ล้านบาท
ไทย
LEXUS NX200T/LEXUS NX300H เอสยูวี สุดหรูขนาดเล็กกะทัดรัด เริ่มจำหน่ายแล้วในเมืองแม่
ญี่ปุ่น-เพียง 3 เดือนเศษหลังจากอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ปักกิ่งครั้งล่าสุดกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา เมื่อวันอังคารที่ 29 กรกฎาคม 2014 นี่เอง ผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องของยอดผู้ผลิตรถ "พรีเมียม" เมืองยุ่น คือ เลกซัส เอนเอกซ์-ซีรีส์ (LEXUS NX-SERIES) ก็เริ่มออกโชว์รูมในญี่ปุ่น
ในระยะแรกรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็กกะทัดรัดอนุกรมนี้ มีรถให้ลูกค้าในเมืองยุ่นเลือกใช้เพียง 2 รุ่น คือ เลกซัส เอนเอกซ์ 200 ที (LEXUS NX 200T) ซึ่งแยกโมเดลให้เลือกซื้อเลือกหาตามรสนิยมรวม 8 โมเดล และค่าตัวเริ่มต้นที่ 4.280 ล้านเยน หรือประมาณ 1.370 ล้านบาท กับ เลกซัส เอนเอกซ์ 300 เอช (LEXUS NX 300H) ซึ่งก็มีรถให้เลือก 8 โมเดลเช่นกัน และค่าตัวเริ่มต้นที่ 4.920 ล้านเยน หรือประมาณ 1.574 ล้านบาท รถทั้ง 2 รุ่นนี้ อยู่ในตัวถังแบบเดียวกัน เป็นตัวถัง 5 ประตู 5 ที่นั่ง ที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหาง และมีขนาดตัวถังเล็กกว่ารถกิจกรรมกลางแจ้งทุกรุ่นทุกแบบที่ค่ายนี้เคยผลิตขาย เป็นตัวถังยาว 4.630 ม. กว้าง 1.845 ม. และสูง 1.645 ม. ซึ่งติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยไว้พร้อมสรรพ ตัวอย่างเช่น FORWARD WIDE-BEAM LED CORNERING LAMPS หรือไฟแอลอีดีลำแสงกว้างสำหรับการขับขี่ยามค่ำคืน และระบบตรวจจับสิ่งที่วิ่งตัดหน้า หรือ PANORAMIC VIEW MONITOR WITH CROSS TRAFFIC DETECTION ซึ่งมีการติดตั้งเป็นครั้งแรกในรถ เลกซัส
เลกซัส เอนเอกซ์ 200 ที ซึ่งเป็นรถเทอร์โบแบบแรกในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเกือบ 3 ทศวรรษของค่ายนี้ ติดตั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,998 ซีซี 175 กิโลวัตต์/238 ซีซี (รหัสเครื่องยนต์ 8AR-FTS) ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าหรือทั้งคู่หน้าและคู่หลังแล้วแต่กรณีผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 12.4-12.8 กม./ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 181-187 กรัม/กม.
ส่วน เลกซัส เอนเอกซ์ 300 เอช เป็นรถไฮบริดชนิดไม่ต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 2,493 ซีซี 112 กิโลวัตต์/152 แรงม้า (รหัสเครื่องยนต์ 2AR-FXE) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ขนาด 105 กิโลวัตต์/143 แรงม้า (ขับล้อหน้า) และขนาด 50 กิโลวัตต์/68 แรงม้า (ขับล้อหลัง) ได้กำลังสุทธิสูงสุด 145 กิโลวัตต์/197 แรงม้า และถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้า หรือทั้งคู่หน้าและคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติปรับอัตราทดต่อเนื่อง (เกียร์ CVT) มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 19.8-21.0 กม./ลิตร และมีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่น่าพอใจมากสำหรับรถระดับนี้ คือ แค่ 111-118 กรัม/กม. เท่านั้นเอง
HONDA JET เครื่องบินเจทแบบแรกของค่าย ฮอนดา เปิดเผยโฉมหน้าในเมืองมะกัน
สหรัฐอเมริกา-เลือกมานำเสนอเป็นข่าว แม้ว่าไม่มีอะไรเลยที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ เพราะเห็นว่าเป็นผลงานของบริษัทรถยนต์ระดับยักษ์รองของเมืองยุ่น เป็น ฮอนดา เจท (HONDA JET) หรือเครื่องบินเจทแบบแรกที่บริษัท ฮอนดา แอร์คราฟท์ คัมพานี (HONDA AIRCRAFT COMPANY) เพิ่งนำออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก ที่งานแสดงอากาศยาน EAA AIRVENTURE OSHKOSH ซึ่งมีขึ้นที่รัฐวิสคอนซิน ในสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนจะเริ่มการจำหน่ายทั้งในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปในปีหน้า เป็นเครื่องบินเจทขนาดกระจิริดกระจิ๋วหลิวที่ออกแบบให้บรรทุกผู้โดยสารเพียง 5 คน สามารถทำความเร็วสูงสุด 420 นอท หรือประมาณ 780 กม./ชม. และมีพิสัยเดินทางประมาณ 2,200 กม. มีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ค่าย ฮอนดา ได้จดทะเบียนสิทธิบัตรไว้แล้ว ตัวอย่างเช่น OTWEM หรือ OVER-THE-WING-ENGINE MOUNT ซึ่งเป็นการติดตั้งเครื่องยนต์เหนือปีก ที่ช่วยลดแรงต้านอากาศ ส่งผลเป็นการประหยัดเชื้อเพลิง
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา/บริษัทผู้ผลิต chusak@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/33766