ที่มาของชื่อ JEEP เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่บ่อยๆ เพราะเชื่อกันหลายอย่าง และยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าความเชื่อของใครถูก ของใครผิด ทฤษฎีที่น่าเชื่อที่สุดอธิบายว่า ตอนที่ทำรถแบบแรก คือ รถ WILLY MB ให้แก่กองทัพสหรัฐอเมริกา และยังไม่มีชื่อ JEEP มีการกำหนดรหัสเฉพาะ GP ซึ่งย่อมาจาก GOVERNMENT PURPOSES ซึ่งมีความหมายว่าเป็นรถสำหรับงานของรัฐบาล หรือ GENERAL PURPOSES ซึ่งมีความหมายว่าเป็นรถใช้งานทั่วไป ปรากฏว่าเรียกกันไปเรียกกันมาก็เกิดการเพี้ยน และไม่นานนัก GP ก็กลายเป็น JEEP ไปในที่สุด ทำนองเดียวกับรถที่ผู้ผลิตรถยนต์อีกรายหนึ่งทำให้แก่กองทัพสหรัฐอเมริกาในเวลาใกล้เคียงกัน คือ รถ HMMWV หรือ HIGH-MOBILITY MULTI-PURPOSED WHEELED VEHICLE ซึ่งแปลว่า ยานยนต์ติดล้ออเนกประสงค์เคลื่อนย้ายแคล่วคล่อง เรียกกันไปเรียกกันมากลายเป็น HUMVEE เพราะสะดวกปากกว่ากันเยอะ

ที่มาของชื่อ JEEP เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่บ่อยๆ เพราะเชื่อกันหลายอย่าง และยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าความเชื่อของใครถูก ของใครผิด ทฤษฎีที่น่าเชื่อที่สุดอธิบายว่า ตอนที่ทำรถแบบแรก คือ รถ WILLY MB ให้แก่กองทัพสหรัฐอเมริกา และยังไม่มีชื่อ JEEP มีการกำหนดรหัสเฉพาะ GP ซึ่งย่อมาจาก GOVERNMENT PURPOSES ซึ่งมีความหมายว่าเป็นรถสำหรับงานของรัฐบาล หรือ GENERAL PURPOSES ซึ่งมีความหมายว่าเป็นรถใช้งานทั่วไป ปรากฏว่าเรียกกันไปเรียกกันมาก็เกิดการเพี้ยน และไม่นานนัก GP ก็กลายเป็น JEEP ไปในที่สุด ทำนองเดียวกับรถที่ผู้ผลิตรถยนต์อีกรายหนึ่งทำให้แก่กองทัพสหรัฐอเมริกาในเวลาใกล้เคียงกัน คือ รถ HMMWV หรือ HIGH-MOBILITY MULTI-PURPOSED WHEELED VEHICLE ซึ่งแปลว่า ยานยนต์ติดล้ออเนกประสงค์เคลื่อนย้ายแคล่วคล่อง เรียกกันไปเรียกกันมากลายเป็น HUMVEE เพราะสะดวกปากกว่ากันเยอะ ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของค่าย จีพ ที่นำมาให้ชมกันในเดือนนี้ ก็เป็น MID-SIZE CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดกลางเช่นเดียวกัน ยอดผู้ผลิตรถกิจกรรมกลางแจ้งของเมืองมะกันบรรจุรถติดป้ายชื่อ จีพ กแรนด์ เชอโรคี (JEEP GRAND CHEROKEE) เข้าสู่สายการผลิตเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1992 รถรุ่นดังกล่าวซึ่งมีรหัสประจำรุ่นว่า ZJ อยูในสายการผลิตจนถึงปี 1998 ก็ถูกปลดเพื่อหลีกทางให้กับรถรุ่นที่ 2 ซึ่งมี WJ เป็นรหัสประจำรุ่น ปรากฏว่ารถรุ่นใหม่นี้อยู่ในตลาดได้เพียง 6 ปีเช่นเดียวกัน แล้วก็ถูกแทนที่ด้วยรถรุ่นที่ 3 ซึ่งมีรหัสประจำรุ่นว่า WK ในปี 2005 ส่วนรถรุ่นที่ 4 ซึ่งจำหน่ายอยู่ในตลาดขณะนี้และมี WK2 เป็นรหัสประจำรุ่น เพิ่งเริ่มออกโชว์รูมในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2011 เมื่อปลายปี 2010 นี่เอง ส่วน จีพ กแรนด์ เชอโรคี ที่อวดโฉมอยู่ในขณะนี้ ยังไม่ใช่รถรุ่นที่ 5 แต่เป็นรถรุ่นที่ 4 ที่ผ่านการปรับปรุงแบบ "ยกหน้า" และกำลังจะออกขายในเมืองมะกัน ในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2014 ในส่วนของตัวถังมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถอนรากถอนโคน และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อขนาดของตัวถัง คือ ยังคงเป็นตัวถังยาว 4.822 ม. กว้าง 1.943 ม. และสูง 1.761 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.371 ภายในห้องโดยสารซึ่งติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 2 แถว นั่งได้รวม 5 คน ก็มีการเปลี่ยนแปลงเพียงนิดๆ หน่อยๆ ที่เห็นได้ชัดก็คือ เพิ่มขนาดของจอสัมผัสซึ่งติดตั้งบนแผงหน้าปัดอุปกรณ์เป็นขนาดโต 8.4 นิ้ว ในส่วนของเครื่องยนต์กลไก ความเปลี่ยนแปลงที่เป็นสาระสำคัญมีอยู่ 2 จุด จุดแรก คือ การเพิ่มเครื่องยนต์ให้เลือกใช้อีก 1 เครื่อง คือ เทอร์โบดีเซลฉีดตรง DOHC วี 6 สูบ 2,988 ซีซี 179 กิโลวัตต์/240 แรงม้า เพิ่มเติมจากเดิมซึ่งมีอยู่แล้ว 2 เครื่อง คือ เครื่องเบนซิน วี 6 สูบ 3,604 ซีซี 209 กิโลวัตต์/290 แรงม้า กับเครื่องเบนซิน OHV วี 8 สูบ 5,654 ซีซี 268 กิโลวัตต์/360 แรงม้า จุดที่ 2 คือ การเปลี่ยนระบบเกียร์จากเกียร์อัตโนมัติ 5 หรือ 6 จังหวะ เป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ZF ในรถทุกโมเดลไม่ว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดใด เช่นเดียวกับรถรุ่นก่อนการปรับปรุง รถรุ่นใหม่นี้มีทั้งแบบขับล้อหลังและแบบขับทุกล้อ ทั้ง 2 แบบแบ่งการตกแต่ง/อุปกรณ์เป็น 4 ระดับ กำกับด้วยรหัส LAREDO-LIMITED-OVERLAND-SUMMIT และมีตัวถังให้เลือกถึง 9 สี คือ สีแดงเข้ม DEEP CHERRY RED สีดำ BRILLIANT BLACK สีขาว BRIGHT WHITE สีเทาเข้ม GRANITE CRYSTAL METALLIC สีเขียว BLACK FOREST GREEN สีครีม CASHMERE สีเทาเข้ม MAXIMUM STEEL METALLIC สีน้ำเงินเข้ม TRUE BLUE และสีเงิน BILLET SILVER METALLIC ค่าตัว MSRP เริ่มต้นที่ 28,795 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 893,000 บาท จีพ กแรนด์ เชอโรคี นับเป็นรถขนาดใหญ่ที่สุด หรูหราฟู่ฟ่าที่สุด และขายดีที่สุดของค่ายนี้ ในช่วงเวลา 2 ทศวรรษนับแต่การออกตลาดเมื่อปี 1992 ยอดผู้ผลิตรถกิจกรรมกลางแจ้งเมืองมะกันขายรถอนุกรมนี้ในตลาดทั่วโลกไปแล้วประมาณ 5 ล้านคัน เฉพาะในปี 2012 ปีเดียว ยอดขายทั่วโลกอยู่ที่ระดับ 220,000 คัน