เทคนิค
ผมเคยเขียนเรื่องรถไฮบริด และรถไฟฟ้าในคอลัมน์นี้หลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะการทำงานของระบบนี้ โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยเชื่อถือความคิดหรือโครงการที่คาดเดากันเอาเอง ว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคต ผมสนใจโครงการที่ล้ำสมัยไม่มาก มีประโยชน์จริง พิสูจน์ได้โดยการทำให้เห็นจริง ต้องดีจริงในระดับผลิตจำหน่ายได้ และข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุด ก็คือต้องเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ผมเคยเขียนเรื่องรถไฮบริด และรถไฟฟ้าในคอลัมน์นี้หลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะการทำงานของระบบนี้ โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยเชื่อถือความคิดหรือโครงการที่คาดเดากันเอาเอง ว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคต ผมสนใจโครงการที่ล้ำสมัยไม่มาก มีประโยชน์จริง พิสูจน์ได้โดยการทำให้เห็นจริง ต้องดีจริงในระดับผลิตจำหน่ายได้ และข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุด ก็คือต้องเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
บริษัทที่มีวิสัยทัศน์ และผลงานเข้าขั้นนี้ ในความเห็นของผม ก็คือ เทสลา มอเตอร์ส (TESLA MOTORS) ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2003 โดยกลุ่มวิศวกรในซิลิคอน แวลลีย์ "ขุมทอง" ด้าน
คอมพิวเตอร์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้เวลาและสติปัญญาอันปราดเปรื่อง บวกกับความมุ่งมั่น อดทนอยู่ถึง 5 ปี กว่าจะเปิดเผยผลงานอันน่าทึ่งออกมา ในชื่อ เทสลา โรดสเตอร์ (TESTA ROADSTER) ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นรถสปอร์ทเปิดหลังคาได้ ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าล้วน โดยมอเตอร์และแบทเตอรี
เทสลา ไม่ยอมเสียเวลากับตัวรถ จึงจ้าง โลทัส ผลิตให้ ด้วยโครงรถที่ โลทัส มีอยู่แล้ว จึงได้ตัวรถที่แข็งแกร่ง เบา และที่สำคัญที่สุด คือ สวยด้วย ไม่มีใครอยากได้รถที่ประหยัดเชื้อเพลิง ช่วยลดภาวะโลกร้อน แต่อัปลักษณ์ ขับไปไหนแล้วมีแต่ความอับอายครับ นอกจากนี้สมรรถนะของรถรุ่นนี้ ยังอยู่ในระดับเดียวกับรถสปอร์ทราคาสูงพวกที่ใช้เครื่องยนต์ด้วย เรียกว่าเพียบพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ยกเว้นแม้แต่ราคา ซึ่งบางคนอาจติว่าสูงไป แต่ผมว่าก่อนจะตัดสินต้องคำนึงถึงสมรรถนะของรถด้วย
ตั้งแต่ปีที่แล้ว เทสลา มอเตอร์ส จัดอยู่ในกลุ่มบริษัทที่อนาคตรุ่งโรจน์ ในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ ฯ แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่มาก ปัจจุบันมีพนักงานประมาณ 1,000 คน ผลกำไรของบริษัท ถูกผลักไปอยู่ในอนาคตครับ ซึ่งผมว่าไม่แปลก ถ้าผู้ถือหุ้นเข้าใจ และใจเย็นพอ บริษัทนี้จึงแทบไม่มีผลกำไรมาตลอดทั้ง 8 ปี นับตั้งแต่ถูกก่อตั้ง เพราะนำกำไรที่ได้ไปลงทุนในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอนาคต ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งเพิ่งเปิดเผยเมื่อปลายเดือน
กรกฎาคม ขาดทุนถึง 1,800 ล้านบาท ไม่ใช่ความล้มเหลวนะครับ แต่เป็นเพราะต้องใช้เงินในการพัฒนารถรุ่นต่อจาก โรดสเตอร์ นี้ แม้ เทสลา จะขายรุ่น โรดสเตอร์ ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็จะไม่ต่อสัญญากับ โลทัส ที่จะสิ้นสุดลงประมาณปลายปีนี้ ด้วยจำนวนตัวถัง ซึ่งดัดแปลงมาจากรุ่น เอลิส รวมทั้งสิ้น 2,500 คัน
ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับนี้คือประมาณปลายเดือนสิงหาคม เทสลา ส่งมอบรถให้ลูกค้าไปราวๆ 2,000 คันแล้ว ยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 35 % เทสลา มอเตอร์ส มีนโนบายให้ลูกค้าเลือก
รูปแบบอุปกรณ์ของรถได้หลากหลายตามรสนิยมส่วนตัว ราคารถจึงสูงกว่าราคาตั้งอยู่พอสมควร และลูกค้าก็ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อรถที่ "ไม่เหมือนใคร"
เทสลา มอตอร์ส มีสาขาจำหน่ายอยู่เพียง 18 แห่งเท่านั้น ถึงจะน้อย แต่รูปแบบก็ถูกใจลูกค้า เพราะถูกออกแบบโดย จอร์จ ไบอันเคอร์ชิพ (GEORGE BIANKERSHIP) ผู้เคยออกแบบ แอพเพิล (APPLE STORE) จนโด่งดังไปทั่วโลกมาแล้ว เทสลา โรดสเตอร์ โลดแล่นอยู่บนถนนใน 31 ประเทศ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ
อนาคตของ เทสลา มอเตอร์ส จะสดใสหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการพัฒนารถรุ่นต่อจาก โรดสเตอร์ ครับ จากการสังเกตเป็นส่วนตัว ผมยังไม่เคยเห็นความผิดพลาดของกลุ่มผู้สร้างรถไฟฟ้ารายนี้เลย ทุกอย่างที่ตัดสินใจเลือก ดูเหมือนว่าจะถูกกลั่นกรองมาเป็นอย่างดี ทันสมัย แต่ไม่เพ้อเจ้อแบบฝันกลางวัน และถูกพิสูจน์แล้ว ด้วยความสำเร็จทางเทคนิค และการตลาดของรุ่น โรดสเตอร์
รถรุ่นที่ 2 ต่อจากนี้ ถูกเลือกมาอย่างเหมาะเจาะ เพื่อประกันความสำเร็จทางการตลาดอย่างแท้จริงครับ เป็นรถเก๋งหรูขนาดกลาง-ใหญ่ ถ้าเทียบให้พอเห็นภาพพจน์แบบไม่เป็นทางการ ก็คือระดับเดียวกับ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์ หรือ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 5 เทสลา ตั้งชื่อให้จำง่าย เรียกก็ง่ายว่ารุ่น เอส (MODEL S) ไม่ใช่รถไฟฟ้า "กระป๋อง" สร้างแบบลวงโลก เพื่อ "เอาหน้า" หรือ โฆษณาชวนเชื่อ แต่ เทสลา เอส คือ "ของจริง" ระดับที่ดึงเงินในกระเป๋าเศรษฐีความรู้สูงได้ด้วย
ไม่มีจุดใดที่ถูกละเลย ไม่ให้ความสำคัญในรถรุ่นนี้ครับ เริ่มตั้งแต่ความสวยงาม คงไม่มีใครไม่เชื่อ หากเอารูปรถต้นแบบขั้นสุดท้ายให้ดู แล้วบอกว่าเป็นรถต้นแบบของ แอสตัน มาร์ทิน หรือ แจกวาร์ และไม่ใช่เพียงภายนอกเท่านั้น ภายในห้องโดยสารยังให้บรรยากาศของรถหรู ระดับสูงของโลกด้วย พวงมาลัย แผงหน้าปัด คอนโซล เก้าอี้ ล้วนถูกออกแบบด้วยรสสนิยมสูง ใช้วัสดุอย่างดี และที่พิเศษสุด ในแบบที่รถใช้เครื่องยนต์ไม่สามารถมีได้ ก็คือ เทสลา รุ่น เอส นี้ เป็นเก๋ง 4 ประตู ทรงสปอร์ท ทันสมัย ที่มีที่นั่งในห้องโดยสารถึง 7 ที่ครับ แถวหน้า 2 ที่นั่ง แถวกลาง 3 ที่นั่ง เช่นเดียวกับด้านหลังของรถเก๋งธรรมดา ส่วนแถวหลังที่เพิ่มเป็นพิเศษเป็น 2 ที่นั่งสำหรับเด็ก โดยหันหน้าไปด้านหลัง เพราะต้องหลบหลังคาที่ลาดลง และเด็กมักไม่เกี่ยงที่จะนั่งหันหลังให้หน้ารถอยู่แล้ว
สาเหตุที่ เทสลา บรรจุที่นั่งแถวที่ 3 เข้าไปได้ เพราะไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดกับเนื้อที่สำหรับสัมภาระครับ เมื่อไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ ใต้ฝากระโปรงหน้าจึงเป็นที่ใส่สัมภาระได้อย่างเหลือเฟือ และถ้ายังไม่พอ และไม่มีผู้โดยสารแถวหลังสุด ด้านท้ายก็จะกลายเป็นที่ใส่สัมภาระได้ไม่แพ้รถใช้เครื่องยนต์อีกด้วย
เทสลา ใช้อลูมิเนียมเนื้อแกร่ง เป็นวัสดุสำหรับตัวถังรุ่น เอส เพราะจำนวนผลิตต่อปีที่ถูกวางแผนไว้สูงถึง 20,000 คัน ตัวถังอลูมิเนียมจึงเหมาะที่สุด สำหรับจำนวนระดับนี้ ทุกจุดถูกออกแบบโดยเน้นความแข็งแกร่ง และน้ำนักเบาไปพร้อมกัน น้ำหนักรถเปล่าพร้อมใช้งานของรุ่นนี้ อยู่ที่ 1,735 กก. ระดับเดียวกับคู่แข่งพวกที่ใช้เครื่องยนต์ แบทเตอรีถูกจัดเรียงเป็นแผ่นแบน อยู่ที่ท้องรถ ช่วยลดตำแหน่งของจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำกว่าบรรดาคู่แข่งครับ
ผมได้ชมวีดีโอทดสอบการทรงตัวของรถรุ่นนี้แล้ว เห็นได้ชัดเลยว่า การวางแบทเตอรีไว้ต่ำระดับท้องรถ ช่วยให้รถมีการเกาะถนนทรงตัวดีเยี่ยม ตัวถังเอียงน้อยมากในโค้ง ทั้งๆ ที่ระบบรองรับไม่ได้ถูกปรับให้แข็งแต่อย่างใด
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบปีกนกสองชั้น ด้านหลังแบบมัลทิลิงค์ ชิ้นส่วนเกือบทั้งหมดทำจากอลูมิเนียมเพื่อจำกัดน้ำหนัก ระยะใช้งานสำหรับแบทเตอรีรุ่นมาตรฐาน อยู่ที่ 260 กม. โดยร่วมแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขนาดเล็ก จำนวน 5,000 ก้อน เข้าด้วยกัน จุพลังงาน 42 กิโลวัตต์ชั่วโมง สำหรับลูกค้าที่ต้องการ ระยะใช้งานมากกว่านี้ เทสลา เพิ่มจำนวนแบทเตอรีให้เป็น 8,000 ก้อน ได้พลังงาน 65 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพิ่มรัศมีทำการเป็น 370 กม. ไป/กลับกรุงเทพ ฯพัทยา ได้อย่างสบาย แล้วยังเหลือ ไฟ ออกนอกเส้นทางได้อีกกว่า 50 กม. ครับ ถ้ายังไม่พอ เทสลา ไม่เหลือที่สำหรับเพิ่มจำนวนแบทเตอรีแล้ว แต่จะให้แบทเตอรีรุ่นจุพลังงานได้สูงพิเศษ มีพลังงานถึง 85 กิโลวัตต์ชั่วโมง รัศมีทำการ 480 กม. โดยมีราชาแห่งแบทเตอรีจากญี่ปุ่น คือ พานาโซนิคเป็นผู้ให้ความร่วมมือ
สมรรถนะของ เทสลา เอส อยู่ในระดับสูงสุดของรถระดับเดียวกัน อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.6 วินาที เท่านั้น สัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศมีค่าเพียง 0.28 ซึ่งเป็นค่าที่ดีมาก และมีส่วนสำคัญต่อรัศมีทำการของรถนี้ ความเร็วสูงสุด ไม่มีการเปิดเผย ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างมากเพราะไม่ใช่เหตุผลสำคัญ และไม่ใช่เป้าหมายของลูกค้ากลุ่มนี้อย่างแน่นอนราคาที่ เทสลา ตั้งไว้สำหรับรุ่นมาตรฐาน คือ 57,400 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ หรือประมาณ 1.7 ล้านบาท ก็อยู่ในระดับสมเหตุสมผลครับแต่ถ้าต้องการรุ่นรัศมีทำการสูงสุด ราคาก็พุ่งไปถึง 2.2 ล้านบาท ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติสำหรับรถคุณภาพ และสมรรถนะระดับนี้
สำหรับลูกค้าที่ต้องใช้รถทางไกลบางโอกาส เทสลา มอเตอร์ส ก็มีแบทเตอรีรุ่นจุพิเศษนี้ให้เช่าเป็นครั้งด้วย
ขณะเขียนต้นฉบับนี้ ยอดจอง เทสลา เอส พุ่งสูงถึง 5,000 คันแล้ว เต็มจำนวนที่จะผลิตได้ในปีหน้านี้ ตัวจริงจะดีแค่ไหนเมื่ออยู่ในมือลูกค้า คงต้องรออ่านผลทดสอบโดยนิตยสารรถที่เชื่อถือได้ในต่างประเทศครับ เท่าที่เห็นผลงานจากรุ่น โรดสเตอร์ แล้ว ผมเชื่อว่าลูกค้าของ เทสลา ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี jessada@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/29965