คอลัมน์ประจำ
"บันทึกสุดท้ายที่หัวใจจะจดจำ"
THE VILLAGE ALBUM
"บันทึกสุดท้ายที่หัวใจจะจดจำ"
ภาพยนตร์ของชาวญี่ปุ่น ซึ่งแอบมาโผล่บนบางจอใหญ่ในบ้านเรา แล้วเงียบหายเข้าไปในกลีบเมฆ จนบางคนที่เคยผ่านตาบางคอลัมน์ซึ่งเอ่ยอ้างอย่างนิยมชมชอบ ไม่รู้สึกว่าตนได้พลาดบางอย่างที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะไม่พลาด...แต่หลายคนก็พลาดหนังดีๆ ให้หล่นหายไปในห้วงกระแสไหลบ่าของหนังจากทุกทิศทาง
THE VILLAGE ALBUM คือ หนังที่ออกฉายเมื่อปี 2005 เนื้อหาว่าด้วยความไม่เข้าใจกันของพ่อ-ลูก คนพ่อเป็นช่างภาพโบราณ ใช้กล้องแบบที่เวลาถ่ายต้องคลุมโปง ส่วนคนลูกไม่ได้รู้ตัวว่าตนเองซึมซับเอาความสามารถนี้ไปจากพ่อ ละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดไปเป็น "อะไรก็ไม่รู้" (NOBODY) ในเมืองใหญ่ มีความใฝ่ฝันจะโด่งดังทางด้านถ่ายภาพ แต่เข้าใกล้สิ่งที่ฝันได้เพียงห่างเหินเท่านั้น
ความลักลั่นย้อนแยงของชีวิตคนญี่ปุ่นจากรุ่นสู่รุ่น จึงปรากฏซ้อนในความสัมพันธ์ บนฉากหลังซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ บนเขา และเป็นหมู่บ้านที่อาจไม่เหลืออะไรแล้ว เมื่อการพัฒนามาถึง คนกลุ่มหนึ่งจะเอาเขื่อน คนอีกกลุ่มไม่เอาเขื่อน สุดท้ายความเปลี่ยนแปลงก็เดินทางมาถึง และภาพรวมแห่งความทรงจำของหมู่บ้าน ก็อาจต้องจมลงใต้บาดาลทั้งหมด หากไม่มีใครมาบันทึกวันเวลาดีๆ เหล่านั้นไว้
ตลอดเวลากว่า 2 ชั่วโมงในเรื่อง "ทาคาชิ" คนลูก จึงต้องดำเนินรอยตามภารกิจนี้ เขาถูกตามตัวกลับมาบ้านเกิดเพื่อรับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยช่างภาพ โดยมีพ่อของเขาเป็นช่างภาพ แล้วครั้งแรกที่พ่อลูกคู่นี้เจอหน้ากัน คนดูก็จะรู้ได้เลยว่า งานนี้ไม่หมูเสียแล้ว เพราะทาคาชิต้องฝืนทนเดินตามหลังบิดาของเขาไปอย่างช้าๆ ซึ่งเขาคิดว่ามันช่างเป็นงานที่ช้าและไร้ประสิทธิภาพอะไรเช่นนี้
"แล้วอะไรล่ะที่ว่าประสิทธิภาพของแก" คนพ่อก็ถามกลับไปในระหว่างพักเดิน จากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ใกล้กันเลยแม้แต่นิดเดียว
อีกประเด็นที่ไม่ควรละเลยก็คือ การที่หนังยกเอาอภิปรัชญามาไว้ โดยการนำเสนอของผู้เขียนบทผ่านตัวละครบางตัว ด้วยคำถามที่ว่า เราควรเดินทางไปสู่หนใด ?
ในวันเวลาแห่งการหมุนรอบดวงอาทิตย์เพียงไม่กี่ครั้ง ครั้งหนึ่งรุ่นใหม่ก็ย้ายถิ่นฐานเข้า ส่วนอีกครั้งเก่ารุ่นก่อนก็ย้ายถิ่นฐานออก บางคนเดินทางเข้าป่า บางคนกลับมาที่เมือง แต่บางคนก็ไม่ไปไหน เป็นทัศนคติที่หนังฝากไว้ในบทพูดที่แสนสามัญ การเดินทางเพื่อเก็บภาพความทรงจำในครั้งนี้ จึงเป็นการตามหาภาพครอบครัวอันสมบูรณ์ ซึ่งเป็นครอบครัวที่ควรหลอมรวมเข้าด้วยกัน องค์ความรู้เก่าต้องผ่องถ่ายและน้อมรับเอาองค์ความรู้ใหม่ ในความเปลี่ยนแปลงย่อมไม่มีอะไรหยัดยืน
หนังฟังดูจะลึกซึ้งปานนั้น แต่ก็หาได้ไม่สนุกประการใด ซ้ำดีเสียอีก เพราะจับภาพจริงมาใส่ไว้ได้ครบถ้วน ลูกชายชังพ่อ เรื่องเดิมๆ ที่เคยได้ยินกันบ่อยๆ แต่ตลกดี ที่คนยังเป็นกันไม่ขาด แม้คนลูกอาจไม่รู้ตัวเลยว่าตนเหมือนพ่อที่น่าชังขนาดไหน
สุดท้ายหนังก็ฝากไว้ให้ได้คิดอีกทีว่า ภาพบางภาพจะสมบูรณ์ได้นั้นก็อาจต้องใช้เวลายาวนานกว่าที่คิดมากนัก เพราะต้องรอองค์ประกอบที่ขาดหายไป เดินทางมาถึงนั่นเอง...
THE GHOST WRITER
"อิสรภาพในดินแดนหลังความตาย"
อดัม แลง คือ ชื่อของอดีตประธานาธิบดีอังกฤษ ผู้ซึ่งกำลังตกเป็นจำเลยสังคม และศาลโลก ในข้อหาล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน เขาส่งตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ข้ามดินแดนไปเจอการสอบสวนจนเสียชีวิตในสหรัฐอเมริกา และเมื่อเขาพ้นจากตำแหน่ง ที่ที่เขาจำเป็นต้องอยู่ก็คือ เมืองแห่งเสรีภาพที่ห่างไกลจากบ้านเกิด
และในขณะที่วุ่นวายกับการแก้ปัญหาอยู่นั่นเอง ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับตอนที่เขากำลังจะทำหนังสือชีวประวัติของตนเองขึ้นมา 1 เล่ม ตามสไตล์ของผู้มีชื่อเสียงทั้งหลาย ด้วยทุนสร้างเป็น 10 ล้าน
ผีตัวสุดท้ายของเขา ถามสำนักพิมพ์ไปว่า คิดยังไงถึงทำหนังสือเล่มนี้ คิดว่ากำไรจะได้สักเท่าไร ใครจะสนชีวประวัติของนักการเมือง
"ผี" ในที่นี้ย่อมหมายถึง "นักเขียนผี" หรือที่บ้านเราเรียกเขาว่า "นักเขียนเงา" หน้าที่ของนักเขียนเงา ก็คือ การแปลคำตอบให้กลายเป็นตัวอักษร จากนั้นก็เรียบเรียงให้เหมือนกับว่า มันพรั่งพรูมาจากตัวเจ้าของหนังสือเอง
อื่นๆ นอกจากนี้นักเขียนผีไม่เกี่ยว ถ้า "ผี" ไปงานเปิดตัวหนังสือ ก็เปรียบได้กับชู้ไปงานแต่ง
และผีตัวที่เข้ามารับช่วงต่อจากผีตัวแรก ก็คือ นักเขียนนิรนาม ซึ่งหนังไม่มีเจตนาให้เรารู้จักชื่อของเขา เมื่อเป็นผีก็ย่อมเป็นผี มีหน้าที่เขียนก็เขียนไปให้เสร็จๆ แม้ต้องกล้ำกลืนเขียนในพื้นที่แห้งแล้งดูไร้ชีวิต กระทั่งคนบนเกาะก็ยังดูไร้ชีวา งานการที่ทำก็ดูจะไร้ความหมาย-กวาดใบไม้ในสายลม
หนังน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะด้วยลีลาภาษาของนักเขียนผี หรือการให้เสียงเพื่อเพิ่มเสน่ห์ของภาพ เพราะความที่เป็นหนังแนวสืบสวน หนังจึงฉลาดที่จะไม่ทิ้งปมไว้ให้เลือกทางเดาได้ง่ายๆ
ทุกๆ อย่าง ค่อยๆ คลายปมออกช้าๆ น่าติดตาม...แต่ทว่าบางคนอาจดูแล้วไม่สนุก
แน่นอน ย่อมไม่ใช่เพราะ อีวาน แมคกเรเกอร์ เล่นไม่ได้เรื่อง หรือเพราะบทของ เพียร์ศ บรอสแนน ที่ดูดาษดื่น แม้จะเป็นถึงประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจที่กำลังขึ้นศาลโลก แต่มันเป็น "อะไรบางอย่าง" ที่ผู้กำกับที่ชื่อ โรมัน โปลันสกี ตั้งใจให้หนังดูแล้วเกิดความรู้สึกเช่นนี้
เหมือนโรมันตั้งใจจะสื่อสารกับชาวโลก ผ่านสภาวะการตกเป็นจำเลยจริงๆ ของเขา ให้เข้าใจถึงความสามัญของมนุษย์ ทุกคนล้วนมีเงื่อนงำน่าสงสัย และทุกคนย่อมเคยกระทำสิ่งผิดพลาดต่างๆ นานา หากความจริงยังไม่กระจ่าง ทุกชีวิตล้วนตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้ตลอดเวลา
หนังจึงไม่สนุกในนิยามดาษดื่น ซึ่งมีชุดความคิดสำเร็จรูปว่า เรื่องราวที่สนุกย่อมเป็นเรื่องราวชีวิตของคนที่ดูบิดพลิ้วผิดปกติ ที่ฉลาดก็ฉลาดเหมือนไม่ใช่คน ที่ดูเท่ก็ถึงขั้นพูดจาไม่รู้เรื่อง และถ้าเราไม่ได้หลงใหลอะไรแบบนั้น นี่ก็เป็นหนังอีกเรื่องที่ดี และอย่างที่บอกไปแล้วว่าน่าติดตาม
ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ การเลือกให้ความสำคัญกับวัตถุโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นของใช้ ของแต่งบ้าน ที่มีสไตล์ เลยเถิดไปถึงยานพาหนะหรูหรา ซึ่งล้วนตั้งอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมเลวร้าย ย่อมบอกอะไรบางอย่างภายในใจของผู้กำกับ โรมัน โปลันสกี ที่ขณะนี้กำลังถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้าน แทนการติดคุกในประเทศที่ห่างไกลจากสิ่งที่เรียกว่า บ้าน...
ศิลปิน : ARCADE FIRE
อัลบัม : THE SUBURBS
แนวดนตรี : INDY ROCK
"7 ประหลาดในดินแดนมหัศจรรย์"
ในปี 2003 WIN BUTLER มีภรรยาอยู่หนึ่งคนชื่อว่า REGINE CHASSAGNE เขาและเธอร่วมกันก่อตั้งวงดนตรีพร้อมกับน้องชายที่ชื่อว่า WILLIAM BUTLER เขาทั้ง 3 คนในครอบครัวเดียวกันรู้สึกว่า วงดนตรีที่ทั้งหยิ่งและดื้อของเขาคงยังไม่พร้อมด้วยศักยภาพที่จะมีบุคลิกแบบนั้นได้ พวกเขาจึงออกค้นหาสมาชิกอื่นๆ อีก
ในไม่ช้าวงดนตรีวงนี้ก็มีสมาชิกรวมทั้งหมด 7 คนด้วยกัน ซึ่งเป็น 7 มหัศจรรย์ที่ทั้งร้องและเล่นเครื่องดนตรีได้สารพัดสารพัน พวกเขามีทั้งเครื่องเป่า เครื่องสาย เครื่องดีด เครื่องเคาะ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีพื้นฐานอย่าง กลอง กีตาร์ เบสส์ หรือเครื่องดนตรีประหลาดๆ อย่าง พิณ แตรฝรั่งเศส เเอคคอร์เดียน ไพพ์ออร์แกน ที่ใช้ในโบสถ์คริสต์ รวมไปถึง ระนาด !
นี่ยังไม่นับอะไรอื่นๆ อีกมาก อย่าง เพียโน ไวโอลิน เชลโล และดับเบิลเบสส์ ซึ่งพวกเขาสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเล่นแบบไม่มีใครเจาะจงยึดติด
งานเพลงที่ออกมาจึงเป็นเสียงที่เคล้าคลอกันในบรรยากาศแบบ PSYCHEDELIC ROCK ผสมผสานกับ JAZZ
7 ชีวิตของวงดนตรีชื่อแปลกๆ จากเมืองเล็กๆ ในแคนาดาจึงเริ่มมีชื่อเสียงเปรี้ยงปร้าง เมื่อพวกเขาเข็นผลงานชุดแรกออกมาสู้สายตาประชาคมโลก
FUNERAL คือ ชื่องานเพลงชุดนั้นที่ขายได้ในยอดเกินความน่าพอใจสำหรับวงดนตรีหน้าใหม่ แม้ว่าพวกเขาจะหวงเนื้อหวงตัวไม่ยอมมีค่ายมีสังกัด ไม่ให้ใครเข้ามาจัดการอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเรื่องการตลาด การประชาสัมพันธ์ หรือกระทั่งเรื่องจุกจิกเล็กน้อย พวกเขาก็ขอลงมือทำด้วยตัวเองทั้งหมด
หลายคนในธุรกิจดนตรีจึงเอือมระอาและปรามาสว่า เดี๋ยวก็คงอีกไม่นานที่พวกเขาจะรับมือกับมันไม่ไหว
เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า ยิ่งพวกเขาโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ อัลบัมที่ 2 ที่ปล่อยออกมาก็ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดกระแสในกลุ่มนักฟังเพลงดีๆ ในบ้านเรา ขนาดที่ว่าเจ๊วาส-วาสนา วีระชาติพลี ดีเจรุ่นใหญ่ๆ ในคลื่น THE RADIO (ปิดตัวไปอย่างน่าเสียดายเมื่อราวๆ 2-3 ปีที่ผ่านมา) ก็ยังออกปากเชียร์แทบทุกชั่วโมง
มาถึงอัลบัมชุดนี้ THE SUBURBS พวกเขากลับมาพร้อมกับเสียงที่คึกคักแจ่มใสขึ้นมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีคนนิยามไว้ว่า การยัดแผ่นของวงนี้เข้าเครื่อง ก็เหมือนการผลักดันตนเองให้เข้าสู่สภาวะเปลี่ยวเหงา บางคนบอกไปถึงขั้นว่า มันช่างสะท้อนถึงความทุกข์ระทมได้บาดหัวใจเหลือเกิน
THE SUBURBS เพลงแรก และเพลงชื่อเดียวกันกับอัลบัม จึงเป็นบทเพลงเปิดตัวที่บอกเรื่องราวต่อมาในเพลงอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี ตามด้วยเพลงที่ 2 แบบไม่ขาดเสียงให้หายใจ พวกเขาก็ใส่ความสนุกลงไปในเสียงของเพลง READY TO START
ที่เหลืออีก 10 กว่าเพลง ทิศทางของท่วงทำนองก็ยังคงมุ่งไปในทางเดียวกัน เร็วแต่ไม่เร้า ไม่เศร้าแต่ก็ไม่ถึงขั้นกระโดดโลดเต้นได้ บอกยากเหลือเกินว่าเพลงของเขาคล้ายกับเพลงของใคร ที่พอจะให้เราเดาทางได้ แต่ที่บอกได้เลยก็คือ นี่คืองานที่ประณีตกับทุกๆ เสียง และไม่ละเลยแม้แค่ในรายละเอียดเล็กๆ ที่จะทำให้เราตำหนิได้ว่า "ไม่เอาไหนเลย"
ศิลปิน : NIKKI YANOFSKY
อัลบัม : NIKKI
แนวดนตรี : JAZZ POP
"JAZZ ทรงเครื่องจากเด็กวัยทีน"
อีกหนึ่งอัลบัมดีๆ ของศิลปินชาวแคนาดา ซึ่งเป็นอัลบัมที่ 2 ของนักร้องสาวเสียงใส แต่เป็นเสียงที่ใสแบบแก้วหนา หาใช่แก้วบางเบาแค่เขย่าก็กลัวแตก แม้ว่าปีนี้เธอจะเพิ่งอายุ 16 เท่านั้น แต่ด้วยฝีไม้ลายมือการร้องแบบล้ำเหลือ คือ มากด้วยลูกเล่น ไม่ใช่มุ่งเน้นที่การโชว์พลังแบบ 8 หลอด 12 หลอด
อัลบัมชุดนี้จึงมีนักวิจารณ์หลายคน ออกตัวช่วยพโรโมทว่า เธอคือคลื่นลูกใหม่ของวงการ JAZZ
ตัวจริง ! เมื่อนึกถึงนักร้องสาวรุ่นราวคราวก่อนที่ขยับจากเธอขึ้นไปหน่อย ในวงการ JAZZ ก็เห็นจะมีแต่ NORAH JONES ที่ก้าวเข้าครองหัวใจคนฟังอย่างล้นหลาม ไม่ว่าจะด้วยการร้อง หรือฝีมือในการบรรเลงเพลง และการแต่งเพลงด้วยตนเอง
แต่หลังจากที่ออกอัลบัมโกยเงินโกยกล่องไป 4 ชุด (อัลบัมล่าสุดปี 2009) NORAH JONES ก็เหมือนจะห่างหายไปจากใจคนฟัง JAZZ โดยเฉพาะ JAZZ บนหนทาง POP จนปีนี้นี่เองที่ NIKKI YANOFSKY ทำอัลบัมของเธอในชุดที่ 2 ออกมาวางบนแผงได้สำเร็จ ทั้งแผงจริงและแผงบนโลกออนไลน์ จนทำให้วงการ JAZZ เริ่มคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะ NIKKI YANOFSKY เดินมาบนหนทางเดียวกันกับ NORAH JONES หากแต่ว่าเธอมาแบบฟูลล์ออพชัน คือเป็น JAZZ POP ที่ฟังแล้วมีของมากมายก่ายกองเต็มไปหมด ทั้งเพลงแรกและเพลงสุดท้าย เธอเหมือนราชินีที่พร้อมสรรพด้วยเครื่องทรงเปล่งประกายแวววาวอยู่บนบัลลังก์ ทั้งยังพราวสะพรั่งด้วยบรรดาหางเครื่องในชุดเปิดขาเว้าสูง ท่ามกลางแสงไฟวูบวาบและฉากหลังสีแดงสด บนเวทีที่เธออยู่จึงเหมือนโชว์ JAZZ ครั้งยิ่งใหญ่ต่อหน้าพระพักตร์ของเดอะคิง ขนาบด้วยขบวนมโหรสพหลาย 10 ชีวิต
นี่คือความรู้สึกที่มีต่อบทเพลงหลายเพลงของเธอเมื่อได้ฟัง ยิ่งเมื่อได้ทราบว่าก่อนหน้าที่จะถึงอัลบัมนี้ เธอได้คัฟเวอร์เอาเพลงเก่าๆ มาทำใหม่มากมาย ยิ่งทำให้รู้ว่าความสนใจในดนตรีของเธอมีรากเหง้ามาจาก STEVIE WONDER, ARETHA FRANKLIN, ELLA FITZGERALD, THE BEATLES และ SIMON AND GARFUNKLE แต่ละชื่อเสียงเรียงนามล้วนยิ่งใหญ่คับเวที !
และสำหรับอัลบัมชุดนี้ เธอก็ยังคงนำบทเพลงเก่าๆ มาทำใหม่อีกครั้ง อย่างเพลง TAKE THE A TRAIN, I GOT RHYTHM, GOD BLESS THE CHILD และ YOU'LL HAVE TO SWING IT (MR. PAGANINI), ON THE SUNNY SIDE OF THE STREET ซึ่งคอเพลงเก่าคุ้นเคยกันดี รวมไปถึงเพลงจากวง ROCK รุ่นเก๋าอย่าง LED ZEPPELIN ในเพลง FOOL IN THE RAIN ด้วย
ทิ้งท้ายอีกเพลงที่น่าฟังสุดๆ ก็คือ เพลงเปิดฟ้าเบิ่งตามองโลกอันสวยงามอย่าง OVER THE RAINBOW แค่นี้ก็ทำให้อัลบัมของเด็กคนนี้น่าฟังสุดๆ แล้ว
แต่เท่านี้คงยังไม่พอสำหรับพื้นที่คอลัมน์แนะนำเพลงที่ต้องพิเศษกว่าธรรมดา เพราะนอกจากสิ่งที่กล่าวไปหมดแล้ว น้องเขายังเสริมแต่งเพิ่มเติมด้วยบทเพลงใหม่ๆ ที่เขียนขึ้นมาเพื่ออัลบัมชุดนี้โดยเฉพาะ นี่ยังไม่ได้เอ่ยถึงประสบการณ์การขึ้นเวทีร่วมกับวงรุ่นใหญ่ และรางวัลอื่นๆ อีกมากมายจากหลากหลายสถาบันระดับโลก ที่เป็นเครื่องการันตีว่า ถ้าควักกระเป๋าอุดหนุนน้องคนนี้แล้ว จะได้อะไรที่กลับมาคุ้มค่าหรือเปล่า ?..อยากให้ไปตามฟังกันเอาเองจะดีกว่า
เรื่องโดย : ผู้จัดจำหน่าย
นิตยสาร Carstereo ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2553
คอลัมน์ Online : คอลัมน์ประจำ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/29102