คนไทยส่วนใหญ่คงจะรู้สึก “โล่งอก” ถ้ารัฐบาล “มาร์ค 1” สามารถผ่าน “3 วัน อันตราย” ในช่วงการแถลงนโยบายไปได้ ซึ่งเท่ากับประเทศของเราจะรอดพ้นจากวิกฤตอีกครั้ง และแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลนี้มี “ภูมิคุ้มกัน” เข้มแข็งพอสมควร และน่าจะนำพาบ้านเมืองก้าวเดินไปข้างหน้า หลังจากหยุดนิ่งกับถอยหลังมาตลอดทั้งปี

คนไทยส่วนใหญ่คงจะรู้สึก “โล่งอก” ถ้ารัฐบาล “มาร์ค 1” สามารถผ่าน “3 วัน อันตราย” ในช่วงการแถลงนโยบายไปได้ ซึ่งเท่ากับประเทศของเราจะรอดพ้นจากวิกฤตอีกครั้ง และแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลนี้มี “ภูมิคุ้มกัน” เข้มแข็งพอสมควร และน่าจะนำพาบ้านเมืองก้าวเดินไปข้างหน้า หลังจากหยุดนิ่งกับถอยหลังมาตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตาม วิกฤต “3 วัน อันตราย” เป็นเพียงบททดสอบแรกเท่านั้น “ของจริง” ที่รัฐบาลต้องเจอในปีนี้ คือ วิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งหนักหน่วงกว่าวิกฤตเสื้อแดงหลายเท่า ผ่าน 3 วัน อันตรายมาได้ ยังมี 365 วัน โคตรอันตรายรออยู่ แน่นอนครับว่า เศรษฐกิจตกสะเก็ดงวดนี้ อุตสาหกรรมรถยนต์ของเรา หนีไม่พ้นที่จะต้องโดนหางเลขไปด้วย เท่าที่ทราบผู้ประกอบการทุกรายต่าง “คอนเฟิร์ม” ตรงกันว่า ยอดขายรถในบ้านเรา ปีนี้จะหดหายไป 15–20 เปอร์เซนต์ ขณะที่ยอดส่งออกจะทรุดลงกว่า 25 เปอร์เซนต์ ถ้าตัวเลขคาดการณ์ใกล้เคียงความจริง ก็ถือเป็นภาระหนักของบริษัทรถยนต์ที่จะ “ขับเคลื่อน” ธุรกิจให้ผ่านพ้นอันตรายโดยเจ็บตัวน้อยที่สุด วิธีเอาตัวรอดมีอยู่ไม่มากหรอกครับ เรื่องลดกำลังการผลิต ลดเวลาทำงาน รวมไปถึงการเลิกจ้างชั่วคราว และถาวร เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้ง “บิกธรี” ในสหรัฐ ฯ และซูเพอร์บิกในญี่ปุ่น ต่างก็ทำกันทั้งนั้น ลามมาถึงในบ้านเราด้วย จนเกิดการรวมตัวประท้วงของบรรดาคนงานอยู่บ่อยครั้ง จริงๆ แล้ว การชุมนุมหยุดงาน เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ที่เป็นธรรม ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย แต่การทำลาย เครื่องจักร เครื่องยนต์ ตามที่เป็นข่าวนั้น นอกจากจะเกินเลยขอบเขตกฎหมายแล้ว ยังเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเอง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นงานถนัดของคนไทย ที่ผมอยากบอกว่า เลิกเสียทีเถอะครับ ! เราจะผ่านพ้น 365 วัน อันตรายไปได้อย่างไม่บอบช้ำมากนัก หากรู้รักสามัคคี แต่ถ้าไม่หยุดทำร้ายกันเอง เพราะบางคนยังไม่เชื่อว่า “มันจบแล้วครับนาย” ก็เตรียมปิดฉากประเทศไทยกันได้เลย