ธุรกิจ
ค่อยเงยหน้าขึ้นมาเห็นรอยยิ้มกันได้เสียที จากต้องก้มหน้าก้มตามา 7 เดือน เพราะยอดการขายร่วงผล็อยมาโดยตลอด ย่างเข้าเดือน 8 เป็นเดือนแรกที่เส้นกราฟเริ่มเงยขึ้น เพราะขายได้มากกว่าปีที่แล้ว 1 % แต่ยอดรวมก็ยังคงติดลบเหมือนเดิม 10.8 %
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์
เดือนกรกฎาคม ปี '50 กับ '49
ตลาดรวม เพิ่ม 1.0 %
รถยนต์นั่ง เพิ่ม 6.1 %
กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ ลด 4.8 %
รถอเนกประสงค์ (MPV) ลด 22.5 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) เพิ่ม 25.8 %
ค่อยเงยหน้าขึ้นมาเห็นรอยยิ้มกันได้เสียที จากต้องก้มหน้าก้มตามา 7 เดือน เพราะยอดการขายร่วงผล็อยมาโดยตลอด ย่างเข้าเดือน 8 เป็นเดือนแรกที่เส้นกราฟเริ่มเงยขึ้น เพราะขายได้มากกว่าปีที่แล้ว 1 % แต่ยอดรวมก็ยังคงติดลบเหมือนเดิม 10.8 %
ก็เหมือนกับคนเพิ่งฟื้นไข้นั่นแหละ ตัวเลขขึ้นมาได้แค่นี้ก็ดีแล้ว เห็นเส้นกราฟเริ่มเงยขึ้น ยังดีกว่าร่วงลงไปเพิ่มอีก
เดี๋ยวค่อยว่ากันเรื่องนั้น มาคุยกันเรื่องพลังงานทดแทน ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ออกมาให้สัมภาษณ์ใหญ่โต จะสร้างโรงงานไบโอดีเซล บ้างละ จะเพิ่มปริมาณความเข้มของ เอธานอล ในแกสโซฮอล เป็น 20 % หรือ E20 แถมลดภาษีให้ด้วยสำหรับรถที่ใช้ได้ แต่เป็นปีหน้าโน่น จะยกเลิกขายน้ำมัน 95 แต่จะเอา 97 เข้ามาขายแทน เพื่อปรับช่องว่างของราคาน้ำมันไร้สาร กับน้ำมันเอธานอล
ก็ยังพอจะพูดได้อยู่หรอกนะครับ เพราะท่านยังอยู่ในตำแหน่ง แต่ปีหน้านี่ ถ้าอะไรไม่เลวร้ายไปกว่านี้ ประชาชนคนไทยคงได้รู้จักกับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่อีกไม่ใช่หรือครับ แล้วนโยบายก็ต้องปรับเปลี่ยน ตามความรู้ความสามารถ ความเข้าใจโลกของท่านรัฐมนตรีคนใหม่
กระผมเสนอว่า อย่าเพิ่งวิจารณ์อะไรออกมาให้ชาวบ้านนั่งงงๆ กับชีวิตไปมากกว่านี้เลยนะครับ แค่ราคาก๋วยเตี๋ยวที่ขายบนห้างติดแอร์ ขึ้นราคาเป็นชามละ 40 บาท เข้าไปแล้ว ก็ต้องก้มหน้าก้มตารับประทานไป ส่วนน้ำดื่ม ปริมาตร 600 ซีซี ขวดพลาสติคใสน่ะ ถ้าซื้อในตลาด ราคาแค่ขวดละ 6 บาทเอง แต่ถ้าซื้อบนห้างติดแอร์ มันกลายเป็นราคา 10 บาท ไปได้ยังไง กระผมเองก็ยังงงๆ อยู่เหมือนกัน ว่านี่เป็นการขูดเลือดกับปูหรือเปล่า ?
ไหนๆ ก็นำมาด้วยเรื่องพลังงานทดแทนน้ำมันเบนซินแล้ว มาดูผลการสำรวจความเห็นของประชาชน ที่ทำโดยภาครัฐบาลกันบ้าง
สำนักงานสถิติ ทำโครงการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่องการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน จากกลุ่มตัวอย่าง 5,800 คน ช่วงเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา
แนวทางที่ประชาชนเห็นด้วยมากที่สุด คือ การจำกัดความเร็วในการขับรถไม่เกิน 90 กม./ชม. คิดเป็น 92.8 % รองลงมาเป็นเรื่อง การจัดสถานที่จอดรถแทกซี เพื่อลดการวิ่งรถหาผู้โดยสาร 92.4 % ในขณะที่ การส่งเสริมการใช้รถยนต์ขนาดเล็ก โดยเพิ่มภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ขนาดใหญ่ และการเก็บค่าที่จอดรถยนต์ส่วนตัวให้แพงขึ้น มีอัตรา 73.6 และ 61.7 % ตามลำดับ
ในส่วนของประชาชนที่ใช้รถ ระบุเรื่องที่ให้ความร่วมมือมากที่สุด คือ การบำรุงรักษารถยนต์ให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ โดยการตรวจเชคลมยาง และไส้กรองอากาศ 90.2 % ตามด้วย การขับรถยนต์ด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. 83.4 % การวางแผนก่อนออกเดินทาง เพื่อลดเที่ยวการเดินทาง หรือใช้การสื่อสารแทนการเดินทาง 78.6 % การไม่ขับรถคนเดียว ต้องมีเพื่อนร่วมทางไปด้วย 65.3 % และการใช้บริการรถสาธารณะ/รถประจำทาง เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว 62.2 % ส่วนเรื่องการเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันเบนซิน หรือดีเซล มาใช้แกสธรรมชาตินั้น มีผู้ให้ความร่วมมือเพียง 29.4 %
ในส่วน การใช้พลังงานทดแทน แกสโซฮอล ระบุว่าไม่ใช้ 84.8 % ผู้ที่ใช้ มีเพียง 15.2 % โดยในกลุ่มผู้ใช้ ระบุว่ามีสถานีบริการไม่เพียงพอ 46.8 % ส่วนไบโอดีเซล ประชาชนระบุว่าไม่ใช้ 95.2 % ส่วนผู้ที่ใช้มีเพียง 4.8 % ซีเอนจี ประชาชนระบุว่าไม่ใช้ 97.2 % ส่วนผู้ที่ใช้มีเพียง 2.8 % แอลพีจี ประชาชนระบุว่าไม่ใช้ 95.7 % ส่วนผู้ที่ใช้มีเพียง 4.3 %
ส่วนที่เด็ดสุด ซ่อนเอาไว้นิดเดียวเป็นเรื่อง ความคิดเห็นเกี่ยวกับการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในการผลิตกระแสไฟฟ้า แทนโรงไฟฟ้าปัจจุบันที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง 41.3 % ระบุว่าเห็นด้วย มีเพียง 22.7 % ที่ไม่เห็นด้วย ส่วนผู้ที่ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ มี 36.0 %
เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร ก็เก็บเอาไว้พิจารณาด้วยตัวเองนะครับ เพราะคนตั้ง 60 ล้านคน มาออกเสียงแค่ 2 ล้าน 4 แสนคน เห็นด้วย ล้าน 4 ไม่เห็นด้วยล้านกว่า ยังทำให้บ้านเมืองสงบเงียบเรียบร้อยได้ นี่แค่ 5,800 เอง ฟังหูไว้หูก็แล้วกัน
แล้ว 2 ล้าน 4 มาเกี่ยวกับ 5,800 ยังไงเนี่ย
มาเรื่องตัวเลขของเราให้ชื่นใจกันดีกว่า เดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียว นักการตลาดค่ายรถยนต์ค่อยยิ้มออกมาได้บ้าง แต่บางค่ายก็ยิ้มหุบ ไม่บานเท่าที่ควร ลองจับสังเกตเองแล้วกัน ว่าค่ายไหนควรจะยิ้มเบิกบาน สำราญใจ ค่ายไหน ยิ้มแบบหุบๆ จากตัวเลขดังต่อไปนี้
เดือนเดียวทั้งตลาดขายไป 51,158 คัน เพิ่มจากช่วงเดียวกัน 1.0 % ในขณะที่ยอดรวม 7 เดือนยังติดลบอยู่ 10.8 % ขายได้เพียง 343,672 คัน
แชมพ์ผูกขาดได้แก่ โตโยตา ขายได้ 25,241 คัน เพิ่มมากกว่าตลาด 5.8 % ส่วนแบ่ง 49.3 % โดยมีอันดับสองตามมาห่างๆ อีซูซุ ขาย 10,991 คัน ขายลดลง 1.7 % ส่วนแบ่ง 21.5 % อันดับสาม ฮอนดา ขาย 5,406 คัน เพิ่มขึ้น 2.3 % ส่วนแบ่ง 10.6 % อันดับสี่ นิสสัน ขายยิ้มแย้ม 2,769 คัน เพิ่ม 43.8 % ส่วนแบ่ง 5.4 % และอันดับห้า มิตซูบิชิ ขาย 1,723 คัน ลดลง 34.6 % ส่วนแบ่ง 3.4 %
ยอดรวม โตโยตา 151,315 คัน, อีซูซุ 77,744 คัน ฮอนดา 37,286 คัน นิสสัน 22,705 คัน และ มิตซูบิชิ 16,041 คัน
แบ่งเป็นประเภทรถยนต์นั่ง โต 6.1 % ขายทั้งตลาด 14,586 คัน ขณะที่ยอดรวมยังลดอยู่ 8.8 % ได้แค่ 93,686 คัน มีแชมพ์ โตโยตา ขาย 7,835 คัน เพิ่มขึ้น 27.5 % ส่วนแบ่ง 53.7 % ที่สอง ฮอนดา ขาย 4,710 คัน ลด 10.1 % ส่วนแบ่ง 32.3 % ที่สาม นิสสัน ขาย 561 คัน ยังไม่เพิ่ม 26.4 % ส่วนแบ่ง 3.8 % ที่สี่ เชฟโรเลต์ ขาย 510 คัน เพิ่มเยอะ 47.0 % ส่วนแบ่ง 3.5 % และที่ 5 น้องใหม่ มาซดา ขาย 292 คัน เพิ่ม 23.7 % ส่วนแบ่ง 2.0 %
ผู้เสียภาษียอดเยี่ยมหนนี้มีเปลี่ยนหน้า โพร์เช ขาย 7 คัน เบนท์ลีย์ ขาย 1 คัน
ประเภทรถกระบะ 1 ตัน ขับเคลื่อน 2 ล้อ โตโยตา ขาย 13,329 คัน ลด 2.1 % ส่วนแบ่ง 47.8 % ที่สอง อีซูซุ ขาย 9,407 คัน ลด 2.4 % ส่วนแบ่ง 33.7% ที่สาม นิสสัน ขาย 1,743 คัน เพิ่มตั้ง 71.2 % ส่วนแบ่ง 6.2 %
รถอเนกประสงค์ หรือแวน ขาย 552 คัน ลด 22.5 % รวมลด 22.4 % ขายได้ 4,931 คัน
พอจับสังเกตกันได้ไหมครับ ว่าเจ้าไหนยิ้มบาน เจ้าไหนยิ้มหุบ แต่ที่แน่ๆ เจ้าตลาด รีบออกมายอมรับกับสาธารณชนเลย ว่า ที่ประมาณการเอาไว้เมื่อตอนต้นปีน่ะ ขอปรับลดยอดการขายปีนี้หน่อย ว่าคาดว่าตลาดรวมจะขายได้ 650,000 คัน เพราะปัญหาของสภาพเศรษฐกิจ และสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นเวลานี้
ส่วนเรื่องการจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์แก่ลูกค้า หรืออะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนหลังของปีนี่ รับประกันคุณภาพว่าได้เห็นกันทุกจังหวัดแน่
เป้าหมายอย่างเดียว คือ รักษาอันดับยอดการขายให้ได้ ไม่ว่าจะต้องควักกระเป๋าสักเท่าไรอันหลังนี่ผมว่าเองนะครับ
เรื่องโดย : มือบ๊วย formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/14511