เทคนิค
ฉบับแรกจาก พงษ์เทพ/กทม. ต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับน้ำมันเครื่องซินเธทิค
น้ำมันเครื่องซินเธทิค (SYNTHETIC LUBRICATE OIL)
ฉบับแรกจาก พงษ์เทพ/กทม. ต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับน้ำมันเครื่องซินเธทิค
ถาม : น้ำมันเครื่องซินเธทิค มีความน่าใช้สักแค่ไหน ถ้าใช้แล้วจะทำให้เครื่องยนต์มีสมรรถนะดีขึ้นหรือไม่ และมียี่ห้อไหนที่น่าใช้บ้าง ช่วยแนะนำด้วยครับ ?
ตอบ : น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ที่จริงแล้วมันคือน้ำมันแร่ที่ผสมผสานกับสารเคมี เพื่อให้ได้คุณสมบัติตามการใช้งาน ทั้งนี้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แต่ละชนิด จะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน แล้วแต่ว่าจะโดดเด่นในเรื่องไหน น้ำมันเครื่องสังเคราะห์บางยี่ห้อที่มีราคาแพงมากๆ จะครอบคลุมการใช้งานค่อนข้างมาก
คุณสมบัติโดยทั่วไปของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ส่วนใหญ่ มักจะหนีไม่พ้นในเรื่องของการชะล้างสิ่งสกปรกต่างๆ ในเครื่องยนต์ โดยเฉพาะคราบเขม่าจากการเผาไหม้ ซึ่งแม้จะไม่ใช่น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ น้ำมันเครื่องธรรมดาก็สามารถทำได้อยู่แล้ว ต่อมาเป็นเรื่องของจุดวาบไฟที่สูง จุดแข็งตัวที่ต่ำมากๆ ซึ่งแทบจะทุกคุณสมบัติที่น้ำมันเครื่องสังเคราะห์มีนั้น ในน้ำมันเครื่องธรรมดาทั่วไปก็มีได้เช่นกัน
แต่ที่โดดเด่นกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดาทั่วไปนั้น จะเป็นเรื่องอายุการใช้งานที่มากกว่าถึง 2 เท่า ซึ่งผู้ที่อยากใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์มือใหม่หลายคนพอถูกชักชวนให้ใช้ โดยเปรียบเทียบความคุ้มค่าเรื่องอายุการใช้งานที่มีมากกว่าถึง 2 เท่าแล้วก็ตัดสินใจทดลองใช้ทันที แต่ถ้าเทียบให้ดี จะเห็นว่าราคาของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แพงกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดา 3-4 เท่า ในขนาดปริมาตรเท่ากัน
หน้าที่หลักของน้ำมันเครื่องในเครื่องยนต์นั้น คือคอยหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา และคอยทำความสะอาดสิ่งสกปรกในเครื่องยนต์ การหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ทุกๆ 5,000 กม. ย่อมดีกว่าการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกๆ 10,000 กม. แน่นอน
สรุปว่าแทนที่จะเอาเงินจำนวนมากไปซื้อน้ำมันเครื่องสังเคราะห์มาใช้ แล้ววิ่งใช้งานไปนานๆ ขอแนะนำให้เอาเงินจำนวนนั้นมาใช้เพื่อการนำรถไปเปลี่ยนถ่ายที่ศูนย์บริการรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ ถี่หน่อยจะดีกว่า เพราะนอกจากจะช่วยให้เครื่องยนต์ของรถคุณมีอายุการใช้งานที่ยาวนานแล้ว ยังช่วยให้ภายในเครื่องยนต์มีความสะอาด เผาไหม้ได้หมดจด และยังช่วยประหยัดเชื้อเพลิงให้คุณได้มากขึ้นด้วย
รัน-อิน
ฉบับที่สองจาก ภูวนารถ/จ. กาญจนบุรี อยากรู้ถึงความสำคัญของการรัน-อินเครื่องยนต์
ถาม : เห็นในคู่มือแนะนำการใช้รถยนต์หลายยี่ห้อรวมทั้งรถขับเคลื่อนสี่ล้อด้วย แนะนำว่าในช่วงแรกของการใช้รถไม่ควรเร่งรอบเครื่องยนต์เร็วและแรงเกินไป เพราะยังอยู่ในช่วงการรัน-อิน อยากทราบว่า ทำไมเครื่องยนต์ใหม่ๆ ต้องมีการรัน-อิน และการรัน-อิน ที่ถูกต้องควรทำอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : รถยนต์ใหม่ทุกยี่ห้อ ในคู่มือการใช้งาน มักจะระบุให้ต้องใช้งานอย่างระมัดระวังในช่วงของการรัน-อินเครื่องยนต์ การรัน-อิน คือการให้ระยะเวลากับเครื่องยนต์ในการปรับสภาพชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ให้เข้าที่เข้าทาง เพราะชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์นั้น ไม่ว่าจะเป็นแหวนลูกสูบ แบริงเพลา ข้อเหวี่ยง หรือแม้แต่สลักต่างๆ ที่โรงงานประกอบใหม่นั้น ช่วงแรกการทำงานของเครื่องยนต์ทุกชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนไหวหรือเสียดสีย่อมจะมีการสึกหรอตามมาอย่างแน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าความสึกหรอที่เกิดขึ้นนั้นจะมากน้อยเพียงใด
การสึกหรอของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ใหม่ จะเป็นลักษณะของการค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้าๆ แต่จะมีการสึกหรอมาก ผู้ใช้ไม่มีการใช้งานอย่างระมัดระวังในระยะเวลาของการรัน-อิน เช่น มีการเร่งรอบเครื่องยนต์อย่างรุนแรงเมื่อรถออกตัว หรือมีการเร่งรอบความเร็วเครื่องยนต์สูงต่อเนื่องนานๆ หรือยิ่งจะเลวร้ายมาก หากต้องมีการนำรถไปลากจูงรถคันอื่น ซึ่งประการหลังนี้ จะสร้างความสึกหรอให้แก่เครื่องยนต์เป็นอย่างมาก
ช่วงระยะเวลาการรัน-อิน ที่ต้องขับอย่างระมัดระวังมากๆ ก็คือ ช่วง 1,000 กม. แรก ที่การเร่งรอบเครื่องยนต์ ควรกระทำอย่างนุ่มนวล และไม่ควรเร่งรอบเครื่องยนต์สูงมากเกินไป ความเร็วที่ใช้ในการขับที่รอบเกียร์สูงสุดไม่ควรเกิน 80 กม./ชม. การใช้เอนจินเบรคที่รุนแรงก็เป็นเหตุให้เครื่องยนต์มีการสึกหรอมากในช่วงรัน-อิน ได้อีกเช่นกัน เมื่อคุณใช้งานผ่านระยะเวลารัน-อิน ช่วงแรก 1,000 กม. แล้ว ควรรีบจัดการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทันทีที่ครบ บางคนกลัวระยะเวลาที่รัน-อิน จะทำให้เครื่องยนต์สึกหรอมาก ก็เลยไม่ค่อยได้ใช้ ส่วนใหญ่จะจอดไว้บ้านเฉยๆ แม้ว่าคุณจะขับน้อยเมื่อครบ 1 เดือนหลังจากที่ถอยรถมาก็ควรที่จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องใหม่อีกเช่นกัน
เมื่อครบ 1,000 กม. แล้ว ต่อไปเป็นระยะเวลารัน-อินช่วงที่สองคือ อีก 4,000 กม. ต่อไป รัน-อินช่วงนี้คุณสามารถเพิ่มความเร็วที่ใช้ขึ้นมาได้อีกไม่เกิน 10 % จากช่วงรัน-อินแรก แต่การขับถ้าเป็นไปได้ก็ควรต้องยึดหลักของความนุ่มนวลและค่อยเป็นค่อยไปอีกเช่นกัน พอครบรัน-อินช่วงที่สองนี้ไปที่ระยะ 5,000 กม. จัดการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องอีกที หลังจาก 5,000 กม. ไปแล้วคุณก็สามารถใช้งานได้อย่างปกติทั่วไป
ยางรั่ว
ฉบับสุดท้ายจาก สุทธิเกียรติ/จ. ภูเก็ต สงสัยว่าถ้ายางลมรั่วออกหมดจะทำอย่างไร
ถาม : ยางที่ใช้กับรถขับเคลื่อนสี่ล้อถ้าเกิดรั่วไม่มีลมยางอยู่ภายในยาง จะสามารถวิ่งใช้งานต่อไปได้อีกหรือไม่ ถ้าไม่มียางอะไหล่เปลี่ยน ?
ตอบ : ยางรถที่ใช้กับรถขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น มีทั้งยางแบบมัด เทอร์เรน ออลล์ เทอร์เรน ซึ่งคุณสมบัติของยางที่ใช้กับรถขับเคลี่อนสี่ล้อส่วนใหญ่จะเน้นไปที่หน้ายาง โดยมีการออกแบบดอกยางให้มีความแตกต่างกันไป ทั้งนี้เพื่อให้การยึดเกาะพื้นผิวทางและการตะกุยทางเป็นไปด้วยดี แต่แก้มยางของยางทั้งมัด เทอร์เรน และออลล์ เทอร์เรนนั้นส่วนใหญ่จะมีความบางมาก ทั้งนี้เพื่อให้แก้มยางมีความยืดหยุ่นมากๆ จะสังเกตได้ว่ายางที่ใช้กับรถขับเคลื่อนสี่ล้อนี้หากต้องมีการปล่อยแรงดันลมยางภายในออกจนเหลืออยู่แค่ไม่กี่ปอนด์ ยางก็ยังสามารถวิ่งใช้งานต่อไปได้ แต่ยางประเภทนี้หากแก้มยางต้องถูกแง่งหินบาด จะเป็นรอยฉีกขาดอย่างรุนแรง ต่างจากยางที่ใช้งานบนทางเรียบ ที่แม้ว่าแก้มยางจะมีรอยร้าวจนน่ากลัว ยางก็ยังสามารถวิ่งใช้งานต่อไปได้ ทั้งนี้เพราะโครงสร้างแก้มยางค่อนข้างจะมีความแข็งแรงมากเป็นพิเดษ
เป็นที่รู้กันแล้วว่ายางรถขับเคลื่อนสี่ล้อมีแก้มยางที่ค่อนข้างจะอ่อนแอ ดังนั้นหากยางรถประเภทนี้ไม่มีแรงดันลมยางอยู่ภายในยาง อันเนื่องมาจากลมภายในยางรั่วออกจนหมดแล้ว ก็เป็นอันแน่นอนว่าไม่สามารถจะวิ่งบดต่อไปได้ ถ้ารถคุณไม่มียางอะไหล่ก็เป็นอันว่าต้องวิ่งบดไปเรื่อยๆ จนยางเสียหายแบบไม่สามารถใช้งานต่อไปอีกได้ บางครั้งอาจจะเสียหายรุนแรงถึงขนาดยางดิ้นหลุดออกมาจากกระทะล้อเลยก็เป็นได้
ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ไม่ควรที่จะวิ่งบดไปทั้งๆ ที่ไม่มีลมยางอยู่ภายในยาง ควรจัดการหาเศษใบไม้ใบหญ้ามายัดใส่เข้าไปในยางแทนที่ลมยาง เพื่อให้บรรดาเศษใบไม้ใบหญ้าเหล่านี้สามารถรองรับแรงกดทับบนหน้ายางได้ เป็นการลดภาระให้กับแก้มยาง การทำเช่นนี้จะช่วยให้โครงสร้างของยางไม่เสียหายมากนัก แถมยังสามารถบังคับควบคุมรถให้พาคุณกลับถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย
เรื่องโดย : โนว์ฮาว จูเนียร์
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2548
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/13342