ทดสอบ
MAZDA BT-50 PRO DOUBLE CAB 4x4 3.2 R
หลังจาก บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว มาซดา บีที-50 พโร พิคอัพมาดใหม่ โดดเด่นด้วยการปฏิวัติการออกแบบให้แตกต่างจากพิคอัพแบบเดิมๆ โดยนำเอานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ เพื่อให้มีหน้าตาโดดเด่น อุปกรณ์มาตรฐานภายในรถเทียบเท่ารถยนต์นั่ง อีกทั้งยังพัฒนาเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง รวมทั้งระบบรองรับ ใหม่ทั้งหมด 4 WHEELS ไม่รีรอที่จะนำมาทดสอบด้วยเครื่องดาทรอน เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของ มาซดา บีที-50 พโร 3.2 อาร์ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มีกำลังและแรงบิด โดดเด่นที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดรถบ้านเรา
EXTERIOR ภายนอก
มาซดา บีที-50 พโร ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด จึงมีขนาดตัวรถที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมทุกสัดส่วน ด้วยมิติ ความยาว 5,365 มม. กว้าง 1,850 มม. สูง 1,821 มม. เทียบกับ บีที-50 ดับเบิลแคบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ รุ่นเดิมแล้ว ยาวขึ้น 196 มม. กว้างขึ้น 43 มม. สูงขึ้น 59 มม. ลองเทียบกับพิคอัพ 4 ประตู ขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งเป็นคู่แข่งในตลาดด้วยกันแล้ว บีที-50 พโร ใหม่ มีความยาวและความสูงมากที่สุดในตลาด
ภายนอกเน้นเส้นสายตัวรถรอบคันที่สวยงาม ดูพลิ้วไหว เหมือนปรัชญา “นากาเร” ที่ผสานกับความสวยงามแบบโคโดะ นอกจากนี้ ยังนำแรงบันดาลใจที่ได้มาจากเจ้าป่า "สิงโต" ที่ปราดเปรียว ดุดัน และน่าเกรงขาม มาเป็นแนวคิดในการออกแบบรถคันนี้ กระจังหน้า 5 เหลี่ยม ยังเป็นเอกลักษณ์ของ มาซดา ลายรังผึ้งสีดำ สไตล์สปอร์ท ไฟหน้ามัลทิรีเฟลคเตอร์ขนาดใหญ่ รูปทรงแบบบูเมอแรง
เส้นสายจากกันชนหน้า ลากผ่านซุ้มล้อด้านข้างขนาดใหญ่ ดูดีมีมิติและเนื้อหนังขึ้น แข็งแรง กลมกลืน ลบเหลี่ยมมุมรอบคัน เส้นสายทางด้านข้างที่ต่อเนื่องจากซุ้มล้อสู่ประตู ทำให้ดูมีความปราดเปรียว และสปอร์ทยิ่งขึ้น ไฟท้ายใหม่ จัดวางแบบแนวขวาง เฉกเช่นในรถเก๋ง และลงตัวด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางออลล์ เทอร์เรน ขนาด 265/65 R17
กระบะหลังสามารถขนสัมภาระได้มากถึง 1,214 ลิตร มิติความยาว/กว้าง/สูง อยู่ที่ 1,560/1,549/513 มม. ใหญ่กว่ารุ่นเดิมถึง 104/19/48 มม. ตามลำดับ
INTERIOR ภายใน
ภายในสลัดคราบความเป็นพิคอัพแบบเดิมๆ ออกไป เสริมมาดสปอร์ทด้วยโทนสีดำ คอนโซลหน้าคล้ายกับคอนโซลรถเก๋ง รูปทรงโอบกระชับ ออกแบบเพื่อให้ใช้งานอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ในรถยนต์ได้ง่าย เลือกสีโทนภายในเป็นสีดำ เสริมด้วยกรอบสีเงิน ให้ความหรูหรา แผงหน้าปัด และมาตรวัดความเร็วแบบไร้ขอบ ออกแบบมาตรวัดแยกส่วนอิสระ เรือนไมล์เสริมด้วยจอ MID แสดงรายละเอียดที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ขับขี่ครบถ้วน อาทิ อัตราการบริโภคน้ำมัน ความเร็วเฉลี่ย อุณหภูมิภายนอก ระยะทางคงเหลือ พวงมาลัยสปอร์ทแบบ 3 ก้าน พร้อมระบบมัลทิฟังค์ชัน สามารถควบคุมเครื่องเสียง ครูสคอนทโรล รวมทั้งเปิดรับสัญญาณจากบลูทูธโทรศัพท์
เบาะนั่งขนาดใหญ่หุ้มด้วยหนัง คู่หน้าออกแบบให้โอบกระชับลำตัว ขยายพื้นที่เบาะนั่งในส่วนต่างๆ ให้กว้างและสูงขึ้น เพิ่มส่วนนูนให้เบาะนั่งคู่หน้า เพื่อรองรับกับสรีระด้านหลังและช่วงเอว ช่วยให้การขับและการเดินทาง รู้สึกผ่อนคลายไม่เมื่อยล้า ส่วนเบาะคู่หลังยังได้รับการออกแบบให้นั่งสบายมากขึ้น รองรับสรีระทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นช่วงขาหรือลำตัว รวมถึงยังออกแบบให้พนักพิงทำมุมเอียงเล็กน้อย เพื่อให้นั่งสบายมากขึ้น
ติดตั้งเครื่องเล่นวิทยุ/ซีดี MP3 แบบบิลท์-อิน คอนโซล พร้อมช่องต่อ AUX และ USB ดูสวยงามหรูหรา และกลมกลืน ให้เสียงกระหึ่มได้ดี เสียแต่ว่าจะปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มความบันเทิงอื่นๆ อาทิเช่น ดูหนัง ยังทำได้ยาก ด้านบนติดตั้งจอแสดงฟังค์ชันอเนกประสงค์ ขนาด 3.5 นิ้ว แบบ 2 ไลน์ แสดงการเชื่อมต่อสัญญาณบลูทูธ การเชื่อมต่อ IPOD และอุปกรณ์เล่นเพลงผ่านช่อง USB และ AUX เพิ่มความปลอดภัยด้วย เซนเซอร์กะระยะถอยหลัง พร้อมจอแสดงภาพกราฟิค นอกจากนี้ยังติดตั้งช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า ขนาด 12 โวลท์ ถึง 3 ตำแหน่ง มีช่องเก็บสัมภาระ และช่องเก็บของในห้องโดยสารมากถึง 13 จุด
สำหรับผลการวัดเสียง มาซดา บีที-50 พโร ดับเบิลแคบ 4x4 3.2 อาร์ ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ใช้ยางดันลอพ กแรนด์ทเรค เอที ขนาด 265/65 R17 แม้ว่าจะใช้ยางออลล์ เทอร์เรน แต่การวัดเสียงที่ความเร็วต่างๆ 60-140 กม./ชม. ทำได้ดีทีเดียว วัดได้ 50/53/59/61/68 เดซิเบล เทียบชั้นระดับรถเอสยูวีหรูๆ ได้สบาย และยังสอดคล้องกับเรา ซึ่งมีความรู้สึกรื่นรมย์ในการขับขี่มากขึ้นจริงๆ
ENGINE เครื่องยนต์
เครื่องยนต์ดีเซล บลอคใหม่ แบบ DI-THUNDER PRO ขนาด 3.2 ลิตร 5 สูบ 20 วาล์ว พร้อมเทอร์โบแปรผันและอินเตอร์คูเลอร์ ขนาดใหญ่และแรงขึ้นกว่าเดิม ถูกติดตั้งในพิคอัพรุ่นทอพ ขับเคลื่อน 4 ล้อ
ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่ 3,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 47.9 กก.-ม. ที่ 1,750-2,500 รตน. ซึ่งตอบโจทย์โดนใจ สำหรับขาลุยที่ต้องการเครื่องยนต์ที่มีกำลัง และแรงบิดมหาศาล ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ มีรอบเครื่องยนต์ต่ำ และยังตอบสนองดี มี ACTIVE ADAPTIVE SHIFT (AAS) และระบบ SEQUENTIAL SHIFT CONTROL (SSC) ที่สามารถเลือกปรับตำแหน่งได้แบบเกียร์ธรรมดา
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบพาร์ทไทม์ ปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนด้วยสวิทช์ทรงกลมที่คอนโซลกลาง ใช้งานง่าย ดูหรูหรา และทันสมัยขึ้นกว่าเดิม สามารถปรับระบบขับเคลื่อน 2H, 4H/4L ได้ง่ายเพียงมือหมุน พร้อมระบบ ชิฟท์ ออน เธอะ ฟลาย ที่ปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจาก 2 ล้อ เป็น 4 ล้อ ได้โดยไม่ต้องหยุดรถ ที่ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ติดตั้งเฟืองท้ายแบบลิมิเทดสลิพ
ผลทดสอบจากเครื่องวัดสมรรถนะดาทรอน มาซดา บีที-50 พโร ดับเบิลแคบ 4x4 3.2 อาร์ ใหม่ เครื่องยนต์ขนาด 3.2 ลิตร 200 แรงม้า ตอบโจทย์เรื่องความแรงได้ดี อัตราเร่งตีนต้น 0-100 กม./ชม. และ 0-400 ม. ทำได้ในเกณฑ์ดี อยู่ที่ 11.6/18.1 วินาที เช่นเดียวกับอัตราเร่งตีนปลาย 0-1,000 ม. ที่ทำได้ในเกณฑ์ดี อยู่ที่ 33.4 วินาที ดีขึ้นกว่า บีที-50 เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร 156 แรงม้า ดับเบิลแคบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ทำไว้ 14.7/19.5/37.25 วินาที
เทียบความแรงกับคู่แข่งในตลาดดูแล้ว มาซดา บีที-50 พโร ใหม่ เครื่องยนต์ขนาด 3.2 ลิตร 200 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ มีอัตราเร่งที่ตามจี้ติดชนิดหายใจรดต้นคอ มิตซูบิชิ ทไรทัน พลัส 2.5 ลิตร 178 แรงม้า ขับเคลื่อน 2 ล้อยกสูง ตามติดด้วย นิสสัน นาวารา เครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร 174 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ และโตโยตา ไฮลักซ์ วีโก แชมพ์ 3.0 ลิตร 163 แรงม้า โดยมี เชฟโรเลต์ โคโลราโด 2.8 แอลทีเซด เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร 180 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ ยืนอยู่หัวแถว ทำไว้ 10.9/17.7/32.8 วินาที
หัวข้ออัตราเร่งยืดหยุ่น จังหวะเร่งแซง ขุมกำลัง 3.2 ลิตร 200 แรงม้า เทอร์โบแปรผัน ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ อัตราเร่งช่วงเร่งแซงขณะใช้งานในเมือง 60-100 กม./ชม. และช่วงเร่งแซงบนถนนใหญ่ 80-120 กม./ชม. ทำได้ 6.4/8.7 วินาที ทำได้ดี เร่งแซงทันใจ ใกล้เคียงกับคู่แข่งอย่าง มิตซูบิชิ ทไรทัน พลัส ตามด้วย นิสสัน นาวารา และโตโยตา ไฮลักซ์ วีโก แชมพ์ ขับเคลื่อน 4 ล้อ
ทำการวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ความเร็วคงที่ 60/80/100/120 กม./ชม. พอสรุปว่า มาซดา บีที-50 พโร เครื่องยนต์ขนาด 3.2 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ดับเบิลแคบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ทำได้ 17.7/14.6/11.7/9.4 กม./ลิตร ตามลำดับ ใกล้เคียงกับเกณฑ์พอใช้ มี นิสสัน นาวารา 2.5 ลิตร ดับเบิลแคบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ทำได้ประหยัดกว่าในช่วง 60-80 กม./ชม. และกินมากกว่าในช่วง 100-120 กม./ชม. โดย โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก แชมพ์ 3.0 ลิตร ดับเบิลแคบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ทำได้ประหยัดกว่าในทุกช่วงความเร็ว
SUSPENSION ระบบรองรับ
ช่วงล่างพัฒนาใหม่ ใช้เทคโนโลยี ซูเพอร์ ดีอี-เอส โดยเปลี่ยนระบบช่วงล่างแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น ทอร์ชันบาร์ มาใช้แบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น ควบคุมด้วยคอยล์สปริง เหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นคานแข็งพร้อมชุดแหนบ นอกจากนี้ยังเซทอัพพวงมาลัยให้ตอบสนองดีขึ้น ผ่านการทดสอบจาก มาซดา ซึ่งยืนยันว่าสามารถลุยน้ำได้สูงสุดถึง 80 ซม.
ระบบเบรคหน้าแบบลูกสูบคู่ เพิ่มขนาดจานเบรคให้ใหญ่ เบรคมั่นใจมากขึ้น เพิ่มความปลอดภัยเต็มที่ ด้วยระบบเบรค เอบีเอส 4 ล้อ ระบบช่วยเพิ่มแรงเบรค อีบีเอ ระบบตัดการทำงานอัตโนมัติ เมื่อแป้นเบรคและคันเร่งถูกเหยียบพร้อมกัน ระบบป้องกันการลื่นไถลทแรคชัน คอนทโรล พร้อมระบบควบคุมการทรงตัว ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน และระบบป้องกันรถพลิกคว่ำ
มาซดา บีที-50 พโร ดับเบิลแคบ 4x4 3.2 อาร์ ใหม่ ติดตั้งระบบช่วยเบรค และระบบเสริมความปลอดภัยมากมาย ผลทดสอบประสิทธิภาพการเบรค จึงทำได้ดี มีระยะเบรคที่ไว้ใจได้ ทั้งเบรคที่ความเร็ว 60/80-0 กม./ชม. ทำได้ในเกณฑ์ดี 16.3/29.4 ม. ส่วนเบรคที่ความเร็วสูง 100 กม./ชม. ประสิทธิภาพการเบรคตกลงมาเล็กน้อย อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี โดยทำได้ 45.5 ม. ลองนำผลทดสอบมาเทียบกับ มาซดา บีที-50 ดับเบิลแคบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร รุ่นเดิม ที่มีผลทดสอบระยะเบรค 60/80/100-0 กม./ชม. อยู่ที่ 18.8/32.8/52.1 ม.
เห็นได้ว่าประสิทธิภาพเบรคของ มาซดา บีที-50 พโร ดับเบิลแคบ 4x4 3.2 อาร์ ใหม่ ทำได้ดีกว่าเดิมค่อนข้างเยอะ เบรคมั่นใจ ปลอดภัยมากขึ้นจริง แม้ว่าจะไม่โดดเด่นมากเท่ากับคู่แข่งในตลาดโดยตรงอย่าง ฟอร์ด เรนเจอร์ และเชฟโรเลต์ โคโลราโด เอกซ์-แคบ 2.8 แอลทีเซด เซด 71 ขับเคลื่อน 4 ล้อ และนิสสัน นาวารา รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อก็ตาม
มาซดา บีที-50 พโร ดับเบิลแคบ 4x4 3.2 อาร์ ใหม่ เป็นพิคอัพที่ฉีกกฎเกณฑ์ด้านหน้าตาตัวจริง นอกจากสวยหวานสไตล์เก๋ง ออกแบบให้สอดรับกันทั้งภายในและภายนอก อัดแน่นด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เสียงเงียบ เพิ่มความรื่นรมย์ในการขับขี่เหมือนรถเก๋ง ขุมกำลังแรง ขับสนุกทั้งในและนอกเมือง ช่วงล่างนุ่ม ขับสบาย เสริมด้วยเทคโนโลยีมากมาย น่าจะเป็นพิคอัพโฉมใหม่ที่ก้าวขึ้นมาต่อกรกับคู่แข่งได้ดีในตลาด