ทดสอบ
FORD EVEREST WILDTRAK/FORD RANGER STORMTRAK/FORD RANGER RAPTOR
4 WHEELS นํา FORD EVEREST WILDTRAK 4x4 (ฟอร์ด เอเวอ เรสต์ ไวลด์ทแรค 4x4) เอสยูวี 7 ที่นั่ง FORD RANGER STORMTRAK 4x4 (ฟอร์ด เรนเจอร์ สตอร์มทแรค 4x4) พิคอัพไลฟ์สไตล์ และ FORD RANGER RAPTOR (ฟอร์ด เรนเจอร์ แรพเตอร์) พิคอัพสายโหด บาฮาโหมด โฉมใหม่ มาทดสอบ เพื่อพิสูจน์ถึงสมรรถนะ เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ
EXTERIOR ภายนอก
FORD EVEREST WILDTRAK 4x4
FORD EVEREST 2.0L BI-TURBO WILDTRAK 4x4 (ฟอร์ด เอเวอ เรสต์ 2.0 แอล ไบ-เทอร์โบ ไวลด์ทแรค 4x4) เป็นรถสำหรับครอบครัวที่รักความท้าทาย และการผจญภัย ชอบสมรรถนะ และเทคโนโลยีที่เหนือชั้น รวมทั้งดีไซจ์นที่เป็นเอกลักษณ์แบบ WILDTRAK เน้นความเท่ แข็งแกร่ง และมีสไตล์ ภายในห้องโดยสารหรูหรา สะดวกสบาย
ภายนอกยังคงเด่นด้วยไฟหน้าแบบ MATRIX LED พร้อมระบบปรับมุมลำแสงไฟอัตโนมัติ ระบบป้องกันไฟแยงตา และระบบเปิด/ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ทั้งกระจังหน้าดีไซจ์นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่น WILDTRAK เช่นเดียวกับ RANGER พร้อมตัวอักษร WILDTRAK สีดำบนฝากระโปรงหน้า
มิติภายนอก 4,914/1,923/1,842 ม. เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว FORD EVEREST ใหม่ ยังมีความยาวตัวรถ และระยะฐานล้อ 2,900 มม. มากกว่าคู่แข่ง ISUZU MU-X (อีซูซุ มิว-เอกซ์) (4,850/1,870/1,875 ม. และ 2,855 ม.) MITSUBISHI PAJERO SPORT (มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ท) (4,825/1,815/1,835 ม. และ 2,800 ม.) NISSAN TERRA (นิสสัน แตร์รา) (4,890/1,865/1,865 ม. และ 2,850 ม.) และ TOYOTA FORTUNER (โตโยตา ฟอร์ทูเนอร์) (4,795/1,855/1,835 มม. และ 2,750 มม.)
หลังคา PANORAMIC MOONROOF และล้อแมกขนาด 20 นิ้ว ยาง 255/55 R20 ราวหลังคา และบันไดข้าง กระจกมองข้างปรับ และพับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว ไฟส่องสว่างข้างตัวรถ เหมือนกับรุ่น TITANIUM+ 4x4 (ไททาเนียม พลัส 4x4)
FORD RANGER RAPTOR 2.0 BI-TURBO
FORD RANGER RAPTOR เจเนอเรชันใหม่ รุ่น 3.0L V6 TWIN- TURBO ECOBOOST 4WD 10AT (3.0 แอล วี 6 ทวิน-เทอร์โบ อีโคบูสต์ โฟร์วีลดไรฟ 10 เอที) เป็นรถกระบะที่ทรงพลังที่สุดในตระกูล RANGER แต่นั่นไม่ใช่คำตอบสำหรับดีเซลสายโหด จึงต้องมี FORD RANGER RAPTOR 2.0L BI-TURBO 4WD 10AT (2.0 แอล ไบ-เทอร์ โบ โฟร์วีลดไรฟ 10 เอที) รุ่นที่ 2
อักษร F-O-R-D ตัวหนาบนกระจังหน้า และกันชนที่เป็นอิสระจากกระจังหน้า แผ่นกันกระแทกอัลลอย จุดลากจูงด้านหน้า 2 ตำแหน่ง บังโคลนหน้า เป็นเหล็กหนา 2.3 มม. เหมือนในรุ่น 3.0L V6 TWIN-TURBO
มิติตัวรถ ยาว/กว้าง/สูง 5,381/2,028/1,922 มม. เปรียบเทียบตัวกับรุ่นแรก (5,398/2,180/1,873 มม.) แล้วสูงใหญ่กว่าเดิม แต่มีขอบบังโคลนที่เข้ารูปมากขึ้น ฐานล้อที่ยาวขึ้น 50 มม. เป็น 3,270 มม.
บันไดข้างอลูมิเนียมอัลลอย มีรูระบาย ทราย โคลน และเคลือบถึง 2 ชั้น โดยการพ่นสี POWDER-COATED ก่อนพ่น GRIT-PAINT ทับอีกชั้น ทนทานต่อการขีดข่วน และรอยเปื้อน
ล้ออัลลอย 17 นิ้ว ขนาด 285/70 R17 พร้อมยาง BF GOODRICH KO2 HIGH PERFORMANCE ALL-TERRAIN (บีเอฟ กูดริช เคโอ 2 ไฮเพอร์ฟอร์มานศ์ ออลล์-เทอร์เรน) ทำให้มีความสูงใต้ท้องรถ ความสามารถในการลุยน้ำ 850 มม.
กันชนท้ายสีเทา ไฟท้าย LED พร้อมที่เหยียบด้านข้างกระบะ และจุดลากจูง
FORD RANGER STORMTRAK 4x4
FORD RANGER STORMTRAK ภายนอกเพิ่มความดุดัน มีสไตล์ ตั้งแต่กระจังหน้าออกแบบเฉพาะรุ่น STORMTRAK และติดไฟ AUX LAMP (ทำงานเมื่อเปิดไฟสูง) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยให้ดีขึ้นในทุกสภาพอากาศ และเพิ่มความปลอดภัยในการขับเวลากลางคืน เป็นครั้งแรกใน FORD RANGER มาพร้อมกับล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว สีดำ ASPHALT BLACK ตัดด้วยสีแดงสดผิวด้าน 1 ช่อง พร้อมสติคเกอร์ตกแต่งรอบคัน
FORD RANGER STORMTRAK ติดตั้งราวหลังคา และสปอร์ทบาร์แบบปรับได้ (FLEXIBLE RACK SYSTEM) ด้วยมือเดียว โดยสามารถปรับเลื่อนจุดลอคได้ 5 ตำแหน่ง (ตามความยาวกระบะท้าย) รองรับการติดตั้ง หรือขนย้ายอุปกรณ์เพื่อการผจญภัย และการทำงานได้หลากหลายรูปแบบ รับน้ำหนักสูงสุด 80 กก. (ขณะขับ) และ 250 กก. (ขณะจอด)
มิติตัวรถ ยาว/กว้าง/สูง 5,370/1,918/1,884 มม. ฐานล้อ 3,270 มม. และมีระยะห่างจากพื้น 235 มม. ยาวใหญ่กว่าคู่แข่ง ทั้ง ISUZU V-CROSS 4x4 (อีซูซุ วี-ครอสส์ 4x4) 4 ประตู MAZDA BT-50 DBL 4x4 3.0 SP (มาซดา บีที-50 ดับเบิลแคบ 4x4 3.0 เอสพี) MITSUBISHI TRITON DOUBLE CAB 4WD GT-PREMIUM (มิตซูบิชิ ทไรทัน ดับเบิลแคบ โฟร์วีลดไรฟ จีที-พรีเมียม) NISSAN NAVARA DOUBLE CAB PRO-4X (นิสสัน นาวารา ดับเบิลแคบ พโร-4 เอกซ์) รวมทั้ง TOYOTA HILUX REVO DOUBLE CAB 4x4 2.8 ROCCO (โตโยตา ไฮลักซ์ รีโว ดับเบิลแคบ 4x4 2.8 รอคโค)
มิติกระบะ ยาว/กว้าง/สูง 1,564/1,584/540 มม. พื้นปูกระบะท้าย พร้อมช่องต่อไฟ 12 โวลท์ และ 230 โวลท์ (400 วัตต์) ฝาท้ายแบบผ่อนแรง และยังมีบันไดเหยียบข้างกระบะท้ายใกล้กันชนหลัง ทำให้การขึ้นกระบะท้ายสะดวก
INTERIOR ภายใน
FORD EVEREST WILDTRAK 4x4
เบาะหนัง 7 ที่นั่งสีดำ เบาะคู่หน้าปรับทิศทางด้วยไฟฟ้า เบาะนั่งแถว 2 แยก 60:40 และแถว 3 แยก 50:50 พับเก็บด้วยไฟฟ้า บรรทุกสัมภาระได้ถึง 2,010 ลิตร มีช่องเก็บของมากกว่า 30 ช่อง ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า สำหรับเบาะหน้า/หลัง และตัวยึดเบาะนั่งพิเศษสำหรับเด็กเล็กบริเวณเบาะนั่งแถว 2 และ 3
เหนือกว่าคู่แข่งด้วยจอแสดงผลบนมาตรวัดแบบสีขนาด 12.4 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลจอสีแบบสัมผัส MULTI-TOUCH ขนาด 12 นิ้ว ใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A รองรับ WIRELESS APPLE CAR PLAY และ ANDROID AUTO ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ กล้องมองหลัง รวมทั้งระบบแผนที่นำทาง และช่องต่อ USB 4 จุด ช่องต่อไฟ 12 โวลท์ 3 ช่อง พร้อมช่องต่อไฟ 230 โวลท์ (400 วัตต์) 1 ช่อง และแท่นชาร์จไร้สาย กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย/ขวา และระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง แถว 2 และ 3 พร้อมช่องแอร์เหนือศีรษะ ประตูท้ายรถเปิด/ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ
ระดับเสียงในห้องโดยสาร จากความเร็วคงที่ 60/80/100/120 กม./ชม. วัดได้ 48/51/54/58 เดซิเบล อยู่ในระดับดี เงียบกว่าคู่แข่งอย่าง TOYOTA FORTUNER (49/52/55/59) MITSUBISHI PAJERO SPORT (55/57/62/67) และ NISSAN TERRA (57/60/63/67)
FORD RANGER RAPTOR 2.0 BI-TURBO
ภายในตกแต่งด้วยสีส้มบนแผงหน้าปัด การตัดขอบชิ้นส่วนหลักๆ ในห้องโดยสาร รวมถึงบนเบาะที่นั่ง แผงหน้าปัดแสดงฟีเจอร์แบบต่างๆ พวงมาลัยจาก FORD PERFORMANCE พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ (PADDLE SHIFT) และแถบแดงด้านบนของพวงมาลัย แต่ตัดปุ่ม R บนพวงมาลัย (MY MODE เพื่อบันทึก และเปิดใช้งานการตั้งค่าพื้นฐานตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นโหมดการขับขี่ที่ชอบใช้งาน ระบบบังคับเลี้ยว ระบบกันสะเทือน หรือโหมดปรับแต่งเสียงท่อไอเสีย) ในรุ่น 3.0L V6 TWIN-TURBO ออกไป
แผงหน้าปัดความชัดเจนสูงขนาด 12.4 นิ้ว และหน้าจอแบบสัมผัสตรงกลางขนาด 12 นิ้ว แสดงผลการเชื่อมต่อ และระบบความบันเทิงผ่านระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A รองรับการเชื่อมต่อ APPLE CAR PLAY และ ANDROID AUTO แบบไร้สาย ระบบเสียง BANG & OLUFSEN 8 ตำแหน่ง ติดตั้งเกียร์อัตโนมัติแบบ ELECTRONIC SHIFTER หรือ E-SHIFTER และเบรคมือไฟฟ้า แท่นชาร์จไร้สาย UPFITTER สวิทช์ FORD PASS
เบาะคู่หน้าปรับได้ 10 ทิศทาง บุหนัง และหนังสังเคราะห์ ออกแบบเฉพาะ RAPTOR
ผลการวัดเสียง ความเร็วคงที่ 60/80/100/120 กม./ชม. วัดได้ 53/56/61/ 65 เดซิเบล เงียบกว่ารุ่นเดิม ที่วัดได้ 59/62/63/66 เดซิเบล อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย เทียบกับคู่แข่งแล้วพบว่าห้องโดยสารเงียบกว่า โดยเฉพาะในช่วงความเร็วสูง 100/120 กม./ชม.
FORD RANGER STORMTRAK 4x4
ห้องโดยสารกว้างขวาง หรูหรา เทคโนโลยีครบครัน และที่วางแก้วน้ำบนคอนโซลหน้าใต้ช่องแอร์ทั้งซ้าย/ขวา
จอบนหน้าปัดแบบสีขนาด 12.4 นิ้ว พร้อมหน้าจอแสดงผล MULTI- TOUCH ที่ขยับจาก 8 นิ้ว ในรุ่น WILDTRAK มาเป็น 12 นิ้ว รองรับ APPLE CAR PLAY และ ANDROID AUTO พร้อม BLUETOOTH ระบบนำทาง และระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A ซึ่งเป็นระบบความบันเทิงรุ่นล่าสุดของ FORD สั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ และระบบ FORD PASS CONNECT ช่องต่อ USB 4 จุด ลำโพง 6 ทิศทาง ช่องต่อไฟ 12 โวลท์ พร้อมช่องต่อไฟ 230 โวลท์ (400 วัตต์)
เบาะหนัง และหนังสังเคราะห์สีดำตกแต่งด้วยสีแดง หรูหราพรีเมียมสไตล์ STORMTRAK เบาะนั่งคนขับ และผู้โดยสารตอนหน้า ปรับไฟฟ้าได้ถึง 8 ทิศทาง แท่นชาร์จไร้สาย กุญแจรีโมทอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย/ขวา และระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB ไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร
ส่วนระดับเสียงในห้องโดยสาร จากความเร็วคงที่ 60/80/100/120 กม./ชม. วัดได้ 44/48/53/59 เดซิเบล เงียบกว่าคู่แข่งทั้ง MAZDA BT-50 (52/56/59/63 เดซิเบล) NISSAN NAVARA PRO-4X (55/60/65/68 เดซิเบล) TOYOTA HILUX REVO ROCCO (58/62/65/68 เดซิเบล) และ MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (59/62/63/66 เดซิเบล)
ENGINE เครื่องยนต์
FORD EVEREST WILDTRAK 4x4
FORD EVEREST 2.0L BI-TURBO WILDTRAK 4x4 10AT ใช้เครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 210 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 51.0 กก.-ม. ขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ พร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์บวก/ลบ
อัตราเร่งช่วงต้น 0-100 กม./ชม. ในเวลา 10.9 วินาที และ 0-400 ม. ในเวลา 17.8 วินาที 0-1,000 ม. ทำได้ 32.8 วินาที ดีกว่า MITSUBISHI PAJERO SPORT ที่ทำไว้ 12.4/18.7/33.8 วินาที NISSAN TERRA ที่ทำได้ 11.6/18.2/33.5 วินาที และ TOYOTA FORTUNER 2.8 LEGENDER 4WD (โตโยตา ฟอร์ทูเนอร์ 2.8 ลีเจนเดอร์ โฟร์วีลดไรฟ) ที่ทำได้ 12.0/18.3/33.7 วินาที
จังหวะเร่งแซง ในเมือง 60-100 กม./ชม. และนอกเมืองช่วง 80-120 กม./ชม. ทำได้ 6.0 และ 8.0 วินาที เป็นรองเครื่องใหญ่อย่าง TOYOTA FORTUNER 2.8 LEGENDER 4WD (5.8/7.4 วินาที) พอๆ กับ NISSAN TERRA 2.3 VL 4WD (6.0/7.8 วินาที) ที่มีเทอร์โบคู่
แต่ดีกว่า MITSUBISHI PAJERO SPORT (6.4/8.2 วินาที) และ TOYOTA FORTUNER 2.4 LEADER V 4WD (โตโยตา ฟอร์ทูเนอร์ 2.4 ลีเดอร์ วี โฟร์วีลดไรฟ) (8.2/10.7 วินาที)
FORD RANGER RAPTOR 2.0 BI-TURBO
เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร ที่พัฒนาต่อยอดจาก FORD RANGER RAPTOR เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบคู่ 2.0 ลิตรเดิม โดยมีกำลัง 210 แรงม้า ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ แบบ E-SHIFTER ที่ผ่านการปรับทูน โหมดการขับขี่ 7 โหมด มาพร้อมระบบ ANTI-LAG ในโหมดควบคุมการขับขี่แบบ BAJA และระบบเฟืองท้ายหลังควบคุมด้วยไฟฟ้า
ระบบขับเคลื่อนเลือกได้ทั้ง 2H (ขับเคลื่อน 2 ล้อหลังอัตราทดสูง) 4A (ขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ) 4H (ขับเคลื่อน 4 ล้ออัตราทดสูง) 4L (ขับเคลื่อน 4 ล้ออัตราทดต่ำ)
อัตราเร่งตีนต้น 0-100 กม./ชม. และ 0-400 ม. เป็นตามคาด 12.1/18.3 วินาที อัตราเร่งตีนปลาย 0-1,000 ม. ในเวลา 33.9 วินาที ช้ากว่าเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร รุ่นเดิม ที่ทำไว้ 11.6/18.1/33.4 วินาที และเครื่องยนต์เบนซิน ทวินเทอร์โบ 3.0 ลิตร ที่ทำไว้ 6.5/14.7/ 27.1 วินาที
สมรรถนะช่วงเร่งแซง 60-100 กม./ชม. และ 80-120 กม./ชม. FORD RANGER RAPTOR ใหม่ รุ่น 2.0 ลิตร ทำได้ 6.3/8.8 วินาที ช้ากว่ารุ่นเดิมที่ทำได้ 6.1/8.1 วินาที และรุ่นเบนซิน 3.0 ลิตร ใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่ง คือ 3.2/3.8 วินาที
FORD RANGER STORMTRAK 4x4
FORD RANGER STORMTRAK ใช้เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบคู่ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร 210 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 51.0 กก.-ม. เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ แบบ E-SHIFTER แทน 10 จังหวะแบบเดิม และมีให้เลือกถึง 6 โหมด ได้แก่ ปกติ, ประหยัด, ลากจูง และบรรทุก, ถนนลื่น, โคลน และทราย มาใส่ในรุ่นนี้ด้วย
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เปลี่ยนจาก 2 ล้อ หรือ 2H ขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้ทั้ง 4H และ 4L ผ่านสวิทช์หมุน พร้อมฟังค์ชัน SHIFT-ON-THE-FLY และระบบลอคเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า
อัตราเร่งช่วงต้น 0-100 กม./ชม. และ 0-400 ม. อยู่ที่ 10.1/17.3 วินาที และอัตราเร่งตีนปลาย 0-1,000 ม. อยู่ที่ 31.8 วินาที ดีกว่า MAZDA BT-50 (10.7/17.6/32.3 วินาที) TOYOTA HILUX REVO ROCCO (11.2/17.9/32.5 วินาที) MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (11.2/17.9/32.9 วินาที) และ NISSAN NAVARA PRO-4X (12.1/18.4/33.9 วินาที)
ขณะที่อัตราเร่งยืดหยุ่นช่วง 60-100/80-120 กม./ชม. ทําเวลาได้ 5.3/7.0 วินาที เร็วกว่า MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (5.8/7.5 วินาที) MAZDA BT-50 (6.0/7.6 วินาที) NISSAN NAVARA PRO-4X (6.4/8.7 วินาที) แต่ช้ากว่า TOYOTA HILUX REVO ROCCO (5.5/6.8 วินาที)
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่ความเร็ว 60/80/100/120 กม./ชม. อยู่ที่ (23.0/20.5/14.6/11.3 กม./ลิตร) ประหยัดกว่าคู่แข่ง MAZDA BT-50 (21.9/18.9/14.4/11.0 กม./ลิตร) MITSUBISHI TRITON GT- PREMIUM (21.0/18.7/14.1/10.7 กม./ลิตร) และ TOYOTA HILUX REVO ROCCO (20.8/17.2/12.4/10.5 กม./ลิตร) ทุกช่วงความเร็ว
SUSPENSION ระบบรองรับ
FORD EVEREST WILDTRAK 4x4
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา ฟูลล์ไทม์ เลือกปรับรูปแบบการขับขี่ได้ 4 รูปแบบ คือ NORMAL สำหรับพื้นถนนทั่วไป SAND สำหรับพื้นทราย SNOW OR MUD สำหรับพื้นหิมะ โคลน หรือทุ่งหญ้า และ ROCK CRAWL สำหรับพื้นหินขรุขระ พร้อมโหมด 4L และระบบลอคเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน
ระบบวัตต์ลิงค์ ที่ช่วยให้หน้ายางตั้งฉากกับพื้นถนนเมื่อรถเข้าโค้ง ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP ให้รถเกาะถนน และทรงตัวดี พวงมาลัยไฟฟ้า ควบคุมได้ง่าย และแม่นยำมาก ใช้ในเมืองคล่องตัวจริงๆ
ผลทดสอบเบรคที่ความเร็ว 60-0/80-0/100-0 กม./ชม. หยุดนิ่งได้ในระยะ 17.5/32.6/50.2 ม. ล้อขนาด 20 นิ้ว ดูจะส่งผลให้ใช้ระยะทางมากกว่า TOYOTA FORTUNER 2.8 LEGENDER 4WD (16.0/27.0/43.9 ม.) และ TOYOTA FORTUNER 2.4 LEADER V 4WD (17.4/30.2/44.2 ม.) MITSUBISHI PAJERO SPORT (17.0/31.0/46.7 ม.) และ NISSAN TERRA (17.0/30.1/45.8 ม.)
FORD RANGER RAPTOR 2.0 BI-TURBO
นอกจากนี้ FORD RANGER RAPTOR ยังมาพร้อมกับระบบควบคุมการขับเคลื่อน (TMS: TERRAIN MANAGEMENT SYSTEM) มีโหมดควบคุมการขับขี่ 7 รูปแบบให้เลือก ทั้งปกติ, สปอร์ท, ลื่นไถล, โคลน, ทราย, บาฮา และปีนหิน โหมดควบคุมพวงมาลัยทั้งแบบ NORMAL SPORT และ BAJA และโหมดควบคุมการสั่นสะเทือน (ชอคอับ) ทั้งแบบ NORMAL, OFFROAD และ SPORT
ปีกนกทำจากอลูมิเนียม ชอคอับ FOX (ฟอกซ์) ทั้งคู่หน้า/หลัง ขนาด 2.5 นิ้ว INTERNAL BYPASS แต่ไม่มีเทคโนโลยี LIVE VALVE ที่ปรับอัตราการดูดซับแรงสั่นสะเทือนตามการเคลื่อนไหวของตัวรถโดยอัตโนมัติถึง 500 ครั้ง/วินาที เหมือนรุ่น 3.0L V6 TWIN-TURBO ECOBOOST 4WD
ระบบคาลิเพอร์แบบลูกสูบคู่ และจานเบรคแบบมีร่องระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ พร้อมระบบ ABS และหม้อลมเบรคไฟฟ้า ระบบช่วยเสริมแรงเบรค EBB
ผลการทดสอบเบรค FORD RANGER RAPTOR รุ่นใหม่ ระยะเบรคที่ความเร็ว 60/80/100-0 กม./ชม. ใช้ระยะทาง 17.6/31.0/48.9 ม. ทำได้สั้นกว่ารุ่นเดิม ที่ใช้ระยะทางถึง 19.0/33.7/52.1 ม. ใกล้เคียงกับรุ่นเบนซิน 3.0 ลิตร 17.9/30.9/50.1 ม.
FORD RANGER STORMTRAK 4x4
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบแหนบซ้อน พร้อมชอคอับแบบโมโนทูบ ด้านหน้า และหลัง ช่วยดูดซับแรงกระแทก และยังรับน้ำหนักในการบรรทุก และลากจูง
ล้ออัลลอย 18 นิ้ว ยาง 255/65 R18 เบรคแบบจานหน้า และหลัง พร้อมครีบระบายความร้อน
ประสิทธิภาพของระบบเบรค ที่ความเร็ว 60/80/100 กม./ชม. ใช้ระยะ 17.8/31.1/49.6 ม. เป็นรอง NISSAN NAVARA PRO-4X (16.6/28.2/43.8 ม.) MAZDA BT-50 (16.5/28.5/45.0 ม.) MITSUBISHI TRITON GT-PREMIUM (16.2/28.6/45.0 ม.) และ TOYOTA HILUX REVO ROCCO (15.6/27.8/42.4 ม.)
อุปกรณ์ความปลอดภัย ถุงลมนิรภัย 7 จุด ได้แก่ คู่หน้า ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมบริเวณหัวเข่า ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า/หลัง กล้องมองรอบคัน 360 องศา ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน และระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ เบรคมือไฟฟ้าพร้อมระบบ AUTO HOLD
อีกทั้งยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อัจฉริยะครบครัน ได้แก่ ดิฟฟ์ลอคหลังแบบไฟฟ้า และระบบเลือกโหมดการขับขี่ 6 โหมด แบบหมุน (เฉพาะรุ่น 4x4) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ STOP & GO และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัจฉริยะ ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ระบบเตือนการชนด้านหน้า ระบบช่วยควบคุมรถหลังจากชน ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ระบบตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง ระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ
FORD EVEREST WILDTRAK 4x4 พี่ใหญ่ 7 ที่นั่ง แรงดี ขุมกำลังเทอร์โบคู่
FORD EVEREST 2.0L BI-TURBO WILDTRAK 4x4 10AT กับราคา 1,899,000 บาท แลกกับความปลอดภัยอย่าง ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ STOP & GO ระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัจฉริยะ ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ระบบเตือนการชนด้านหน้า ระบบช่วยควบคุมรถหลังจากชน ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ระบบตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด กล้องมองรอบคัน 360 องศา ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง และระบบตรวจเชคลมยาง ก็สมเหตุสมผล ส่วนจะรับหรือไม่รับก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
FORD RANGER RAPTOR 2.0 BI-TURBO เจเนอเรชันใหม่ ขุมพลัง 210 แรงม้า เกียร์ E-SHIFTER
FORD RANGER RAPTOR 2.0L BI-TURBO 4WD 10AT เป็นอีกตัวเลือกของพิคอัพมาดแกร่ง ช่วงล่างหนึบ หนักแน่น และระบบความปลอด ภัยมีให้ครบ ทั้งระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ระบบควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง ระบบช่วยออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน และระบบควบคุมการบรรทุกความสามารถในการลากจูง 2,500 กก.
นอกจากพละกำลัง FORD ยังได้ตัดฟังค์ชัน MY MODE (ปุ่ม R บนพวงมาลัย) ระบบ ACTIVE VALVE EXHAUST ปรับระดับเสียงท่อไอเสีย 4 โหมด ระบบเสียง BANG & OLUFSEN พร้อมลำโพง 10 ตัว ในรุ่น 3.0L V6 TWIN-TURBO ECOBOOST 4WD 10AT ออกไปจาก RANGER RAPTOR 2.0L BI-TURBO 4WD 10AT ด้วย
FORD RANGER STORMTRAK 4x4 สายกิจกรรม สไตล์ลุย ห้ามพลาด
FORD RANGER เจเนอเรชันใหม่ รุ่น STORMTRAK เป็นการยกระดับที่เหนือกว่า WILDTRAK ทั้งหน้าจอแสดงผล MULTI-TOUCH ขนาด 12 นิ้ว เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ แบบ E-SHIFTER พร้อมเทคโนโลยีระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ราวหลังคา และสปอร์ทบาร์แบบปรับได้ (FLEXIBLE RACK SYSTEM) กับราคา 1,399,000 บาท ที่ต่างกันแสนบาท