ทดสอบ(formula)
AUDI Q5 SPORTBACK
รถยนต์หรูที่หลายคนให้ความสนใจ ต่างก็มาจากหลากหลายสัญชาติตามรสนิยม และงบประมาณของแต่ละคน เชื่อว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีรถยนต์สัญชาติเยอรมันเป็นหนึ่งในทางเลือกอย่างแน่นอน หากนับเฉพาะประเทศเยอรมนีแล้ว ค่ายรถที่มีชื่อเสียงก็ถือกำเนิดมากมายเช่นกัน หนึ่งในนั้น คือ ค่าย AUDI (เอาดี) ที่ปัจจุบันมีทางเลือกอย่างจุใจในประเทศไทย ครั้งนี้เราจึงมาทดสอบ Q5 SPORTBACK (คิว 5 สปอร์ทแบค) เอสยูวี หรูพลัก-อิน ไฮบริด กับ “เขี้ยวเล็บ” ที่ซ่อนอยู่ภายในตัว !
EXTERIOR ภายนอก
เส้นสายเรียบ แต่เฉียบคม
เอกลักษณ์ของ AUDI หลายรุ่น คือ เส้นสายที่เน้นความเรียบง่าย ไฟหน้าทรงเหลี่ยม แต่ถูกขัดเกลาให้มีความสดใหม่ในรายละเอียด สิ่งที่ว่ามาเห็นได้ชัดจาก Q5 SPORTBACK ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าขนาดใหญ่ ลายรังผึ้ง ไฟหน้าทรงเหลี่ยม เส้นข้างตัวถังที่พาดยาวตั้งแต่ด้านหน้าจรดส่วนท้าย มีความลื่นไหลคล้ายเกลียวคลื่นเพิ่มความปราดเปรียว ส่วนประตูบานท้ายยังคงเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของค่าย 4 ห่วง มีขนาดใหญ่เต็มความกว้างของตัวรถ ชุดไฟท้ายแนวนอนจะอยู่บนประตู ภายใต้รูปทรงที่เรียบง่าย แต่กลับมีความลงตัวที่น่าพอใจสำหรับ เอสยูวี สไตล์สปอร์ทรุ่นนี้ นอกจากนี้ ยังเสริมมาดกับรุ่นย่อย S LINE BLACK EDITION (เอส ไลน์ บแลค เอดิชัน) กับชุดตกแต่งรอบคัน (ที่ดูเผินๆ อาจไม่ทราบว่ามีการเสริมชุดตกแต่งภายนอกแล้ว) เพิ่มความคมเข้มด้วยวัสดุสีดำตามจุดต่างๆ เช่น กระจังหน้า สเกิร์ทด้านข้าง ขอบกระจกประตู กระจกมองข้าง ราวหลังคา กรอบรอบไฟตัดหมอก เท่านี้ก็ได้มาดเข้มสไตล์ AUDI ที่ไม่เน้นความหวือหวา แต่เป็นความสุขุมนุ่มลึกไปอีกแบบ
ทางเลือกตัวถังของ AUDI Q5 SPORTBACK คือ ส่วนหลังคาที่มีความลาดเทมากกว่ารุ่นปกติ (ตัวถังแบบ เอสยูวี) ผสมผสานอารมณ์รถสปอร์ทคูเปในตัว สำหรับคนที่ต้องการมาดบึกบึน อรรถประโยชน์หลากหลายกว่าซีดาน แต่มีความปราดเปรียวคล่องแคล่วเช่นกัน ตัวถังแบบ SPORTBACK น่าจะถูกใจรสนิยมดังกล่าว โดยมีคู่แข่งร่วมสัญชาติ คือ BMW X4 (บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 4) และ MERCEDES-BENZ GLC COUPE (เมร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลซี คูเป)
INTERIOR ภายใน
หรูเกินตัว หน้าปัดดิจิทอลล้ำสมัย
รูปทรงภายนอกที่เรียบง่ายของ AUDI กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิงเมื่อเข้ามาในห้องโดยสาร เราพบความเป็นดิจิทอลรายล้อมหลายจุด โดยเฉพาะแผงหน้าปัดที่เป็นแบบดิจิทอลเต็มตัว ปรับเปลี่ยนรูปแบบได้หลากหลาย การแสดงผลแบบครบครันบางครั้งจะกดปุ่มบนฝั่งซ้ายของพวงมาลัย เพื่อลดขนาดของมาตรวัดความเร็ว และรอบเครื่องยนต์ พื้นที่ตรงกลางจะแสดงผลได้หลากหลายยิ่งขึ้น ความคมชัดของหน้าจอ รวมถึงสีสัน ทำได้ดีมาก มองเห็นได้ชัดเจนแม้ในที่สว่าง นอกจากนี้ ยังมีโหมดการแสดงผลสำหรับระบบเนวิเกเตอร์ล้วนๆ (มาตรวัดจะมีขนาดเล็กลงมาอีก) อย่างไรก็ตาม สารพัดโหมดการแสดงผลอาจต้องทำความคุ้นเคยในช่วงแรก รวมถึงบรรดาเมนูต่างๆ สำหรับการใช้งานแต่ละรูปแบบ แน่นอนว่า การเป็นรถยนต์สไตล์พลัก-อิน ไฮบริด ย่อมต้องมีการแสดงผลของการส่งกำลังระหว่างเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า สามารถแสดงผลได้บนหน้าจอบนคอนโซลกลาง หรือหน้าจอแผงหน้าปัด ผู้ขับสามารถเลือกการแสดงผลระยะทางที่เหลือที่รถสามารถแล่นได้ ทั้งจากน้ำมันเชื้อเพลิง (ของเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ) และจากระดับของแบทเตอรีที่เหลืออยู่ ทำให้การวางแผนการขับขี่ทำได้แม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อการใช้ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ระบบพลัก-อิน ไฮบริด อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
นอกจากความทันสมัยแล้ว ความหรูหรา และความประณีตของการประกอบ สมราคากับการเป็นค่ายรถสัญชาติเยอรมัน ด้านหน้ากว้างขวาง คันเกียร์รูปทรงราวกับเครื่องบินโดยสาร เน้นความกว้าง ทรงกระชับสั้น คอนโซลเกียร์มีพื้นที่มาก ติดตั้งปุ่มใช้งานมากมาย พื้นที่เหนือศีรษะของเบาะคู่หน้ามีให้เหลือเฟือ ตามสไตล์รถ เอสยูวี ส่วนเบาะด้านหลัง พับแยกได้แบบ 40:20:40 (ตรงกลางพับแยกส่วนได้) เรามีความรู้สึกว่าเบาะแถว 2 มีรูปทรงที่เรียบเกินไปเล็กน้อย น่าจะโอบกระชับสรีระมากกว่านี้ ผนวกกับพื้นที่เหนือศีรษะที่มีจำกัดจากส่วนของหลังคาที่ลาดเท
ENGINE เครื่องยนต์
แรงเกินตัวจาก 2 ขุมพลัง !
AUDI Q5 SPORTBACK กับขุมพลังรหัส 55 TFSI E ประกอบด้วย เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 265 แรงม้า ที่ 5,250-6,500 รตน. แรงบิดสูงสุด 37.7 กก.-ม. ที่ 1,600-4,500 รตน. และมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 35.7 กก.-ม. คิดเป็นกำลังสูงสุดทั้งระบบที่ 367 แรงม้า แบทเตอรีความจุ 17.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง (รองรับการชาร์จไฟฟ้าแบบ AC เท่านั้น) ถือว่าเหลือเฟือสำหรับ เอสยูวี ระดับนี้
คู่เปรียบเทียบสมรรถนะ เราจึงเลือกรถยนต์หรูที่มีความสดใหม่ไม่แพ้กัน และเป็น เอสยูวี ระบบพลัก-อิน ไฮบริด ด้วย นั่นคือ LEXUS NX 450H+ (เลกซัส เอนเอกซ์ 450 เอช พลัส) รถยนต์พลัก-อิน ไฮบริดรุ่นแรกของค่าย ประกอบด้วย เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร กำลังสูงสุด 182 แรงม้า มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด กำลังสูงสุด 182 (ล้อคู่หน้า) และ 54 (ล้อคู่หลัง) แรงม้า กำลังสูงสุดทั้งระบบที่ 304 แรงม้า แบทเตอรีความจุ 18.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. (ในโหมดปกติ) AUDI Q5 SPORTBACK ทำเวลาที่ 5.9 วินาที ส่วน LEXUS NX 450H+ คือ 6.8 วินาที การตอบสนองคันเร่งของ Q5 SPORTBACK เน้นการส่งกำลังที่ต่อเนื่อง ไม่กระแทกกระทั้นแบบหลังติดเบาะ แต่แฝงด้วยการส่งกำลังควบคู่กันของเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า (ที่มีบทบาทเยอะกว่าที่คิด) เราได้ยินเสียงการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าค่อนข้างชัดเจน แสดงให้เห็นว่าขณะทำอัตราเร่งตอนออกตัว แรงบิดที่สูงของมอเตอร์ช่วยให้การออกตัวทำได้ฉับไวยิ่งขึ้น
อัตราเร่งระยะ 0-1,000 ม. Q5 SPORTBACK ใช้เวลาไป 25.3 วินาที (ที่ความเร็ว 213.6 กม./ชม.) ส่วน NX 450H+ มีตัวเลข คือ 27.2 วินาที (ที่ความเร็ว 195.0 กม./ชม.) สิ่งที่เรารู้สึกเหลือเชื่อ คือ ความเร็วตีนปลายของ AUDI สูงเกินคาดมากๆ จากอัตราเร่งตีนต้นที่ฉับไว และไหลยาวถึงช่วงความเร็วตีนปลายเช่นนี้ ทำให้ เอสยูวี มาดสปอร์ทรุ่นนี้มีความจัดจ้านแทบทุกย่านความเร็ว การส่งกำลังในช่วงความเร็วตีนปลายเป็นบทบาทของเครื่องยนต์สันดาปซึ่งรับช่วงต่อจากช่วงแรกที่มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยส่งกำลังในช่วงออกตัว และความเร็วตีนต้น ทั้งหมดที่ว่ามาเป็นการส่งกำลังที่แทบไม่มีรอยต่อเลยแม้แต่นิดเดียว
ถัดมา คือ อัตราเร่งยืดหยุ่น เสมือนการเร่งแซง ที่ช่วงความเร็ว 60-100 และ 80-120 กม./ชม. เอสยูวี สไตล์สปอร์ทของ AUDI ทำเวลาที่ 3.0 และ 4.2 วินาที ส่วนทาง LEXUS มีตัวเลข คือ 3.5 และ 4.2 วินาที ระบบพลัก-อิน ไฮบริด ของทั้ง 2 คัน มีอัตราเร่งที่สูสีมาก แม้ทาง Q5 SPORTBACK จะใช้มอเตอร์ 1 ตัว แต่เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา QUATTRO ส่วน NX 450H+ เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเช่นกัน แต่ล้อหลังเป็นหน้าที่ของมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก
ส่วนการประหยัดเชื้อเพลิง แม้เราไม่ได้วัดออกมาเป็นตัวเลขโดยตรง แต่ทั้ง 2 รุ่นก็มีการระบุตัวเลขการแล่นด้วยไฟฟ้าล้วน (เมื่อชาร์จแบทเตอรีเต็ม) ทาง AUDI Q5 SPORTBACK แล่นได้สูงสุด 54 กม. ขณะที่ทาง LEXUS NX 450H+ เคลมระยะทางถึง 87 กม. ความสามารถในการแล่นด้วยไฟฟ้าล้วนบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้าเช่นกัน ผู้ใช้งานจึงควรชาร์จแบทเตอรีให้พร้อมใช้งานในแต่ละวันอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าเสียดายของ เอสยูวี ระบบพลัก-อิน ไฮบริดทั้ง 2 รุ่น คือ การไม่ได้รองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC) การชาร์จแบทเตอรีเต็มจึงใช้เวลาพอสมควร แม้เป็นการชาร์จจาก WALL BOX ก็ตาม
SUSPENSION ระบบรองรับ
นุ่มนวล ขับ 4 ล้อ มั่นใจ
ระบบรองรับของ AUDI Q5 SPORTBACK ถูกปรับแต่งให้เน้นความนุ่มนวล แต่ยังมีความหนึบแน่นที่เหมาะสม (แม้ทีแรกเราคาดหมายว่ารุ่น S LINE จะมีความหนึบมากกว่านี้) ล้อแมกขนาด 20 นิ้ว ไม่ทำให้ช่วงล่างมีความแข็งกระด้างแต่อย่างใด ส่วนความมั่นคงขณะเข้าโค้งได้ประโยชน์จากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา QUATTRO เข้ามาเสริมอีกแรง และยังสามารถปรับแต่งตามโหมดการขับขี่ รวมถึงโหมด OFF-ROAD ที่จะปิดการทำงานของระบบควบคุมเสถียรภาพตัวรถ เปิดโอกาสให้รถมีอาการท้ายปัดในระดับที่ควบคุมได้ (จากที่เราทดสอบบนสภาพทางฝุ่น) อย่างไรก็ตาม จากการทดสอบในช่วงความเร็วตีนปลาย เราสังเกตว่า ช่วงล่างที่มีความมั่นคงในระยะแรก กลับมีอาการโคลง และส่ายเล็กน้อยในช่วงความเร็วสูง (เกินกว่า 180-190 กม./ชม. ขึ้นไป จากการทดสอบระยะ 0-1,000 ม.) ส่วนหนึ่งอาจมาจากสมรรถนะของขุมพลังที่มีมากเกินระดับของระบบรองรับจะตอบสนองได้ในช่วงความเร็วสูงดังกล่าว เป็นจุดที่ผู้ขับต้องระมัดระวังเล็กน้อย แต่ในแง่การใช้งานทั่วไป ถือว่าช่วงล่างยังรองรับได้สบายๆ
ในแง่ของระบบความปลอดภัย มีการติดตั้งมาให้อย่างเพียงพอ แต่การเป็นรถยนต์นำเข้าทั้งคัน และผู้จัดจำหน่ายต้องการทำราคาสามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นๆ ได้ (ซึ่งหลายรายเป็นรถยนต์ประกอบในประเทศ) อุปกรณ์ระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ล้ำสมัยอาจขาดหายไปบ้าง Q5 SPORTBACK คันนี้ เน้นที่การแจ้งเตือนมากกว่าการช่วยเบรคอัตโนมัติ หรือแม้แต่ระบบครูสคอนทโรลแบบแปรผันความเร็วก็ไม่ได้ติดตั้งมาให้ หรืออย่างน้อยมีระบบกล้องมองภาพรอบคันน่าจะช่วยเรื่องความสะดวกของการใช้งานได้อีกมาก สมกับการเป็นรถยนต์หรู
หน้าเรียบๆ แต่พละกำลังเพียบ
ภายใต้เส้นสายที่เรียบง่ายของ AUDI Q5 SPORTBACK ภายในห้องโดยสารที่ล้ำสมัย แต่จุดเด่นของ เอสยูวี มาดสปอร์ทรุ่นนี้ คือ ขุมพลังแบบพลัก-อิน ไฮบริด ประสิทธิภาพสูง ไม่แพ้คู่แข่งร่วมสัญชาติรายอื่น การส่งกำลังทำได้ไหลลื่นต่อเนื่อง ไต่ความเร็วได้เนียนๆ อย่าเผลอลืมดูมาตรวัดความเร็วเชียว ! เพราะในเวลาไม่นานความเร็วก็สามารถทะลุเกิน 200 กม./ชม. ใครที่ขับขี่แบบเน้นสมรรถนะกันเต็มๆ อาจต้องการช่วงล่างที่หนึบแน่นกว่านี้ แต่อย่าถึงขนาดนั้นเลย การใช้งานทั่วไป และความเร็วที่เหมาะสม รถยนต์คันนี้ก็รองรับได้สบายๆ แล้ว เป็นอีกทางเลือกที่ลงตัวระหว่างสมรรถนะ และความสะดวกสบาย รวมไว้ในคันเดียว กับทีเด็ดจากค่าย “4 ห่วง” รุ่นนี้ !
