ทดสอบ(formula)
NETA V
รถยนต์ไฟฟ้ามีความหลากหลายอย่างรวดเร็วในบ้านเรา ตามความต้องการ และความสนใจของผู้บริโภคที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน หนึ่งในปัจจัยสำคัญ คือ ราคาของตัวรถ นับตั้งแต่หลายล้านบาท ไปจนถึงต่ำกว่า 1 ล้านบาทเล็กน้อย แต่หลายคนยังคาดหวังว่าจะมีรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาย่อมเยากว่านี้ พร้อมความคุ้มค่าของการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า รถคันนี้อาจสนองตอบได้กับ NETA V รถยนต์ไฟฟ้าราคา 5 แสนบาทกว่าๆ เท่านั้น !
EXTERIOR ภายนอก
NETA V (เนทา วี) มีเส้นสายที่เน้นความพลิ้วไหว ตัวถังกระชับสั้น แต่มีความสูงค่อนข้างมาก รูปแบบของตัวถังมาในสไตล์ฟาสต์แบค จากประตูบานท้ายที่ลักษณะลาดเท แต่สามารถเปิดออกได้ทั้งบาน ช่วยให้การใช้งาน และขนสัมภาระมีความสะดวก ไฟหน้าทรงเรียวในแนวนอน กับไฟท้ายขนาดใหญ่ มีรูปทรงคล้ายหัวลูกศร โดดเด่นเห็นชัดมาแต่ไกล สันเหลี่ยมรอบตัวรถตามจุดต่างๆ ช่วยให้ NETA V มีมุมมองที่น่าดูยิ่งขึ้น แม้โดยรวมแล้วจะยังเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก (ระดับอีโคคาร์ บางรุ่นในบ้านเรา) กับความยาว 4,070 มม. และระยะฐานล้อที่ 2,420 มม. ส่วนล้อแมกมีขนาด 16 นิ้ว ยาง 185/55 R16 ดูเล็กไปหน่อย หากความกว้างของยางอยู่ที่ 195 มม. จะลงตัวกว่านี้ ขณะที่จุดชาร์จไฟฟ้าจะอยู่ที่ด้านหลังฝั่งซ้ายของตัวรถ แม้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่สูงนัก แต่ยังรองรับการชาร์จแบบเร่งด่วนด้วย พร้อมระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นคุณสมบัติที่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปควรจะติดตั้งมาให้
INTERIOR ภายใน
ห้องโดยสารของ NETA V มีการออกแบบที่เน้นความเรียบง่าย ไม่มีปุ่มใช้งานแบบดั้งเดิมบนคอนโซลหน้า เพราะการใช้งานต่างๆ จะต้องทำผ่านหน้าจอหลักขนาด 14.6 นิ้ว ติดตั้งในแนวตั้ง หน้าจอมีความคมชัดที่น่าพอใจ การตอบสนองของระบบสัมผัสไม่มีการหน่วง แต่ก็ไม่ได้ฉับไวไหลลื่นเหมือนมือถือ หรือแทบเลทราคาแพง สิ่งที่ผู้ขับ หรือผู้ใช้งานต้องทำความคุ้นเคยในระยะแรก คือ ตำแหน่งของการใช้งานต่างๆ ไอคอนที่ทางผู้ผลิตออกแบบกลับอยู่ในตำแหน่งที่หาได้ยาก เช่น การปรับแต่งระบบปรับอากาศ หรือการใช้งานระบบไฟหน้า หากเป็นไปได้ควรออกแบบให้ระบบที่ถูกใช้งานเป็นประจำมีความสะดวกมากกว่านี้ ส่วนพวงมาลัยเป็นแบบ 2 ก้าน หักมุมด้านบน เพื่อให้ผู้ขับสามารถมองเห็นแผงหน้าปัดแบบดิจิทอลที่อยู่ข้างหน้า จอแผงหน้าปัดดังกล่าวมีขนาดค่อนข้างเล็ก แสดงข้อมูลที่จำเป็นของการขับขี่ และสถานะของแบทเตอรี และการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า การปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลไม่สามารถทำได้ นอกจากตัวเลขของบางหัวข้อ ส่วนคันเกียร์จะเป็นก้านใช้งานทางฝั่งขวา พร้อมปุ่มแบบมัลทิฟังค์ชันสำหรับควบคุมเครื่องเสียง และการรับสายโทรศัพท์มือถือ (จะอยู่ทางขวามือ) ขณะที่ปุ่มทางซ้ายมือใช้สำหรับปรับความเร็วของระบบครูสคอนทโรล
NETA V มีการออกแบบที่เรียบง่าย แต่สิ่งที่น่าพอใจ คือ ความกว้างขวางโดยรวม ด้านหน้านั่งได้สะดวกสบาย เบาะคู่หน้าทรงสปอร์ท ที่วางแก้วตรงกลางระหว่างเบาะมีขนาดใหญ่ เบาะด้านหลังมีพื้นที่ที่จำกัดกว่าด้านหน้า จากแนวหลังคาที่ลาดเท แต่ผู้โดยสารที่มีความสูงตามปกติสามารถนั่งได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ คุณภาพการประกอบโดยรวมทำได้ดีเกินคาด แม้วัสดุที่ใช้จะมีความเรียบง่าย หลายส่วนเป็นพลาสติคขึ้นรูป แต่การออกแบบที่ลงตัว ทำให้ห้องโดยสารยังคงดูดี ในรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย รองรับระบบ ANDROID AUTO และ APPLE CAR PLAY เสริมด้วยระบบจำลองหน้าจอมือถือเชื่อมต่อผ่านระบบ WI-FI จากมือถือ หรือสายเคเบิล โดยต้องเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชัน (ระบบจะไม่แสดงผลภาพเคลื่อนไหวในขณะที่รถเคลื่อนตัว) จุดที่เราสังเกต คือ ระบบปรับอากาศ ต้องตั้งอุณหภูมิไม่เกิน 24 องศาเซลเซียส (ตามที่แสดงผลบนหน้าจอ) หากมากกว่านั้นระบบจะเป่าลมอุ่นคล้ายฮีเตอร์ คาดว่าเป็นการปรับแต่งระบบปรับอากาศสำหรับประเทศเมืองหนาว เช่น ประเทศจีน
ENGINE เครื่องยนต์
NETA V ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 15.3 กก.-ม. ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า แบทเตอรีความจุ 38.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถแล่นได้ไกลสุดที่ 384 กม. (มาตรฐาน NEDC) แม้ตัวเลขแรงม้า และแรงบิด จะไม่หวือหวามากนัก แต่มอเตอร์ไฟฟ้ามีการตอบสนองที่ต่างจากเครื่องยนต์สันดาปแน่นอน เรามาทดสอบอัตราเร่งกัน โดยใช้ทั้งโหมด NORMAL และ SPORT จุดแตกต่างของแต่ละโหมด นอกเหนือจากพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้า ความเร็วสูงสุดก็แตกต่างกันด้วย โดยโหมด NORMAL มีความเร็วสูงสุดที่ประมาณ 100 กม./ชม. และการส่งกำลังแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่โหมด SPORT จะมีความเร็วสูงสุดที่ประมาณ 120 กม./ชม. และการส่งกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าจะฉับไวยิ่งขึ้น
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ของ NETA V ในโหมด NORMAL คือ 14.2 วินาที แต่พอเป็นโหมด SPORT จะฉับไวกว่าเดิมมาก และทำตัวเลขได้ที่ 10.8 วินาที ฉับไวกว่าเดิมหลายวินาทีเลยทีเดียว ! จัดว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่อัตราเร่งในโหมด SPORT เร้าใจพอตัว
อัตราเร่ง 0-1000 ม. รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ทำเวลาในโหมด NORMAL ที่ 40.2 วินาที (ที่ความเร็ว 106.8 กม./ชม.) ส่วนโหมด SPORT คือ 35.8 วินาที (ที่ความเร็ว 120.6 กม./ชม.) เมื่อทดสอบอัตราเร่งในช่วงตีนปลาย อัตราเร่งที่ฉับไวกว่าในช่วงแรก จนถึงความสูงสุดที่มากกว่า ทำให้โหมด SPORT ทำเวลาได้ดีกว่าหลายวินาทีเลยทีเดียว
อัตราเร่งยืดหยุ่นที่ความเร็ว 60-100 กม./ชม. ในโหมด NORMAL ทำเวลาได้ที่ 7.5 กม./ชม. ส่วนโหมด SPORT คือ 5.8 วินาที ขยับมาที่ช่วงความเร็ว 80-120 กม./ชม. โหมด SPORT คือ 8.3 วินาที (ไม่สามารถทดสอบกับโหมด NORMAL เพราะถูกลอคความเร็วสูงสุดเอาไว้)
จากอัตราเร่งในแต่ละหัวข้อ และการใช้โหมดที่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่า NETA V เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีสมรรถนะที่ดีเกินคาด หากให้สรุปง่ายๆ ก็คือ ในโหมด NORMAL อัตราเร่งช่วงตีนต้น และอัตราเร่งยืดหยุ่น จะเทียบกับรถยนต์ระดับอีโคคาร์ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร แต่พอเปลี่ยนมาใช้โหมด SPORT การตอบสนองจะฉับไวขึ้นมาก อัตราเร่งจะเทียบเท่ากับรถยนต์ระดับ บี-เซกเมนท์ ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตรนั่นเชียว อย่างไรก็ตาม ความเร็วสูงสุดที่ถูกลอคเอาไว้ที่ 100-120 กม./ชม. กว่าๆ ทำให้อัตราเร่งช่วงตีนปลายด้อยกว่ารถเครื่องยนต์สันดาป ใครที่ชอบขับที่ความเร็วสูงอาจไม่เหมาะกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ แต่ในแง่การใช้งานทั่วไปถือว่าเพียงพออย่างเหลือเฟือ แต่การใช้ความเร็วสูงคงที่ รวมถึงโหมด SPORT จะทำให้แบทเตอรีลดลงค่อนข้างเร็ว เป็นจุดที่ผู้ขับต้องพิจารณาด้วย คอยสังเกตระยะทางที่เหลืออยู่ให้ดี เพื่อประเมินการชาร์จไฟฟ้าได้อย่างเหมาะสม
SUSPENSION ระบบรองรับ
ระบบรองรับของ NETA V ถูกปรับแต่งให้เน้นความนุ่มนวล มีข้อดี คือ การขับขี่ในช่วงความเร็วต่ำ และแล่นผ่านพื้นผิวขรุขระ ระบบรองรับสามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้น่าพอใจมาก ซึ่งเป็นสภาพพื้นผิวถนนที่พบเจอได้ทั่วไปในบ้านเรา ขณะขับขี่ไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่มากเกินความเหมาะสม มีความสะดวกสบาย และควบคุมทิศทางได้ดี เมื่อใช้ความเร็วสูงบนทางด่วน (ที่ 110-120 กม./ชม.) NETA V ให้ความรู้สึกที่มั่นคงเกินคาด ไม่มีอาการโคลงไป/มา ขณะที่แล่นบนทางตรง ส่วนหนึ่งมาจากชุดแบทเตอรีที่ติดตั้งใต้พื้นรถ น้ำหนักของชุดแบทเตอรีทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ แม้ช่วงล่างจะนุ่มนวล และยังคงนิ่งในช่วงทางตรง อย่างไรก็ตาม ขณะเข้าโค้งควรใช้ความเร็วที่เหมาะสม อาการโคลงของตัวรถยังมีให้สัมผัส บุคลิกของตัวรถไม่เน้นความหวือหวาอยู่แล้ว (แม้อัตราเร่งจะฉับไวเกินคาด !) ส่วนระบบความปลอดภัยติดตั้งมาให้พอสมควร เช่น ระบบครูสคอนทโรล ระบบควบคุมเสถียรภาพตัวรถ ระบบจัดการอุณหภูมิของแบทเตอรี ระบบตรวจความผิดปกติของแรงดันลมยาง (ไม่สามารถระบุเป็นตัวเลขตรงๆ ได้)
ราคาไม่เกิน 6 แสนบาท ที่แสนคุ้มค่า
NETA V เดิมถูกตั้งราคาเอาไว้ที่ 549,000 บาท ก่อนที่อีกไม่นานถูกเพิ่มราคาเป็น 599,000 บาท ทางค่ายผู้จัดจำหน่ายในบ้านเราเพิ่งมีการเซ็น MOU เพื่อสิทธิ์การสนับสนุนราคาของตัวรถ พร้อมแผนงานการผลิตในประเทศในอนาคตอันใกล้ ถึงอย่างนั้นเรามีความรู้สึกว่า รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้มีความคุ้มค่าที่ยอดเยี่ยม คุณสมบัติที่ควรจะมีของรถยนต์ไฟฟ้าก็เกือบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นระบบจ่ายไฟฟ้าสู่ภายนอก การแล่นได้สูงสุดกว่า 300 กม. รองรับการชาร์จแบบเร่งด่วน สมรรถนะที่ดีเกินคาด เพียงเท่านี้ก็สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลาย เพียงพอตามลักษณะการใช้งานของคนไทยส่วนใหญ่ กับศูนย์บริการที่เตรียมเปิดตัวอีกหลายสาขา เชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ ของผู้ที่มีงบประมาณจำกัด แต่อยากได้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีความคุ้มค่า NETA V คันนี้ตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน