ทดสอบ(formula) 30 May 2021
MG HS PHEV
MG จัดเป็นค่ายรถจากแดนมังกร (ผสมสัญชาติอังกฤษ) ที่สร้างกระแสได้มากมายในบ้านเรา หนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผล คือ การนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ในรถยนต์หลายรุ่น ภายใต้ราคาที่โดนใจ และครอสส์โอเวอร์ทีได้รับการตอบรับดีมาก คือ ครอสส์โอเวอร์รุ่น HS กับขนาดที่ใหญ่โต รูปทรงสวย ตอนนี้ก็ได้เวลาสานต่อความสำเร็จกับอีกหนึ่งทางเลือก นั่นคือ HS PHEV รถยนต์พลัก-อิน ไฮบริด ที่มีราคาในระดับ 1 ล้านบาทต้นๆ เท่านั้น !
EXTERIOR ภายนอก
รูปทรงภายนอกของ MG HS PHEV (เอมจี เอชเอส พีเอชอีวี) ยังคงดูคุ้นเคยจากที่เห็นกันมาจากรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ของ HS (เอชเอส) ตัวรถมีความใหญ่โต เน้นเส้นสายที่พลิ้วไหว ด้านหน้าใช้กระจังหน้าขนาดใหญ่ แบบสะท้อนแสงระยิบระยับ ดูหรูหราไม่น้อย ไฟหน้าขนาดใหญ่แบบแอลอีดี มีระบบไฟเลี้ยวแบบเรียงตัวด้านข้างเมื่อเปิดใช้งาน มีความลงตัวพอสมควร แต่จุดสังเกต คือ ความแตกต่างของรุ่น HS PHEV (เอชเอส พีเอชอีวี) กับรุ่น HS ไม่ชัดเจนมากนัก นอกเหนือจากล้อแมกที่มีลวดลายแตกต่างกันเล็กน้อย (ขนาด 18 นิ้ว เท่ากันด้วย) เราคิดว่าถ้าให้ล้อแมกขนาด 19 นิ้วมาเลย น่าจะเสริมมาดสปอร์ทของตัวรถได้มากกว่านี้ และน่าจะเสริมชุดตกแต่งตัวถังให้มีความแตกต่างจากรุ่น HS ปกติ จากการใช้ระบบพลัก-อิน ไฮบริด และค่าตัวที่มากกว่า จุดบ่งบอกมีเพียง ป้ายสัญลักษณ์ของ HS PHEV ที่ส่วนท้ายของรถเท่านั้น
INTERIOR ภายใน
จุดเด่นของสายพันธุ์ MG HS ยังมีอยู่ในรุ่น PHEV นั่นคือ ความกว้างขวางของห้องโดยสารที่มีให้เหลือเฟือ เกินราคาค่าตัว เทียบชั้นกับครอสส์โอเวอร์สไตล์ เอสยูวี ราคาแพงกว่าได้สบาย นอกจากนี้ยังเสริมความโปร่งโล่งให้กับห้องโดยสาร ด้วยหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิค เบาะนั่งด้านหน้าทรงสปอร์ท ตัวพนักพิงหลัง และพนักศีรษะเป็นชิ้นเดียวกัน คอนโซลด้านหน้าออกแบบได้หรูหรา จอแสดงผลขนาดใหญ่ รวมถึงแผงหน้าปัดแบบดิจิทอล หน้าจอมีความละเอียดสูง สีสันคมชัด และยังสามารถเปลี่ยนโหมดการแสดงผลได้หลากหลาย ผสมความทันสมัยได้ดี จุดแตกต่างของรุ่น PHEV คือ ทางเลือกของสีภายในห้องโดยสาร มีแบบสีทูโทน สีขาวนวลผสมสีฟ้า ให้ความรู้สึกล้ำสมัยในตัว โดยมีสีโทนสีดำสนิทเป็นอีกหนึ่งทางเลือก (ตามแต่สีของตัวถังภายนอกด้วย)
แม้เป็นครอสส์โอเวอร์ขนาดใหญ่ แต่มาดสปอร์ทของ HS PHEV ก็มีให้สัมผัสอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยทรงสปอร์ท หักมุมด้านล่างเล็กน้อย และยังมีปุ่มสำหรับโหมด SUPER SPORT อยู่ด้านในของพวงมาลัย กดใช้งานได้สะดวกตามต้องการ มีสีแดงสดชัดเจน เบาะนั่งคู่หน้าเน้นความกระชับสรีระ ขณะที่เบาะหลังเป็นทรงเรียบ นั่งได้สบาย การตัดเย็บมีความประณีตดีมาก รวมถึงชุดแผงข้างประตูด้านในที่ใช้วัสดุหนังแท้ ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน จุดแตกต่างของรุ่น PHEV อยู่ที่ปุ่มใช้งานระบบไฮบริดต่างๆ เช่น โหมดการขับเคลื่อน และจอภาพบนคอนโซลหน้าสามารถแสดงผลการทำงานของระบบไฮบริด รวมถึงสถานการณ์ชาร์จประจุไฟฟ้าอีกด้วย (สามารถดูระดับการชาร์จจากแอพพลิเคชันได้เช่นกัน นับว่าทันสมัย และสะดวกสบายต่อผู้ใช้งานไม่น้อย) ในแง่ของระบบความบันเทิง ติดตั้งชุดเครื่องเสียงของ BOSE รวมถึงระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เนทที่เป็นจุดเด่นของค่ายรถ MG สามารถฟังเพลงแบบออนไลน์ของ TRUE MUSIC แม้รายการเพลงที่มีให้เลือกจะไม่มากเท่าแอพพลิเคชันเพลงออนไลน์อย่าง JOOX หรือ SPOTIFY ก็ตามที นอกจากนี้ระบบใช้งาน รองรับการสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยของ I-SMART ติดตั้งมาให้ในตัว การรับคำสั่งด้วยเสียงมีความแม่นยำมากกว่ารุ่นอื่นๆ ก่อนหน้านี้อยู่บ้าง แต่ยังคงเป็นจุดที่ต้องทำความคุ้นเคยในช่วงแรกที่ใช้งาน
ENGINE เครื่องยนต์
มาถึงจุดเด่นที่แท้จริงของ MG HS PHEV นั่นคือ เครื่องยนต์ระบบพลัก-อิน ไฮบริด ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 1.5 ลิตร ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง กำลังสูงสุด 162 แรงม้า ส่งกำลังร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 122 แรงม้า คิดเป็นกำลังสูงสุดทั้งระบบที่ 284 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ โดย 6 จังหวะเป็นของเครื่องยนต์สันดาป และอีก 4 จังหวะเป็นของชุดมอเตอร์ไฟฟ้า นับว่าน่าแปลกใจไม่น้อย เพราะปกติแล้วมอเตอร์ไฟฟ้าจะขับเคลื่อนด้วยเกียร์เพียง 1 จังหวะตามลักษณะของรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า ทั้งหมดที่ว่ามาส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า (แม้ในจีนมีทางเลือกระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาด้วย) ส่วนแบทเตอรีมีความจุถึง 16.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง นับว่ามีความจุที่มากพอสมควร ไม่แพ้รถยนต์สัญชาติยุโรปแบบพลัก-อิน ไฮบริด ราคา 2-3 ล้านบาทขึ้นไป !
คู่เปรียบเทียบด้านสมรรถนะ เรานำรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ขนาดตัวใกล้เคียงกัน (แต่ราคาแพงกว่าหลายแสนบาท) นั่นคือ MAZDA CX-5 (มาซดา ซีเอกซ์-5) รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล XDL (เอกซ์ดีแอล) กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา และอีกหนึ่งครอสส์โอเวอร์สไตล์ เอสยูวี แบบพลัก-อิน ไฮบริด นั่นคือ MITSUBISHI OUTLANDER PHEV (มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี) ระบบไฮบริดกำลังสูงสุดทั้งระบบถึง 305 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาเช่นกัน
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. HS PHEV ออกตัวที่ 9.8 วินาที ส่วน CX-5 XDL ทำเวลาได้ที่ 9.7 วินาที และ OUTLANDER PHEV คือ 9.9 วินาที แสดงให้เห็นว่าบรรดาครอสส์โอเวอร์ขนาดใหญ่ แรงบิดสูง ต่างก็มีอัตราเร่งที่สูสีกันมาก แม้ HS PHEV จะขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าก็ตาม แต่การตอบสนองของคันเร่งมีความรวดเร็ว แทบไม่รู้สึกถึงการส่งกำลังของเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า
ส่วนอัตราเร่งระยะ 0-1,000 ม. รถของทาง MG ทำเวลาที่ 30.2 วินาที (ที่ความเร็ว 185.5 กม./ชม.) ขณะที่ทาง MAZDA คือ 31.1 วินาที (ที่ความเร็ว 168.9 กม./ชม.) และ MITSUBISHI มีตัวเลข คือ 31.2 วินาที (ที่ความเร็ว 170.7 กม./ชม.) จะเห็นได้ว่าความเร็วตีนปลายของ HS PHEV ทำได้ดีกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นที่นำมาเปรียบเทียบ จากเครื่องยนต์พ่วงเทอร์โบพละกำลังสูง และระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ อย่างไรก็ตาม เรามีความรู้สึกว่าการส่งกำลังของเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าในบางครั้งยังไม่ราบเรียบเท่าที่ควร แม้ไม่ส่งผลกับอัตราเร่ง แต่ผู้ขับพอรู้สึกได้ นอกจากนี้การทดสอบของเราใช้โหมดขับเคลื่อนแบบปกติ ยังไม่ได้กดใช้โหมด SUPER SPORT
อัตราเร่งยืดหยุ่นที่ความเร็ว 60-100 และ 80-120 กม./ชม. HS PHEV ทำเวลาได้ที่ 4.5 และ 5.7 วินาที ตามลำดับ ขณะที่ทาง CX-5 XDL คือ 4.9 และ 6.3 วินาที และ OUTLANDER PHEV มีตัวเลขที่ 5.4 และ 7.0 วินาที เราพบว่าการตอบสนองของ HS PHEV ทำได้ฉับไวไม่น้อย จากพละกำลังที่มาก การเปลี่ยนจังหวะเกียร์อาจไม่ราบเรียบเสียทีเดียว แต่ยังสามารถไต่ความเร็วได้ทันใจ ทำให้มีความโดดเด่นในแง่ของอัตราเร่ง แม้ไม่ถึงกับกระแทกกระทั้น แต่ปลดปล่อยพละกำลัง และแรงบิดได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่เช่นนี้ ถือเป็นครอสส์โอเวอร์แบบพลัก-อิน ไฮบริดที่มีสมรรถนะเกินตัวไม่น้อย
ส่วนการประหยัดเชื้อเพลิง แม้เราไม่ได้ทดสอบออกมาเป็นตัวเลขโดยตรง ทางผู้ผลิตระบุว่าระยะทำการสูงสุดเมื่อชาร์จแบทเตอรีเต็ม คือ 67 กม. แต่คาดว่าการใช้งานจริงบนท้องถนนอาจน้อยกว่านั้น อย่างไรก็ตามจุดเด่น คือ การใช้งานระบบไฟฟ้าอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยช่วยประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงได้พอสมควร แต่หากเป็นการใช้งานแบบหมุนเวียนพลังงานไฟฟ้า ต้องอาศัยการสร้างกระแสไฟฟ้าจากเครื่องยนต์สันดาป อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอาจสูงขึ้น
SUSPENSION ระบบรองรับ
แม้เป็นรถยนต์ที่มีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ แต่ HS PHEV ก็มีความหนึบแน่นที่น่าพอใจ เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของ MG ที่ทำได้ดีแทบทุกรุ่น พวงมาลัยมีน้ำหนักที่พอเหมาะ ในโหมดปกติจะเน้นความนุ่มนวล ส่งกำลังต่อเนื่อง หากต้องการความฉับไว และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นสามาถเลือกโหมดการขับขี่แบบอื่นได้ ขณะที่ระบบรองรับมีการปรับแต่งที่หนึบดี แต่ไม่แข็งกระด้าง การขับขี่ทั่วไปถือว่ารองรับได้สบาย หากขับขี่แบบเน้นสมรรถนะเต็มตัว หักเลี้ยวต่อเนื่อง อาจมีอาการโคลงให้สัมผัสมากขึ้นตามลักษณะของตัวรถ แต่โดยรวมแล้วยังคงเป็นครอสส์โอเวอร์ที่ขับสนุกอย่างน่าพอใจ แต่หากเพิ่มขนาดล้อแมกเป็น 19 นิ้ว และยางที่เหมาะสม อาจได้ประโยชน์เรื่องความมั่นคงขณะขับขี่ได้อีก
ความล้ำสมัยในราคาที่ยั่วใจ
MG ยังคงมีไม้เด็ดอีกครั้ง กับรถยนต์ที่ล้ำสมัย ระบบขับเคลื่อนพลัก-อิน ไฮบริด ภายใต้ราคาที่ย่อมเยาเหลือเชื่อที่ 1,359,000 บาท (เทียบกับ MG HS รุ่นปกติ มีราคาที่ 919,000-1,119,000 บาท) แม้จะแพงกว่ากันพอประมาณ แต่เทียบกับระบบขับเคลื่อนที่ทันสมัย สามารถชาร์จไฟฟ้าได้ ถือว่ามีความน่าสนใจมากๆ เพราะในแง่ของระบบพลัก-อิน ไฮบริด มักจะอยู่ในรถยนต์สัญชาติยุโรป ราคาเกินกว่า 2-3 ล้านบาทขึ้นไปทั้งนั้น โดยสมรรถนะของ HS PHEV มีความฉับไว (แม้บางครั้งระบบส่งกำลังจะมีจังหวะสะดุดเล็กน้อย) ห้องโดยสารกว้างขวาง ระบบเชื่อมต่อทันสมัย สมกับไลฟ์สไตล์ยุคปัจจุบัน หากรถยนต์ไฟฟ้ายังดูไกลตัว และไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ทางเลือกแบบพลัก-อิน ไฮบริด ราคาเหมาะสม ดูจะเป็นทางเลือกที่สมดุลไม่น้อย !