ทดสอบ(formula) 25 Jul 2019
นิสสัน ลีฟ
วงการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเริ่มมีความคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในตลาดโลก รวมถึงบ้านเรา ตัวเลือกมีมากมาย หลากหลายระดับราคา แต่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ “ยืนหนึ่ง” ในแง่ของยอดจำหน่าย ต้องยกให้ นิสสัน ลีฟ สานต่อความสำเร็จกับทายาทรุ่นที่ 2 จะมีสมรรถนะทันใจแค่ไหน ? รวมถึงการขับขี่โดยรวม มาติดตามไปพร้อมกัน
EXTERIOR ภายนอก
นิสสัน ลีฟ รุ่นล่าสุด ยังคงรักษารูปแบบความเป็นรถยนต์สไตล์แฮทช์แบคเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ เส้นสายมีความเฉียบคมกว่าเดิม ทันสมัย แลดูคุ้นตาเหมือนรถยนต์ทั่วไป นับเป็นเรื่องที่ดีในแง่ของการเป็นรถยนต์ที่ใช้งานในวงกว้าง ไม่จำเป็นต้องออกแบบให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีภาพลักษณ์ของรถยนต์อนาคต หรือแนวทางรักษ์โลกมากจนเกินไป ตัวถังเสริมสเกิร์ทรอบคัน ไฟหน้าทรงเหลี่ยมเฉียงแบบแอลอีดี พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน และไฟตัดหมอก โดยรวมแล้วให้ความรู้สึกสปอร์ทกว่าเดิมพอสมควร
ในแง่ของมิติตัวถัง ถือว่ามีขนาดตัวที่พอเหมาะกับการใช้งานทั่วไป ความยาว 4,480 มม. และระยะฐานล้อ 2,700 มม. เทียบได้กับแฮทช์แบคระดับ ซี-เซกเมนท์ เช่น ฮอนดา ซีวิค แฮทช์แบค เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม การเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าต้องคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ยางที่ใช้จึงเน้นการประหยัดเชื้อเพลิง นั่นคือ ดันลอพ เอนาเซฟ แต่มีขนาดที่พอเหมาะ 215/50 R17
INTERIOR ภายใน
ห้องโดยสารของ นิสสัน ลีฟ เน้นความเรียบง่าย การตกแต่งโดยรวมมีความใกล้เคียงกับรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไป จุดที่ดูแตกต่างอย่างชัดเจน คือ บริเวณรอบคอนโซลเกียร์ คันเกียร์ที่ปกติจะเป็นแท่งขึ้นมา ถูกเปลี่ยนให้เป็นแป้นโค้งทรงแบน มีปุ่มตรงกลางสำหรับโหมดขณะจอดรถ การเปลี่ยนเกียร์ถอยต้องขยับแป้นมาทางขวา และผลักขึ้นด้านบน เกียร์ว่างใช้การขยับมาทางขวาเท่านั้น ขณะที่เกียร์ขับเคลื่อนใช้การขยับมาทางขวา และผลักลงมา ส่วนโหมดแบบเน้นแรงหน่วงสำหรับการชาร์จแบทเตอรีจะต้องขยับทางขวาอีกทีหลังจากเข้าเกียร์ขับเคลื่อน แม้รูปแบบจะแตกต่างจากเกียร์อัตโนมัติทั่วไปอยู่บ้าง แต่สามารถทำความคุ้นเคยได้ไม่ยาก จุดที่น่าเสียดาย คือ รูปแบบของคอนโซลหน้า รวมถึงชุดเครื่องเสียง ไม่โดดเด่นเท่าใดนัก จอแสดงผลมีขนาดเล็ก ไม่มีระบบเนวิเกเตอร์ รวมถึงปุ่มใช้งานระบบปรับอากาศยังดูไม่ทันสมัยนัก เมื่อเทียบกับราคาของตัวรถที่เกือบ 2,000,000 บาทเช่นนี้
หันมาที่แผงหน้าปัด ยังคงเน้นความเรียบง่าย มาตรวัดความเร็วแบบแอนาลอกทางฝั่งขวา โดยฝั่งซ้ายเป็นหน้าจอแบบดิจิทอล แสดงผลรูปแบบการส่งกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้า ได้แก่ กำลังชาร์จไฟฟ้ากลับมาใช้งาน การขับขี่แบบประหยัดเชื้อเพลิง และการขับแบบเน้นสมรรถนะ ตรงกลางเป็นตัวเลขแบบดิจิทอล บอกระยะที่สามารถแล่นได้จากระดับแบทเตอรีที่เหลืออยู่ รวมถึงโหมดการขับขี่แบบต่างๆ
แม้เป็นรถยนต์พลังงานที่ีเน้นการใช้งานทั่วไป แต่ทาง นิสสัน ยังคงเสริมแต่งด้านความสปอร์ทให้รถพลังงานไฟฟ้ารุ่นนี้เช่นกัน เห็นได้จากรูปทรงของพวงมาลัยที่หักมุมด้านล่าง คล้ายรถสปอร์ทพันธุ์แท้ และยังมีข้อดี คือ พวงมาลัยไม่ใกล้กับขาของผู้ขับมากเกินไป ขณะที่เบาะคู่หน้าโอบสรีระพอประมาณ นั่งได้สบาย กว้างขวางเพียงพอ ส่วนเบาะด้านหลังมีตำแหน่งการนั่งต่ำลงมาเล็กน้อย พนักพิงหลังทำมุมเอนได้พอเหมาะ แต่ไม่สามารถปรับระดับได้ เพิ่มพื้นที่ใช้สอยด้วยการพับเก็บแบบ 60:40 เมื่อพับเก็บลงมาแล้วตัวเบาะไม่ได้ราบต่อเนื่องในระดับเดียวกับพื้นรถ แต่มีพื้นที่เก็บสัมภาระที่น่าพอใจมาก เนื่องจากการออกแบบให้ชุดแบทเตอรีอยู่ข้างใต้ทั้งหมด
ENGINE เครื่องยนต์
นิสสัน ลีฟ คือ รถพลังงานไฟฟ้าขนานแท้ ไม่มีรูปแบบขุมพลังอื่นๆ นอกจากการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,283-9,795 รตน. (การหมุนของมอเตอร์ไฟฟ้า) และแรงบิดสูงสุด 32.6 กก.-ม. ที่ 0-3,283 รตน. ไม่มีระบบเกียร์ส่งกำลังเหมือนรถยนต์ทั่วไป จุดเด่น คือ แรงบิดที่ปล่อยออกมาตั้งแต่ทันที ที่กดคันเร่ง มีให้ใช้งานทันทีทันใด ทำให้การตอบสนองของอัตราเร่ง ทำได้ดีมาก โดยเฉพาะอัตราเร่งขณะออกตัว แรงดึงแบบ “หลังติดเบาะ” เกิดขึ้นแทบจะพร้อมกับการกดคันเร่งของผู้ขับ พิสูจน์ได้ว่า รถพลังงานไฟฟ้ารุ่นนี้มีความเร้าใจเกินคาด
อัตราเร่งของรถพลังงานไฟฟ้า ต้องเทียบกับรถประเภทเดียวกัน ที่เราเคยทดสอบมาแล้ว กับอีกหนึ่งคู่แข่งสไตล์แฮทช์แบค แต่แตกต่างที่สัญชาติ คือ ค่ายรถจากประเทศเกาหลีใต้ กับ ฮันเด ไอโอนิก อีเลคทริค กำลังสูงสุด 120 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 30.1 กก.-ม. ถือว่าแรงบิดใกล้เคียงกัน
อัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. นิสสัน ลีฟ ทำได้ที่ 3.7 วินาที ส่วน ฮันเด ไอโอนิก อีเลคทริค อยู่ที่ 4.1 วินาที เรานำอัตราเร่งตีนต้นในส่วนนี้มานำเสนอเพื่อแสดงให้เห็นถึงความฉับไวในแบบฉบับของมอเตอร์ไฟฟ้า ทั้ง 2 รุ่น ต่างก็มีความสูสีกันมาก ถัดมา คือ อัตราเร่งตีนต้นในแบบที่คุ้นเคย นั่นคือ 0-100 กม./ชม. ลีฟ คือ 9.2 วินาที ส่วน ไอโอนิก อีเลคทริค ทำได้ที่ 10.3 วินาที พละกำลังที่มากกว่าของ ลีฟ เริ่มมีความได้เปรียบเมื่อความเร็วสูงขึ้น ตัวเลขของอัตราเร่งมีความแตกต่างกันมากขึ้น แต่ยังถือเป็นอัตราเร่งที่ทำได้ดี เทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 2.4-2.5 ลิตร เลยทีเดียว
บุคลิกที่โดดเด่นของรถพลังงานไฟฟ้าแสดงออกมาให้เห็นในช่วงความเร็วตีนต้น แต่มีหนึ่งบุคลิกที่แสดงให้เห็นในช่วงความเร็วสูง กับระยะ 0-1,000 ม. นิสสัน ลีฟ ทำเวลาออกมาได้ที่ 31.4 วินาที (ที่ความเร็ว 149.7 กม./ชม.) ขณะที่ ฮันเด ไอโอนิก อีเลคทริค อยู่ที่ 32.0 วินาที (ที่ความเร็ว 164.1 กม./ชม.) รายละเอียดที่เราพบ คือ ความเร็วสูงสุดของ ลีฟ ถูกจำกัดเอาไว้ที่ประมาณ 150 กม./ชม. (ความเร็วจริง) ในระยะ 1,000 ม. รถพลังงานไฟฟ้ารุ่นนี้สามารถไต่ถึงช่วงความเร็วสูงสุดตั้งแต่ระยะ 600 ม. แล้ว แต่เวลาที่ทำได้ คือ การแล่นที่ความเร็วสูงสุดคงที่ในระยะที่เหลือจนถึงปลายทาง คือ 1,000 ม. ขณะที่ทาง ไอโอนิก อีเลคทริค ทำเวลาได้ใกล้เคียงกัน เนื่องจากมีความเร็วตีนปลายที่ได้เปรียบกว่า สามารถไต่ความเร็วเกินกว่า 160 กม./ชม. หากมีระยะทางมากกว่านี้ มีโอกาสสูงที่รถพลังงานไฟฟ้าของ ฮันเด จะอาศัยความเร็วตีนปลายแซงคืนแฮทช์แบคจากทาง นิสสัน ได้
สุดท้าย คือ อัตราเร่งยืดหยุ่น 60-100 และ 80-120 กม./ชม. นิสสัน ลีฟ ทำได้ที่ 4.5 และ 5.9 วินาที การตอบสนองของคันเร่งยังคงฉับไวไม่แพ้ช่วงออกตัว ตัวเลขอัตราเร่งทำได้เทียบเท่ารถสปอร์ทบางรุ่นของเครื่องยนต์สันดาปด้วยซ้ำไป เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่สามารถนำมาใช้งานได้ขณะเร่งแซง ในแง่ของการใช้งานทั่วไป ขณะที่ ฮันเด ไอโอนิก อีเลคทริค ทำตัวเลขได้ที่ 5.2 และ 7.1 วินาที นับว่าใกล้เคียงกันมากในช่วงความเร็วต่ำ แต่ถูกยืดระยะห่างอีกนิดในช่วงความเร็วสูงขึ้น
นิสสัน ลีฟ ความจุแบทเตอรี 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง มีระยะทำการสูงสุดที่ 311 กม. (เมื่อชาร์จแบทเตอรีเต็ม และการขับขี่ที่เหมาะสม) ขณะที่ ฮันเด ไอโอนิก อีเลคทริค มีความจุแบทเตอรีที่ 28 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระยะทำการสูงสุด คือ 280 กม. ถือว่าทาง นิสสัน มีความได้เปรียบเล็กน้อย
SUSPENSION ระบบรองรับ
รถรุ่นนี้มีจุดเด่น คือ ระบบ อี-เพเดิล (E-PEDAL) โหมดขับขี่ที่เน้นการใช้แรงหน่วงจากการชะลอความเร็ว แปรผันมาเป็นพลังงานไฟฟ้านำมาใช้งาน โหมดดังกล่าวจะหน่วงความเร็วลงมามาก เมื่อผู้ขับถอนเท้าจากคันเร่ง ตัวรถจะชะลอความเร็วลงมาค่อนข้างเร็ว เทียบเท่าการกดแป้นเบรค จนกระทั่งรถยนต์สามารถจอดสนิท หากผู้ขับทำความคุ้นเคย และสามารถกะแรงหน่วงจากการถอนเท้าจากแป้นคันเร่งในโหมดนี้ได้ดี การขับขี่อาจไม่ต้องใช้แป้นเบรคเลยด้วยซ้ำ และขณะหน่วงความเร็วด้วยระบบดังกล่าว ไฟเบรคจะยังคงทำงานอยู่ มั่นใจได้เรื่องความปลอดภัย
นิสสัน ลีฟ รุ่นที่ 2 มีภารกิจสานต่อความสำเร็จจากรุ่นแรกที่ไม่ง่ายแม้แต่น้อย จากตัวเลือกที่มากขึ้นในท้องตลาดของบ้านเรา กับราคาที่ 1,990,000 บาท ถือว่าสูงพอประมาณแต่หลังจากการทดสอบสมรรถนะ และการขับขี่โดยรวม ถือว่ารถยนต์รุ่นนี้ “สอบผ่าน” สำหรับคนที่ต้องการเข้าสู่ยุคของยานยนต์ในอนาคตก่อนใคร มีจุดน่าเสียดายอยู่บ้าง คือ ระบบความบันเทิง และระบบความปลอดภัยที่น่าจะครบครันกว่านี้ จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจได้มาก