เรื่องเด่น Quattroruote
TOYOTA LAND CRUISER ตัวลุยจากแดนอาทิตย์อุทัย
เมื่อมองตรงๆ จากด้านหน้า กับไฟหน้าทรงกลมแบบนี้ คุณอาจเผลอนึกว่าเป็นคู่แข่งตัวลุยอย่าง LAND ROVER DEFENDER (แลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์) ก็เป็นได้ และในความเป็นจริง จุดร่วมระหว่าง LAND CRUISER และ LAND ROVER รุ่นดังจากอังกฤษนั้นมีอยู่พอสมควร อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ประวัติของ DEFENDER ค่อนข้างเรียบง่าย จากรถลุยเพื่อการผจญภัยในช่วงปี 1948 ถึง 2016 ก่อนจะกลายเป็นเอสยูวีหรูในปี 2019 ประวัติของ LAND CRUISER กลับซับซ้อนกว่านั้น และจำเป็นต้องขุดลึกเพื่อให้เข้าใจที่มาที่ไปของตัวลุยรุ่นนี้อย่างชัดเจน ซึ่งคุณสามารถดูแผนผังลำดับตระกูลของ LAND CRUISER ได้ในหน้าถัดๆ ไป
ความแตกต่างจากบแรนด์สัญชาติอังกฤษที่ยึดมั่นในแนวทางการพัฒนารถยนต์รุ่นเดียวไปเรื่อยๆ TOYOTA กลับพัฒนา LAND CRUISER ออกมาเป็นหลายสายพันธุ์ตั้งแต่ศตวรรษที่แล้ว พร้อมทางเลือกที่หลากหลาย และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองผู้ใช้งานกว่า 170 ประเทศทั่วโลก
รถยนต์ที่เราทดสอบในครั้งนี้ เป็นทายาทของกลุ่ม “LIGHT DUTY” ซึ่งถือกำเนิดในช่วงกลางยุค 80 เมื่อรถขับเคลื่อน 4 ล้อไม่ได้มีไว้แค่ใช้งานลุย แต่กลายเป็นเครื่องแสดงสถานะด้วย หนึ่งในนั้น คือ LAND CRUISER รุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศอิตาลี ซึ่งในบางตลาดรู้จักกันในชื่อ PRADO (ปราโด) และเป็นรุ่นที่หลังจากซีรีส์ 150 ในปี 2009 ก็ไม่มีรุ่นใหม่ออกมาอีกเลยจนกระทั่งปีที่แล้ว
ในที่สุด ตัวลุยที่คุ้นเคยก็กลับมาทำตลาดอีกครั้ง พร้อมชื่อรุ่น FIRST EDITION ซึ่งเป็นรุ่นเปิดตัวสุดพิเศษ (และจำหน่ายหมดแล้ว) อยู่เหนือรุ่นย่อย ADVENTURE และ LOUNGE ในแง่ของอุปกรณ์ และราคา แม้จะต่างกัน แต่โครงสร้างหลักยังเหมือนเดิม นั่นคือ โครงสร้างตัวถังแบบบันได เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.8 ลิตร ที่เน้นความทนทานมากกว่าพละกำลัง (พร้อมรุ่นเครื่องยนต์แบบไฮบริดขนาดเล็กที่จะเปิดตัวช่วงปลายปี) และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบครบชุด ทั้งเกียร์ต่ำ และระบบควบคุมการส่งกำลังของชุดเพลาขับตรงกลาง และด้านหลัง
โดยรวมแล้ว LAND CRUISER รุ่นนี้เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างความแกร่งแบบ INEOS GRENADIER (อีเนออส กเรนาเดียร์) และความหรูหราแบบ DEFENDER รุ่นใหม่ รถรุ่นนี้นำเอาความดิบห้าวแบบดั้งเดิมจากรุ่นแรกมารวมกับเสน่ห์แบบ “เข้าถึงง่าย” จากรุ่นหลัง ที่พร้อมลุยโดยไม่ต้องใช้ทักษะมาก เพียงแค่กดปุ่มไม่กี่ปุ่ม ระบบก็พร้อมจัดการให้คุณหมด
แอนาลอก ชนะดิจิทอล 1-0
ทีมงานของเราเคยขับตัวลุยรุ่นนี้มาแล้วที่ประเทศโมรอคโคช่วงปลายปีที่แล้ว และเมื่อได้ลองอีกครั้งที่สนาม VAIRANO เมื่อไม่กี่วันก่อน ความรู้สึกก็ยังเหมือนเดิม นั่นคือ ความรู้สึกที่น่าพอใจจากเบาะคนขับ เบาะนั่งสูงจนต้องจับมือจับ และเหยียบบันไดข้างขึ้นไป แต่พอขึ้นไปนั่งแล้วกลับให้ความรู้สึกคล้ายขับรถยนต์แบบสเตชันแวกอนมากกว่าเอสยูวี
ทัศนวิสัยของการมองเห็นโดยรวมก็ดีเยี่ยม แม้เสาเอจะมีรูปทรงหนาแต่ไม่บดบังมุมมอง และฝากระโปรงหน้ารถก็มีปุ่มนูน 2 ข้างที่ช่วยให้ผู้ขับกะระยะสิ่งกีดขวางได้ง่าย แผงควบคุมก็เน้นการใช้งานจริง ปุ่มใช้งานแบบดั้งเดิมมีให้มากมาย วางในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวก และตอบสนองได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการปรับอุณหภูมิที่นั่ง หรือการเปิดระบบช่วยลุยต่างๆ
ในส่วนระบบใช้งานแบบดิจิทอล อาจจะดูน้อยเกินไปในสายตาบางคน แต่สำหรับเราถือว่าเป็นข้อดี เพราะระบบที่มีอยู่ก็ยังต้องปรับปรุง จอมาตรวัดดิจิทอลควบคุมค่อนข้างยากด้วยปุ่มต่างๆ บนพวงมาลัย ส่วนระบบความบันเทิงแม้ฟังค์ชันจะครบ แต่การออกแบบอินเตอร์เฟศยังไม่ใช่มาตรฐานด้านความชัดเจน ยกเว้นหน้าจอสำหรับการขับออฟโรดที่ออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยม
ภายในห้องโดยสารกว้างขวางมาก เบาะด้านหลังรองรับผู้โดยสาร 3 คนได้สบาย พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระถึง 600 ลิตร และมีหน้าต่างท้ายที่เปิดแยกได้ เพิ่มความสะดวกมากขึ้น
ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ 4 สูบ แม้จะมีเสียงให้ได้ยินชัด โดยเฉพาะตอนเครื่องยนต์ยังเย็นอยู่ แต่ยังให้อัตราเร่งที่เรียบเนียน และแรงบิดดีเยี่ยมที่ 500 นิวทันเมตร/51.0 กก.ม. จนแทบไม่รู้สึกว่าขาดพละกำลังขณะขับเคลื่อนเลย จุดด้อยที่สังเกตได้บ้างเมื่อนำไปเทียบกับคู่แข่งที่ใช้เครื่อง 6 สูบ คือ การส่งกำลังที่ไหลลื่น และเสียงเครื่องยนต์ไพเราะกว่า
ระบบเกียร์อัตโนมัติก็ด้อยกว่าของ ZF อย่างเห็นได้ชัด มีอาการลื่นไถลของทอร์คคอนเวอร์เตอร์มากไปหน่อย ซึ่งแม้จะช่วยให้ขับขี่บนทางสมบุกสมบันนุ่มนวลขึ้น แต่บนทางเรียบกลับทำให้รู้สึกไม่กระชับเท่าที่ควร
สิ่งที่บ่งบอกว่า LAND CRUISER เป็นตัวลุยขนานแท้ คือ พวงมาลัยมีอัตราทดสูงมาก (หมุนสุดจากฝั่งซ้ายไปขวา คือ 3.3 รอบ) แต่ยังถือว่าค่อนข้างแม่นยำ ตัวรถไม่สั่นโคลงตามแบบฉบับของรถยนต์ที่วางตัวถังบนแชสซีส์มากนัก กลับให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับตัวถังโมโนคอกมากกว่า ระบบรองรับแม้จะกระด้างเล็กน้อยเมื่อแล่นผ่านหลุมใหญ่ แต่กลับนุ่มสบายเมื่อลุยทางวิบากหนักๆ
สิ่งที่เราพบในการทดสอบช่วยบ่งบอกออะไรหลายอย่าง แต่ถ้ามองในแง่ดี กลับมีประโยชน์เมื่อต้องลุยเส้นทางสมบุกสมบันที่โหดจริงๆ เพราะอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า ความสูงใต้ท้องรถที่ต่ำอาจกลายเป็นข้อจำกัด แต่เมื่อขับบนถนนลาดยาง เสียงรบกวนจากพื้นถนนถือว่าน้อย และการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารก็ทำได้ดีเกินคาด แม้จะหลีกเลี่ยงเสียงลมปะทะจากรูปทรงของตัวรถที่เกิดขึ้นเมื่อใช้ความเร็วสูงไม่ได้ก็ตาม สรุป คือ การเดินทางไกลไม่มีปัญหาเลย ด้วยถังน้ำมันดีเซลขนาด 80 ลิตร ขอบเขตการเดินทางของคุณจะกว้างขึ้น แม้อัตราสิ้นเปลืองจะสอดคล้องกับขนาดตัวรถ (เฉลี่ยประมาณ 10 กม./ลิตร) แต่ด้วยระยะทางที่วิ่งได้เกือบ 800 กม. ต่อหนึ่งถัง ผู้ขับก็ไม่ต้องกังวลเรื่องจะไม่มีปั๊มน้ำมันระหว่างทาง โดยเฉพาะถ้าคุณอยู่ในพื้นที่ห่างไกล แม้ว่าสถานการณ์แบบนี้จะไม่ค่อยเกิดขึ้นในประเทศอิตาลี แต่ LAND CRUISER ก็ต้องออกแบบมาเผื่อสถานการณ์แบบนั้นไว้เช่นกัน
รุ่น FIRST EDITION
ราคา
- จากผู้ผลิต 69,500 ยูโร (ประมาณ 2,810,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
- แบบ ดีเซล เทอร์โบ 4 สูบเรียง ความจุ 2,755 ซีซี
- กำลังสูงสุด 151 กิโลวัตต์/205 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
- จากผู้ผลิต 9.5 กม./ลิตร
- จากการทดสอบ 9.8 กม./ลิตร
- ความคุ้มค่าโดยรวม 17.51 ยูโร/100 กม.
ค่าไอเสียเฉลี่ย
- จากผู้ผลิต 275 กรัม/กม.
จุดแข็ง
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา ให้การขับขี่ที่ไหลลื่น และมั่นคง มีการยึดเกาะที่ยอดเยี่ยมบนพื้นผิวถนนหลากหลายรูปแบบ ห้องโดยสารกว้างขวางเหลือเฟือ ทั้งในแง่ของการโดยสาร และขนสัมภาระ
จุดอ่อน
ชุดควบคุมการส่งกำลังของแรงบิดมีอาการลื่นไถลในบางครั้ง การส่งกำลังควรมีความราบรื่นกว่านี้ เสียงของเครื่องยนต์ดีเซลค่อนข้างดังอย่างชัดเจน แม้ในขณะเดินรอบต่ำขณะที่เครื่องยนต์ยังเย็นอยู่
ลุยได้เยี่ยม ผ่านทุกอุปสรรค
เรามีจุดสังเกตตั้งแต่ได้เห็นข้อมูลทางเทคนิคของรถรุ่นนี้ และได้รับการยืนยันเมื่อได้ทดลองขับบนเส้นทางเส้นทางสมบุกสมบันจริงๆ ระยะความสูงใต้ท้องรถที่ต่ำ (ที่ 205 มม. ขณะที่คู่แข่งมีตั้งแต่ 250 ถึง 290 มม.) กลายเป็นข้อจำกัดในการลุยเส้นทางวิบากที่โหดจริงๆ แม้ใต้ท้องรถจะได้รับการป้องกันอย่างดี และสามารถเพิ่มระยะการเคลื่อนไหวได้บ้างด้วยการถอดชุดเหล็กกันโคลงด้านหน้าที่ถอดได้ แต่ มุมไต่, มุมคร่อม และมุมจาก ของรถกลับไม่สูงมากนัก ทำให้มีความเสี่ยงที่จะขูดชนได้ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง รวมถึงบันไดข้าง
โดยสรุปสรุปเบื้องต้น คือ ใครที่ต้องการพา LAND CRUISER ไปลุยเส้นทางโหดจริงๆ ควรพิจารณาเปลี่ยนชุดสปริงและชอคอัพใหม่จะเหมาะสมกว่า ถึงอย่างนั้น ระบบส่งกำลัง และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อก็ยังทำหน้าที่ได้ดี เครื่องยนต์ส่งกำลังได้อย่างราบรื่น พร้อมแรงบิดที่สูง ส่งกำลังผ่านเกียร์ได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยมีการลื่นไถลของชุดควบคุมการส่งแรงบิดมากพอสมควร เพื่อให้การควบคุมรถในสถานการณ์ละเอียดอ่อนเป็นไปอย่างนุ่มนวล
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งมาพร้อมเฟืองท้ายส่วนกลางแบบปลดลอคได้ และชุดเฟืองท้ายหลังแบบเปิดที่ควบคุมด้วยระบบอิเลคทรอนิคส์ รวมถึงโปรแกรมขับขี่หลายรูปแบบที่ปรับการทำงานให้เหมาะกับพื้นผิวถนน ช่วยให้มั่นใจได้ว่าตัวรถมีแรงยึดเกาะที่เพียงพอในทุกสภาพการใช้งาน แม้จะใช้ยางที่ไม่เหมาะสำหรับทางสมบุกสมบันโดยเฉพาะก็ตาม
ทางลาดเอียงด้านข้าง
รถสามารถแล่นได้ถึงจุดที่มีความลาดเอียง 40 องศา เพราะพื้นถนนเปียกทำให้รถมีแนวโน้มจะลื่นไถลไปด้านข้าง มิฉะนั้นรถน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ แรงยึดเกาะถือว่ายอดเยี่ยม
ทางลาดขึ้น
การปีนถนนดินที่มีความชัน 85 % ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ LAND CRUISER สามารถไต่ขึ้นได้โดยไม่มีอุปสรรค แม้จะใช้ยางที่ไม่ใช่แบบการลุยทางสมบุกสมบันโดยเฉพาะ
ทางลาดลง
ระบบช่วยเบรกขณะลงทางลาดสามารถควบคุมทิศทางรถได้ดี โดยควบคุมความเร็วการไถลลงอย่างนุ่มนวล กล้องมุมหน้าช่วยได้มากเมื่อทัศนวิสัยข้างหน้าแย่
ร่องลึก
ข้อจำกัดที่แท้จริงของ TOYOTA อยู่ในหัวข้อนี้ มุมตัวถังสำหรับการลุยไม่ดีเท่าคู่แข่ง และความสูงใต้ท้องรถที่ต่ำกว่า ทำให้มีความเสี่ยงที่จะขูดทั้งตอนเข้า และตอนออกจากอุปสรรค
เนินสลับ
เมื่อมีล้อทั้ง 2 ข้างในแนวทแยงกันยกลอยขึ้น ตัวรถผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย ระบบขับเคลื่อน4 ล้อกระจายกำลังได้สม่ำเสมออย่างน่าประทับใจ ตัวถังที่มีการเสริมความแข็งแรง ไม่มีการบิดตัวแม้แต่น้อย
เส้นทางทดสอบแบบผสม
บนเส้นทางผสมที่มีลูกระนาด และหลุมบ่อ ล้อสามารถตามผิวถนนได้อย่างสมบูรณ์แบบ (ชุดเหล็กกันโคลงแบบถอดได้ช่วยได้มาก) และระบบขับเคลื่อนก็ให้แรงยึดเกาะที่เพียงพออยู่เสมอ
ย้อนประวัติศาสตร์ สืบสานสายพันธุ์ตั้งแต่ปี 1951
ตัวลุบรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในกองทัพของประเทศญี่ปุ่นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยรุ่นต้นแบบของ LAND CRUISER ถือกำเนิดขึ้นในปี 1951 ภายใต้ชื่อว่า BJ โดยตัวอักษร “B” หมายถึงเครื่องยนต์ตระกูล B (เครื่องยนต์ เบนซิน 6 สูบเรียง ขนาด 3.4 ลิตร) ส่วน “J” ย่อมาจากคำว่า JEEP แต่เนื่องจากชื่อ JEEP เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบริษัท WILLYS OVERLAND MOTORS ทำให้ในปี 1955 รถรุ่นนี้ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น LAND CRUISER ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงชื่อ LAND CRUISER ของฝั่งอังกฤษอย่างชัดเจน เหมือนกับรุ่นของอังกฤษ รถญี่ปุ่นคันนี้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานด้านการใช้งานหนัก และการเดินทางในพื้นที่ห่างไกลที่สุดของโลก ซึ่งยังคงเป็นเป้าหมายหลักจนถึงปัจจุบัน โดยมีรุ่นเฉพาะทางบางรุ่นที่ยังมีการผลิตอยู่
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา LAND CRUISER ได้แบ่งออกเป็น 3 สายการผลิตหลัก ได้แก่ รุ่นใช้งานหนัก คือ รุ่นดั้งเดิม
รุ่นสเตชันแวกอน เปิดตัวในปี 1967 สำหรับการใช้งานบนถนนทั่วไปที่สะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันคือ LAND CRUISER SERIES 300 ที่หรูหราอย่างชัดเจน ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกา และตะวันออกกลาง และรุ่นใช้งานเบา เปิดตัวในปี 1985 เพื่อตอบรับกระแสรถเอสยูวีแบบอเนกประสงค์ที่สามารถใช้งานได้ทั้งในเส้นทางทุรกันดาร หรือแม้แต่ใช้งานบนถนนในเมืองใหญ่
สำหรับรุ่นใช้งานเบาเหล่านี้เป็นรุ่นที่มีวางจำหน่ายในหลากหลายประเทศ โดยตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา ได้รับชื่อว่า PRADO (มาจากภาษาสเปน แปลว่า ทุ่งหญ้า หรือ ที่ราบ) ซึ่งรุ่นล่าสุดที่เรากำลังทดสอบอยู่นี้ก็คือ PRADO 250 รุ่นใหม่นั่นเอง อีกจุดที่น่าสนใจคือ ในกลุ่มรุ่นใช้งานหนัก รุ่นที่มีชื่อเสียงที่สุด และถูกใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วโลกอย่าง SERIES 70 ก็ได้รับการปรับปรุง และกลับมาผลิตใหม่อีกครั้งในปี 2023 นอกจากนี้ LAND CRUISER มีสถิติโลกที่น่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็น จำนวนการผลิตไปแล้วมากกว่า 11,800,000 คัน วางจำหน่ายในกว่า 170 ประเทศ และมีโรงงานผลิตใน 3 ประเทศหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น, โปรตุเกส และ เคนยา
STATION WAGON
1967 SERIES 55
รุ่นแรกของสายพันธุ์สเตชันแวกอน มีรหัส คือ FJ55 เครื่องยนต์ 3.9 ลิตร
1980 SERIES 60
รุ่นต่อมีรูปทรงที่แตกต่างออกไป เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง มีขนาด 4.2 ลิตร เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 3.4 ลิตร
1989 SERIES 80
ตัวถังมีความยาวเกือบ 5 ม. พร้อมเบาะนั่งถึง 8 ตำแหน่ง มีความสะดวกสบายมากขึ้นด้วย
1998 SERIES 100
มีทำตลาดหลายภูมิภาค เครื่องยนต์ เบนซิน 4.6 ลิตร วี 8 สูบ พร้อมการตกแต่งที่หรูหรากว่าเดิม
2007 SERIES 200
รุ่นแรกที่ติดตั้งระบบ CRAWL CONTROL ขับเคลื่อนบนทางสมบุกสมบันได้ดี เครื่องยนต์ 4.7 ลิตร แบบ วี 8 สูบ
2021 SERIES 300
โครงสร้างตัวถัง GA-F เครื่องยนต์ เทอร์โบคู่ วี 6 สูบ กำลังสูงสุด 415 แรงม้า
HEAVY DUTY
1951 BJ SERIES
การออกแบบตัวถังเพื่อใช้สำหรับกิจกรรมทางทหารของประเทศญี่ปุ่น
1955 SERIES 20
รุ่นแรกที่ใช้ชื่อ LAND CRUISER ถูกนำไปใช้งานตามแนวชายแดนของประเทศสหรัฐอเมริกา และทำตลาดในหลายประเทศ
1960 SERIES 40
รุ่นนี้มี 3 ทางเลือกของระยะฐานล้อ ตัวถังสั้น แบบเปิดประทุนผ้าใบ และตัวถังพิคอัพ ทำตลาดยาวนานถึง 24 ปี
1984 SERIES 70
รุ่นต่อมาระยะฐานล้อแตกต่างกันถึง 5 แบบ (ตั้งแต่ 2,300 ถึง 3,100 มม.) เน้นความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
2007 SERIES 70
ทำตลาดกับประเทศต่างๆ ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น มีทางเลือกเครื่องยนต์บลอคใหญ่ แบบ ดีเซล เทอร์โบ วี 8 สูบ
2014 SERIES 70
จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือ ความสะดวกสบาย และระบบความปลอดภัย เครื่องยนต์เบนซิน วี 6 สูบ ขนาด 4.0 ลิตร
2023 SERIES 70
รุ่นใหม่ที่นำแนวทางจากปี 1984 มาใช้ในหลายส่วน เครื่องยนต์ ดีเซล เทอร์โบ 2.8 ลิตร
LIGHT DUTY
1985 70 WAGON
ตัวถังใช้พื้นฐานจากรุ่น 70 แบบ HEAVY DUTY แต่รองรับการใช้งานทั่วไปมากขึ้น มีทำตลาดในประเทศอิตาลีด้วย
1990 70 PRADO
ระยะฐานล้อยาวเป็นพิเศษ กับตัวถังแบบ 5 ประตู ถูกเข้ามาเป็นอีกทางเลือก
1996 90 PRADO
ชื่อ PRADO ถูกนำมาใช้เป็นรุ่นที่ 2 ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา แทนที่ระบบขับเคลื่อนแบบพาร์ทไทม์
2002 120 PRADO
ระบบรองรับแบบ TORSEN ระบบรองรับเน้นความหนึบแน่น เครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร แบบ วี 6 สูบ และดีเซล 3.0 ลิตร
2009 150 PRADO
ปรับแต่งให้การขับขี่คล่องแคล่วขึ้น และมีห้องโดยสารที่เน้นความสะดวกสบายเทียบชั้นรถยนต์หรูเต็มตัว
2024 250 PRADO
การออกแบบเส้นสายที่ให้ความรู้สึกย้อนยุค ทางเลือกเครื่องยนต์หลากหลาย รวมถึงรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร
ข้อมูลจำเพาะ
ข้อมูลของรถทดสอบจากผู้ผลิต
เครื่องยนต์
- ดีเซล วางด้านหน้าตามยาว
- แบบ 4 สูบเรียง
- ความกว้างกระบอกสูบ 92.0 มม.
- ระยะช่วงชัก 103.6 มม.
- ความจุ 2,755 ซีซี
- อัตราส่วนกำลังอัด 15.6:1
- กำลังสูงสุด 151 กิโลวัตต์/205 แรงม้า ที่ 3,000-3,400 รตน.
- แรงบิดสูงสุด 500 นิวทันเมตร/51.0 กก.ม. ที่ 1,600-2,800 รตน.
- เสื้อสูบใช้วัสดุโลหะขึ้นรูป และโลหะน้ำหนักเบา
- เพลาข้อเหวี่ยง 2 ชุด
- ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 4 วาล์วต่อลูกสูบ (สายพานโซ่)
- คอมมอนเรล ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง เทอร์โบพร้อมครีบแปรผัน และอินเตอร์คูเลอร์
- ชุดกรองไอเสีย
ระบบส่งกำลัง
- ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
- เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
- ชุดควบคุมการส่งกำลัง
- ชุดเฟืองส่งกำลังแบบลอคได้ที่ตรงกลาง และด้านหลัง
รูปแบบตัวถัง
- ตัวถังวัสดุโลหะ โครงสร้างตัวถังแบบขั้นบันได แบบ 2 กล่อง 5 ประตู 5 ที่นั่ง
- ระบบรองรับด้านหน้าแบบ ปีกนกคู่ คอยล์สปริง ชุดเหล็กกันโคลงแบบปลดการทำงานได้
- ระบบรองรับด้านหลังแบบ มัลทิลิงค์ คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
- ชอคอัพแบบไฮดรอลิค
- ระบบเบรคแบบ จาน พร้อมช่องระบายอากาศ เอบีเอส และ อีเอสพี
- พวงมาลัยแบบฟันเฟือง และตัวหนอน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า
- ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร
ยาง
- DUNLOP GRANDTREK AT23 265/65 R18 114V
- ชุดยางอะไหล่ติดตั้งใต้พื้นตัวถัง
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
- ระยะฐานล้อ 2,850 มม.
- ความกว้างฐานล้อคู่หน้า 1,660 มม. คู่หลัง 1,670 มม.
- ความยาว 4,930 มม. กว้าง 1,980 มม. สูง 1,930 มม.
- น้ำหนักโดยรวม 2,330 กก. น้ำหนักบรรทุกสูงสุด 3,000 กก. น้ำหนักลากจูงสูงสุด 3,500 กก.
- ความจุที่เก็บสัมภาระท้าย 742-1,292 ลิตร
สถานที่ผลิต
- เมืองทาฮาระ (ประเทศญี่ปุ่น)
การประเมินผลของ QUATTRORUOTE
เบาะคนขับ
การจะขึ้นไปนั่งต้องปีนขึ้นไป (จากพื้นถึงเบาะสูง 850 มม. ต้องอาศัยบันไดข้าง) แต่เมื่อได้นั่งลงแล้ว จะให้ความรู้สึกเหมือนขับรถยนต์แบบสเตชันแวกอน
แผงหน้าปัด และปุ่มควบคุม
การออกแบบไม่ได้เน้นความหวือหวามากนัก แต่ใช้งานได้จริง ได้ดี สะดวกสบาย มีปุ่มกดแบบดั้งเดิมจำนวนมาก ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวก และจัดวางอย่างเป็นระเบียบ อย่างไรก็ตาม มีปุ่มมัลทิฟังค์ชันมากเกินไปบนพวงมาลัย
แผงมาตรวัด
มาตรวัดแบบจอดิจิทอลมีขนาดใหญ่ และมีข้อมูลครบตามที่ต้องการ รูปแบบการจัดเรียงต่างๆ ต้องควบคุมผ่านปุ่มบนก้านพวงมาลัยซึ่งค่อนข้างซับซ้อน
ระบบความบันเทิง
ระบบไม่ได้ใช้งานง่ายอย่างที่ควรจะเป็น อินเตอร์เฟศควรได้รับการออกแบบใหม่ หน้าจอที่ล้ำที่สุด และใช้งานได้ดีที่สุด คือ หน้าจอที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการขับขี่แบบสมบุกสมบัน
ระบบปรับอากาศ
จุดเด่น คือ การมีโซนแยกอิสระถึง 4 โซน และมีทั้งเบาะปรับความร้อน และเบาะพร้อมระบบระบายอากาศได้ครบถ้วน อย่างไรก็ตาม ระบบยังไม่ค่อยเสถียรนักในการควบคุมอุณหภูมิ
ทัศนวิสัย
เสาเอของตัวถังที่ตั้งตรงไม่ได้บดบังทัศนวิสัย จากเบาะคนขับสามารถมองเห็นขอบฝากระโปรงหน้าได้ชัดเจน และเมื่อขับบนทางวิบาก กล้องมองภาพ 360 องศาช่วยได้มาก
วัสดุ และงานประกอบ
การออกแบบไม่ได้ตั้งใจให้ดูหรูหราด้วยรายละเอียดที่ซับซ้อน แต่ใส่ใจในเรื่องของคุณภาพ การประกอบแน่นหนาทั้งภายนอก และภายใน รวมถึงการใช้วัสดุสัมผัสนุ่มในจุดที่จำเป็น
อุปกรณ์เสริม
รุ่น FIRST EDITION มาพร้อมอุปกรณ์ครบครัน ทั้งด้านความสะดวกสบาย และการใช้งานจริง อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากนี้แล้วจะมีเฉพาะอุปกรณ์เสริมที่ต้องติดตั้งเพิ่มเติมภายหลังบางรายการเท่านั้น
ระบบความปลอดภัย/ระบบช่วยเหลือการขับขี่
ทุกรุ่นย่อยติดตั้งแพคเกจระบบความปลอดภัย SAFETY SENSE ซึ่งรวมถึงระบบช่วยเหลือการขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 ด้วย
ความกว้างขวางของห้องโดยสาร
ขนาดตัวถังที่ใหญ่ช่วยให้ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบายสำหรับผู้โดยสาร 5 คน พร้อมเบาะด้านหลังที่ยาว และพื้นที่วางขาเพียงพอ
พื้นที่เก็บสัมภาระ
พื้นที่เก็บสัมภาระมีความจุจริงอยู่ที่ประมาณ 600 ลิตร และสามารถขยายได้อีกมากเมื่อพับเบาะ (สามารถวางของยาวถึง 2,150 มม.) อย่างไรก็ตาม ส่วนขอบของประตูที่เก็บสัมภาระท้ายอยู่สูงพอสมควร
ความสะดวกสบาย
ห้องโดยสารค่อนข้างเงียบ เว้นแต่เสียงลมเมื่อขับที่ความเร็วสูง แต่ช่วงล้อมีแรงสั่นสะเทือนค่อนข้างมากเมื่อเจอพื้นผิวขรุขระ อย่างไรก็ตาม กลับให้ความสบายมากขึ้นเมื่อลุยทางสมบุกสมบัน ซึ่งอาจดูขัดแย้งในกรณีแรก
เครื่องยนต์
แม้จะมีเสียงดังพอสมควร โดยเฉพาะตอนเครื่องเย็น แต่ให้พละกำลังที่ส่งกำลังได้อย่างไหลลื่น และเรียบเนียนอย่างน่าพอใจ มาพร้อมแรงบิดที่เหลือเฟือ
อัตราเร่ง
ด้วยกำลังสูงสุดที่ 205 แรงม้า เมื่อเทียบกับขนาดของรถ ถือว่าค่อนข้างจำกัดอยู่พอสมควร จึงไม่ควรคาดหวังอัตราเร่งที่ฉับไวมากนัก ใช้เวลาประมาณ 10 วินาที สำหรับอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.
อัตราเร่งยืดหยุ่น
อัตราเร่งในส่วนนี้ ผู้ขับก็ยังต้องใช้ความอดทนเล็กน้อยเช่นกัน แต่แรงบิดที่ 51.0 กก.ม. ก็ช่วยให้ขับเคลื่อนตัวรถให้หลุดพ้นจากสถานการณ์คับขันต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ระบบส่งกำลัง
การส่งกำลังโดยรวมไม่สามารถเปรียบได้กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะของ ZF ระบบควบคุมการส่งแรงบิดของล้อแต่ละตำแหน่งทำงานไม่ราบรื่นนักในบางจังหวะ และการเปลี่ยนเกียร์ค่อนข้างกระชากเล็กน้อย
ระบบบังคับเลี้ยว
ระบบบังคับเลี้ยวเป็นระบบควบคุมแบบคลาสสิคสำหรับรถยนต์สายลุย ซึ่งต้องรองรับทั้งการขับบนทางเรียบ และทางลุย อัตราทดของพวงมาลัยสูงมาก แต่ยังคงแม่นยำในระดับที่น่าพอใจ
ระบบเบรค
เมื่อพิจารณาจากน้ำหนักของตัวรถ และการใช้งานยางสำหรับการลุย ผู้ขับไม่สามารถคาดหวังระยะเบรคที่สั้นได้ อย่างไรก็ตาม ระบบเบรคมีประสิทธิภาพที่ดีบนพื้นผิวที่มีการยึดเกาะต่ำ และในแง่ของความทนทานก็ทำได้ดี
ความคล่องแคล่วตัวรถ
อย่าคาดหวังความปราดเปรียว หรือการตอบสนองฉับไวจากตัวลุยรุ่นนี้ มีรถรุ่นอื่นที่สามารถมอบสิ่งนั้นได้ จุดสำคัญ คือ ความปลอดภัย และความมั่นคงในระดับสูง ซึ่งรถรุ่นนี้ตอบสนองให้ได้
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
แม้จะไม่มีระบบช่วยแบบไฮบริดใดๆ เข้ามาเสริม อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 9.8 กม./ลิตร ถือว่าน่าพอใจสำหรับรถที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ ระยะทางที่วิ่งได้ต่อถังน้ำมันก็น่าประทับใจ
สรุป
รูปทรงของรถยนต์สายพันธุ์ลุยขนานแท้ ให้ความรู้สึกพร้อมลุยไปได้ทุกที่ LAND CRUISER รุ่นใหม่ยังคงแนวทางเดิมแบบไม่พลิกโฉม เน้นความเป็นรถยนต์ “แบบดั้งเดิม” มากกว่าความล้ำสมัยสุดตัว ใช้งานได้จริง ห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบาย ขับทางไกลได้สบายใจ และสามารถลุยทางวิบากได้แม้จะติดเรื่องความสูงใต้ท้องรถเล็กน้อย ระบบขับเคลื่อนทำงานผสานกันระหว่างกลไกกับอีเลคทรอนิคส์ได้อย่างยอดเยี่ยม ถ้าเครื่องยนต์เงียบกว่านี้ และระบบควบคุมการส่งแรงบิดทำงานได้ราบรื่นกว่านี้อีกเล็กน้อย ก็จะใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบแล้ว
คะแนนรวม: 76/100
คะแนนมาจากการรวมดาวในแต่ละหมวด ซึ่งให้ค่าน้ำหนักตามความสำคัญของแต่ละหมวด และตามเซกเมนท์ของรถยนต์
