Quattroruote ทดสอบ
JAECOO 7 SHS ทำลายทุกสถิติการประหยัดน้ำมัน !
หากย้อนถึงความทรงจำของนักทดสอบรถ (ในสไตล์ QUATTRORUOTE) ก็จะพบว่าเคยมีเอสยูวีขนาดกลางอีกคันหนึ่งที่ทำได้เกือบ 30 กม./ลิตร ในเมืองเช่นกัน และครั้งนี้ก็เป็นรถพลัก-อิน ไฮบริดจากบแรนด์ใหม่ที่มาทำลายข้อจำกัดนี้ รถยนต์รุ่นนี้มาจากประเทศจีน ซึ่งเป็นจุดหมายที่เราเดินทางไปถึงหลังขับรถจากเมืองกวางโจวเป็นระยะทางเกือบ 1,300 กม. และยังไม่หมดแค่นั้น หากพิจารณาว่ารถคันนี้มีถังน้ำมันขนาด 60 ลิตร หมายความว่าในสภาพการขับขี่ในเมือง ตัวเลขโดยรวมจะสามารถวิ่งได้เกือบ 1,800 กม./การเติมน้ำมัน 1 ถัง อย่างไรก็ตาม บนทางด่วนซึ่งใช้เครื่องยนต์สันดาปเป็นหลัก อัตราสิ้นเปลืองจะลดลงเหลือเพียง 9.7 กม./ลิตร ถึงอย่างนั้นความสามารถของตัวรถก็ยังถือว่าโดดเด่นอยู่ดี เมื่อคำนึงถึงความหลากหลายของรูปแบบการใช้งานซึ่งขึ้นอยู่กับการชาร์จไฟฟ้าจากครัวเรือน (หรือสถานีชาร์จ) ถ้าใช้ไฟฟ้าจากแบทเตอรีเพียงอย่างเดียว สามารถวิ่งได้ 122 กม. ในเมือง (เทียบกับ VOLKSWAGEN GOLF PLUG-IN (โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ พลัก-อิน) ที่วิ่งได้แค่ประมาณ 15 กม. เท่านั้น) แล่นได้ 100 กม. บนทางหลวง และ 72 กม. บนทางด่วน
รุ่น 1.5 TGDI PHEV EXCLUSIVE
ราคา
- ของรถทดสอบ 40,900 ยูโร (ประมาณ 1,345,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
- เครื่องยนต์ แบบเบนซิน เทอร์โบ 4 สูบเรียง + มอเตอร์ 2 ชุด
- ความจุ 1,499 ซีซี
- กำลังสูงสุดทั้งระบบ 255 กิโลวัตต์/347 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
- จากผู้ผลิต 142.9 กม./ลิตร
- จากการทดสอบ 88.6 กม./ลิตร
- ค่าใช้จ่ายการชาร์จจากครัวเรือน 4.66 ยูโร/100 กม.
- ค่าใช้จ่ายการชาร์จแบบ DC 10.93 ยูโร/100 กม.
จุดแข็ง
- อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในเมืองที่ยอดเยี่ยม : แม้แบทเตอรีจะหมด ยังสามารถวิ่งได้เกือบ 30 กม./ลิตร
- พื้นที่ภายในกว้างขวางน่าประทับใจ : มีความสะดวกสบายในการโดยสาร แม้สำหรับผู้โดยสารที่นั่งเบาะหลัง
จุดด้อย - ประสิทธิภาพของระบบไฮบริดลดลงอย่างชัดเจนเมื่อขับบนทางด่วน (เหลือเพียง 9.7 กม./ลิตร) ในกรณีที่แบทเตอรีหมด ห้องเก็บสัมภาระไม่โดดเด่นนักในแง่ของความจุ โดยมีพื้นที่เพียง 319 ลิตร
ชื่อบแรนด์มีที่มาน่าสนใจ
ชื่อ JAECOO มาจากการรวมกันของคำว่า JAEGER (แปลว่า นักล่า ในภาษาเยอรมัน) และ COOL (คำในภาษาอังกฤษที่เราคุ้นเคยกันดี) รถคันนี้ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ โดยไม่ได้เน้นเรื่องเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังใส่ใจกับรูปลักษณ์ที่ตรงตามมาตรฐานของภูมิภาคยุโรป ด้วยเส้นสายดูคล้ายกับ LAND ROVER (แลนด์ โรเวอร์) (ที่บริษัทแม่ CHERY (เชอรี) เคยร่วมมือกับบริษัทอังกฤษนี้มาระยะหนึ่งแล้ว) และยังมีความละม้ายคล้ายคลึงกับ VOLVO (โวลโว) ที่ดูหรูหรา แต่ไม่มากจนเกินไป เรียกได้ว่าไม่มีปมด้อยแม้แต่น้อย และเมื่อพิจารณาว่า JAECOO และ OMODA (โอโมดา) เพิ่งเข้าสู่ตลาดประเทศอิตาลีเมื่อ 2 ปีก่อน ก็ถือเป็นผลงานที่น่าประทับใจไม่น้อย
ห้องโดยสารสว่าง ปลอดโปร่ง
ด้วยการออกแบบที่โดดเด่น เอสยูวีรุ่นนี้มีมิติตัวถังที่พอเหมาะ (ความยาว 4,500 มม.) และระบบขับเคลื่อนไฮบริดแบบชาร์จไฟฟ้า ได้กำลังสูงสุด 347 แรงม้า ที่สามารถวิ่งได้เฉลี่ย 1,200 กม./การเติมน้ำมันเต็มถัง และการชาร์จแบทเตอรีเต็ม ความคาดหวังจึงย่อมสูงเป็นธรรมดา ยิ่งประกอบกับราคาที่ชัดเจนว่า กำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นระดับพรีเมียม ยิ่งตอกย้ำความใส่ใจในสไตล์การออกแบบเป็นอย่างดี (รวมถึงคุณภาพโดยรวมซึ่งจะกล่าวถึงส่วนต่อไป) ที่ดูเป็นรถยนต์สไตล์ยุโรปสุดๆ หรือจะมองว่าใกล้เคียงรถยนต์สัญชาติเกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่นก็ได้ ทั้งหมดนี้อยู่ในห้องโดยสารที่ตกแต่งอย่างดี กว้างขวางเกินกว่ามาตรฐานเอสยูวีระดับเดียวกันเสียอีก แม้จะมีความคล้ายคลึงกับรถยนต์ฝั่งตะวันตก แต่บรรยากาศภายในรถก็ดูหรูหราราวกับรถระดับลักชัวรี อย่างไรก็ตาม ยังมีจุดที่สามารถปรับปรุงได้ในเรื่องการใช้งาน เพราะการมีปุ่มกดแบบดั้งเดิมอยู่ไม่กี่จุด โดยเฉพาะบนพวงมาลัย ซึ่งรวมอยู่ในชิ้นเดียวกัน และใช้งานยาก เมื่อกดปุ่มหนึ่งก็มักไปโดนอีกปุ่มโดยไม่ตั้งใจ นอกจากนี้ ระบบสั่งงานด้วยเสียงก็ยังมีข้อจำกัด รองรับการใช้งานแค่การปรับอุณหภูมิของระบบปรับอากาศแบบแยกฝั่งเท่านั้น ทำให้การใช้งานฟังค์ชันอื่นๆ ต้องพึ่งพาหน้าจอควบคุมตรงกลางเป็นหลัก ซึ่งตอบสนองได้ไว แต่ก็ต้องใช้เวลาศึกษาพอสมควร เช่น หากต้องการปิดระบบช่วยรักษารถให้อยู่กลางเลน หรือปิดเสียงเตือนป้ายจราจร และระบบตรวจสอบความเหนื่อยล้าของผู้ขับ ก็ต้องกดปิดผ่านหน้าจอทั้งหมด ซึ่งทำให้รู้สึกไม่สะดวกนัก
ความสบายที่จัดเต็ม
ก่อนจะเริ่มขับ ระบบของตัวรถบังคับว่าต้องคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนจึงจะสามารถเข้าเกียร์ D ได้ ไม่อย่างนั้นรถจะไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว พูดตรงๆ ว่าเป็นข้อบังคับที่อาจไม่จำเป็นนัก เมื่อเริ่มขับแล้ว เราสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลที่ไหลลื่นจากขับเคลื่อนอย่างน่าพอใจ เป็นข้อดีจากกระจกหน้าแบบ 2 ชั้น (รวมถึงกระจกบังลมหน้า) ที่ช่วยกันเสียงลมภายนอกได้ดี และแม้แต่เสียงกลิ้งของยางรถก็ถูกควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าจะมีสิ่งที่ดังขึ้นมาบ้าง ก็คงเป็นเสียงจากเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ ที่จะเพิ่มความดังขึ้นเล็กน้อยเมื่อขับแบบเน้นอัตราเร่ง
การทำงานของระบบขับเคลื่อนนั้นยากจะเข้าใจได้อย่างชัดเจน นอกจากโหมด EV ที่ใช้พลังงานจากแบทเตอรีเพียงอย่างเดียว ในสถานการณ์อื่นๆ เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ และมอเตอร์ไฟฟ้าจะแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างลื่นไหลโดยไม่สะดุด ราวกับกำลังขับรถไฟฟ้าล้วน บางครั้งก็จะมีเครื่องยนต์เข้ามาทำงานร่วมด้วย ขึ้นอยู่กับเส้นทาง และการขับขี่ ระบบนี้ยังมีอัตราเร่งที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง แม้ว่าพละกำลัง 347 แรงม้า ไม่ได้เน้นอัตราเร่งที่ดุดันมากมายก็ตาม หากจะประเมินสมรรถนะของ JAECOO 7 จริงๆ ผู้ขับยังต้องพึ่งพาการส่งกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวที่ 204 แรงม้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้บ่อยที่สุดระหว่างการขับขี่
ในแง่ของการควบคุมรถ คนขับจะรู้สึกได้ชัดเจนว่า ความใส่ใจในการออกแบบภายใน และความนุ่มนวลของการขับขี่ นั้นไม่ได้ถูกนำมาใช้ในระดับเดียวกัน การปรับแต่งระบบควบคุมทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของสิ่งที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า การปรับแต่งอย่างละเอียด (FINE TUNING) เพราะแม้จะถูกใช้งานอย่างหนัก เอสยูวีจากประเทศจีนคันนี้ก็ยังสามารถตอบสนองได้ดีโดยไม่ทำให้ผู้ขับรู้สึกลำบากในการบังคับควบคุมแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่ คือ ความรู้สึกจากพวงมาลัยที่แปรผันน้ำหนักเปลี่ยนไป-มาแบบไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ และอาการโคลงของตัวรถที่มีมากเกินควรหากขับแบบเน้นสมรรถนะ สิ่งเหล่านี้ชี้ชัดว่ารถคันนี้ยังมีบางอย่างที่ต้องพัฒนา เพื่อให้ทัดเทียมกับบแรนด์ชั้นนำของโลก อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของเอสยูวีรุ่นนี้ก็สามารถเห็นได้จากระบบเบรค ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะแยกความต่างระหว่างรถยนต์จากซีกโลกตะวันออกกับตะวันตก ในสภาพถนนที่ลื่น และไม่เรียบ ระยะเบรคจะยาวมาก แต่บนถนนแห้ง ระบบนี้สามารถตอบสนองทั้งการเบรคหนักแน่น และมีความมั่นคงเป็นอย่างดี จุดเด่นโดยสรุปจากทดลองขับ เรายอมรับว่ารถยนต์รุ่นนี้ คือ การพัฒนาแบบก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับมาตรฐานเดิมที่เราคุ้นเคย
ข้อมูลทางเทคนิค ระบบไฮบริดที่ล้ำสมัย
ระบบขับเคลื่อนแบบพลัก-อิน ไฮบริด เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของ JAECOO 7 ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 1.5 ลิตร ระบบหัวฉีดโดยตรง กำลังสูงสุด 143 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว: มอเตอร์ไฟฟ้าตัวแรก ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 31.6 กก.ม. ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเป็นหลักในเกือบทุกสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ใช้ความเร็วสูงคงที่ เช่น การขับทางด่วน เครื่องยนต์สันดาปจะเข้ามาทำหน้าที่ขับเคลื่อนเป็นหลักแทน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าตัวที่ 2 กำลังสูงสุด 136 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 12.2 กก.ม. ทำหน้าที่หลักในการชาร์จแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนฟอสเฟต ขนาด 18.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง แบทเตอรีสามารถชาร์จผ่านจุดชาร์จไฟฟ้าจากครัวเรือนบ้านได้ โดยเครื่องชาร์จที่มากับตัวรถรองรับไฟฟ้าสูงสุดเพียง 6.6 กิโลวัตต์ ทำให้ใช้เวลาชาร์จนานเมื่อใช้กับสถานีชาร์จแบบ AC แต่หากใช้งานกับสถานีชาร์จแบบ DC แบทเตอรีสามารถรับกำลังชาร์จไฟฟ้าได้สูงสุด 40 กิโลวัตต์ จุดที่น่าสนใจอีกจุดคือฟังก์ชัน V2L (VEHICLE-TO-LOAD) สามารถจ่ายไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอกโดยใช้พลังงานจากแบทเตอรี นอกจากนี้ยังมีถังน้ำมันขนาดใหญ่ถึง 60 ลิตร ซึ่งมากกว่ารถพลัก-อิน ไฮบริดทั่วไปที่มักมีถังน้ำมันไม่เกิน 50 ลิตร ทำให้ ระยะทางขับขี่รวมทำได้ไกลเป็นพิเศษ
ข้อมูลจำเพาะ
ข้อมูลของรถทดสอบจากผู้ผลิต
เครื่องยนต์
- เบนซิน วางด้านหน้าตามขวาง
- แบบ 4 สูบเรียง
- กระบอกสูบ 72.0 มม.
- ช่วงชัก 92.0 มม.
- ความจุ 1,499 ซีซี
- กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์/143 แรงม้า ที่ 5,200 รตน.
- แรงบิดสูงสุด 215 นิวทันเมตร/21.9 กก.ม. ที่ 2,500 รตน.
- เครื่องยนต์ระบบ MILLER
- เสื้อสูบ และฝาสูบ ใช้วัสดุโลหะน้ำหนักเบา
- ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 4 วาล์วต่อลูกสูบ (สายพานโซ่)
- ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง เทอร์โบ และอินเตอร์คูเลอร์
- ชุดกรองไอเสีย
ระบบไฮบริด
- ส่งกำลังแบบคู่ขนาน
- มอเตอร์ไฟฟ้าแบบสนามแม่เหล็กถาวร
- กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า
- แรงบิดสูงสุด 310 นิวทันเมตร/31.6 กก.ม.
กำลังสูงสุดทั้งระบบ
- 255 กิโลวัตต์/347 แรงม้า
ชุดแบทเตอรี
- แบบลิเธียม-ไอออนฟอสเฟต
- ระบบไฟฟ้า 339 โวลท์ ความจุแบทเตอรี 18.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง
รองรับการชาร์จไฟฟ้า
- 6.6 กิโลวัตต์ แบบ AC หนึ่งเฟส
- 40 กิโลวัตต์ แบบ DC
ระบบขับเคลื่อน
- ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า
- ชุดควบคุมการทำงานของมอเตอร์
รูปแบบตัวถัง
- ตัวถังโลหะ 2 กล่อง 5 ประตู 5 ที่นั่ง
- ระบบรองรับด้านหน้า แมคเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง
- ระบบรองรับด้านหลัง มัลทิลิงค์ คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง
- ชอคอัพแบบไฮดรอลิค
- ระบบเบรคแบบจาน พร้อมช่องระบายอากาศ เอบีเอส อีเอสพี
- ระบบบังคับเลี้ยวแบบฟันเฟือน และตัวหนอน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า
- ความจุถังน้ำมัน 60 ลิตร
ยาง
- KUMHO ECSTA PS71 235/50 R19 103V
- ชุดปะยางฉุกเฉิน
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
- ระยะฐานล้อ 2,670 มม.
- ความยาว 4,500 มม. กว้าง 1,870 มม. สูง 1,670 มม.
- น้ำหนักโดยรวม 1,870 กก. น้ำหนักบรรทุกสูงสุด 2,310 กก. น้ำหนักลากจูง 1,500 กก.
- พื้นที่เก็บสัมภาระท้าย 500-1,265 ลิตร
สถานที่ผลิต
- เมือง WUHU (ประเทศจีน)
คุณภาพของตัวรถ คุณภาพสูงเหมาะกับการใช้งาน
โดยภาพรวม ระดับคุณภาพถือว่าสูงมาก: JAECOO 7 ไม่ได้แสดงถึงความด้อยกว่ารถยนต์สัญชาติยุโรป เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ที่มีชื่อเสียงในด้านคุณภาพ งานพ่นสีทำได้เรียบร้อย (ยกเว้นเพียงด้านในฝากระโปรง และห้องเครื่องยนต์ที่ไม่มีชั้นเคลือบใส) ส่วนเรื่องการประกอบชิ้นส่วน พบจุดต้องติเล็กน้อยตรงมุมขวาของด้านหน้า ระหว่างฝากระโปรงกับบังโคลน และ ในฝั่งเดียวกัน บริเวณขอบประตูด้านบน ซีลยางทำออกมาอย่างแน่นหนา: มีการใช้แบบวัสดุที่ติดตั้งแบบ 2 ชั้น พร้อมขอบด้านบนที่บุด้วยผ้ากำมะหยี่ 2 ชั้นเช่นกัน น่าเสียดายที่ระบบยึดแบบรูปทรงหัวเห็ด บางจุดยังไม่แม่นยำนัก ระบบเก็บเสียงก็ทำได้ดี มีแผ่นซับเสียงบริเวณแป้นคันเร่ง แม้ว่าแผ่นจะขยับได้เล็กน้อย วัสดุที่ใช้กับแผงคอนโซลมีคุณภาพดี (ส่วนบนเป็นวัสดุสัมผัสนุ่ม ส่วนล่างเป็นพลาสติกแข็ง) และงานประกอบมีความแน่นหนาอย่างน่าพอใจ ช่องเก็บของบริเวณคอนโซลกลางมีพื้นยางกันลื่น ซึ่งเป็นจุดเด่นเช่นกัน แต่ในช่องเก็บของตรงแผงประตู และลิ้นชักหลักกลับไม่มีวัสดุปูพื้นเลย บริเวณห้องเก็บสัมภาระท้ายก็ทำได้ดีพอสมควร แม้ว่าด้านข้างของพื้นที่เก็บจะไม่มีพรมบุ แต่พื้นห้องเก็บของมีฝาครอบพลาสติกพิเศษป้องกันรอย และบริเวณส่วนสลักลอคก็มีวัสดุปกป้องภายนอก ติดตั้งอย่างแน่นหนาเป็นอย่างดี
องค์กรที่มั่นคง
JAECOO ซึ่งเป็นบแรนด์ในเครือของกลุ่มบริษัท CHERY จากประเทศจีน ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศอิตาลีเป็นเวลาประมาณ 3 ปีแล้ว ไม่ใช่เพียงการขยายไลน์อัพทั้งรุ่นเล็ก และรุ่นใหญ่กว่า อย่างเช่น JAECOO 7- รวมถึงบแรนด์ OMODA ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทางบริษัทก็ให้ความสำคัญกับการขยายเครือข่ายการขาย และการบริการ
ปัจจุบันมีจุดจำหน่าย และบริการประมาณ 70 แห่ง กระจายตัวอย่างสมดุลในพื้นที่ต่างๆ และมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว JAECOO ยังยืนยันถึงความพร้อมด้านอะไหล่ โดยเพิ่งเปิดคลังอะไหล่ ภายใต้การจัดการของบริษัทโลจิสติกส์ ซึ่งสามารถจัดส่งอะไหล่ได้ภายใน 24 ชม. (และ 48 ชม. สำหรับในบางพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล) ในส่วนของการรับประกันก็น่าสนใจไม่แพ้กัน กับการรับประกันตัวรถนานถึง 7 ปี หรือ 150,000 กม. และขยายเป็น 8 ปี หรือ 160,000 กม. สำหรับชิ้นส่วนระบบไฟฟ้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ประหยัดมากในตัวเมือง
ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของนิตยสาร QUATTRORUOTE ที่รถเอสยูวีในกลุ่ม ซี เซกเมนท์ จะประหยัดน้ำมันได้ขนาดนี้ในตัวเมือง และแน่นอนว่าเรากำลังพูดถึงการขับขี่ในสภาวะที่แบทเตอรีหมดแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากหลักการทำงานเฉพาะตัวของระบบส่งกำลัง เพราะการไม่มีระบบเกียร์ ในการใช้ความเร็วต่ำขณะขับขี่ในตัวเมือง รถคันนี้จึงขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ขณะที่เครื่องยนต์สันดาปภายในมีหน้าที่เพียงแค่ชาร์จแบทเตอรีเท่านั้น และ นี่คือ อีกหนึ่งเคล็ดลับสำคัญ: ในรูปแบบการทำงานนี้ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ จะทำงานในลักษณะที่เรียกว่า "คงที่" หรือทำงานที่รอบเครื่องคงที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้สามารถรีดประสิทธิภาพขงเครื่องยนต์สันดาปได้สูงสุด สมรรถนะที่โดดเด่นนี้มาพร้อมกับข้อมูลที่น่าทึ่ง: JAECOO 7 ใช้เวลาในการทดสอบขับขี่ในเมืองถึง 83 % โดยที่เครื่องยนต์ 4 สูบไม่ได้ทำงานเลย (ในการทดสอบตามเส้นทางที่ได้รับการรับรองที่สนาม VAIRANO) และในอีก 17 % ที่เหลือ เครื่องยนต์ก็ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงน้อยมาก