เรื่องเด่น Quattroruote
ALFA ROMEO JUNIOR รถยนต์ไฟฟ้าสุดเร้าใจ !
รถยนต์ไฟฟ้ารุ่น JUNIOR (จูเนียร์) มีการตอบสนองที่เฉียบคมเกินคาด บ่งบอกการสืบทอดจากค่าย ALFA ROMEO (อัลฟา โรเมโอ) กับการรังสรรค์ระบบรองรับที่เน้นการขับขี่แบบสปอร์ท และยังเร้าใจในสนามแข่งอีกด้วย
หลังจากการเปิดตัวที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันพอสมควรของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ เนื่องจากการถูกเปลี่ยนชื่อจาก MILANO (มิลาโน) เป็น JUNIOR ในระยะเวลาหลังจากเปิดตัวเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ! นอกจากนี้ ยังมีข้อคิดเห็นจากโซเชียลมีเดียมากมายกับการระบุว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ไม่ใช่รถยนต์จาก ALFA ROMEO ที่แท้จริง เนื่องจากการถูกนำไปทำตลาดหลากหลายชื่อในหลายประเทศ แม้เอาเข้าจริงการทำตลาดลักษณะดังกล่าวก็มีมานานแล้ว อีกทั้งด้วยเหตุผลของการอยู่รอดของรถยนต์ และค่ายรถหลายแห่ง จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไรนับตั้งแต่ช่วงเวลาของตลาดรถยนต์ในปี 1980 จนถึงปัจจุบัน สิ่งที่จะพิสูจน์ว่ารถยนต์รุ่นนั้นๆ ยังรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ได้หรือไม่ คือ การได้มาลองขับด้วยตัวเอง เพื่อพิจารณาการตอบสนองแบบไม่มีอคติ หรือการคาดเดาไปเองล่วงหน้าแม้แต่น้อย และทำให้ผู้ขับได้รับรู้ถึงจุดเด่นที่แท้จริงของรถยนต์รุ่นนี้ โดยรุ่นที่เรามาทดสอบในครั้งนี้ คือ รุ่นย่อย MANIFESTO (แมนิเฟสโต) มาพร้อมบรรดาออพชันที่จัดเต็ม เพื่อรักษาความเร้าใจสไตล์สปอร์ทตามแบบฉบับค่ายรถระดับตำนานแห่งนี้ สำหรับรุ่นรถยนต์ไฟฟ้ามีชื่อเรียกรุ่นทอพเพิ่มเติม คือ VELOCE (เวโลเช) ในช่วงเวลาของการเปิดตัวกับชื่อเดิม MILANO จะมีกำลังสูงสุดที่ 240 แรงม้า แต่เมื่อเปลี่ยนชื่อมาเป็น JUNIOR กำลังสูงสุดเพิ่มเป็น 281 แรงม้า สาเหตุมาจากทีมวิศวกรมีความมั่นใจในความแข็งแรงของโครงสร้างตัวรถที่ถูกพัฒนามาเป็นอย่างดี เป็นการพัฒนาเพื่อรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าตัวทอพโดยเฉพาะ ไม่ถูกใช้งานในรุ่นย่อยอื่นๆ ที่ใช้มอเตอรไฟฟ้า 156 แรงม้า หรือแม้แต่รุ่นไฮบริด การทดสอบในครั้งนี้จึงเป็นการพิสูจน์ประสิทธิภาพของตัวแรงรุ่นนี้จาก ALFA ROMEO ได้อย่างชัดเจน
การทดสอบในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นที่สนามแข่ง และสนามทดสอบ VAIRANO ในช่วงเดือนกรกฎาคม ปีที่แล้ว ณ ช่วงเวลาดังกล่าว เป็นการคล้อยหลังวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ทีมงานของ QUATTRORUOTE ก็ได้นำมาทดสอบกันอย่างฉับไว ก่อนการขับทดสอบ ทางทีมงานได้รับข้อมูลเพิ่มเติมถึงความหนึบแน่นที่พร้อมรองรับการขับขี่แบบเน้นสมรรถนะในสนามแข่งได้ดีเกินคาด การทดสอบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น JUNIOR จึงเป็นความตื่นเต้นของทีมงานที่ได้เก็บข้อมูลรถยนต์รุ่นใหม่แกะกล่องเป็นรายแรกๆ เลยก็ว่าได้ มียกเว้นเพียงบางหัวข้อที่ตัวรถยังไม่พร้อมสำหรับการทดสอบ (เช่น ระบบช่วยเหลือการขับขี่ และอัตราสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า) เนื่องจากรถคันนี้เพิ่งออกจากสายการผลิตได้ไม่นาน การทดสอบในครั้งแรกจึงเน้นไปที่ประสิทธิภาพการขับขี่เป็นหลัก
ความประทับใจแรกจากทีมงานของเรา คือ การตกแต่งของห้องโดยสาร มีการติดตั้งเบาะนั่งสไตล์สปอร์ท ตัวเบาะมีรูปทรงที่ดูเร้าใจ และรองรับสรีระได้ดีมากด้วย พวงมาลัยมีตำแหน่งการติดตั้งที่เกือบจะตั้งเป็นมุมฉาก สามารถปรับตำแหน่งเข้า-ออกได้ ทำให้มีตำแหน่งที่เหมาะสมกับผู้ขับ และช่วงขาได้เหมาะสมยิ่งขึ้น ตำแหน่งของเบาะค่อนข้างสูงพอสมควร (ที่ 570 มม. จากพื้นถนน) แต่ผู้ขับยังคงรู้สึกถึงความกระชับแน่นของเบาะนั่ง อย่างไรก็ตาม เรามีความรู้สึกว่าหากเบาะนั่งสามารถปรับให้ต่ำลงมาได้มากกว่านี้อีกประมาณ 20-30 มม. จะลงตัวมากกว่านี้
ขณะที่การออกแบบชุดแผงหน้าปัด มีการเน้นรูปแบบที่ล้ำสมัย รอบๆ คอนโซลถูกหุ้มด้วยวัสดุผ้ากำมะหยี่ชั้นดี ตำแหน่งของจอแสดงผลความบันเทิงต่างๆ มีระดับต่ำลงมาจากบรรดารถยนต์ร่วมค่ายรุ่นอื่นๆ ช่วยให้การใช้งานโดยรวมมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่การเลื่อนใช้งานเมนูอื่นๆ อาจต้องทำความคุ้นเคยเล็กน้อยในช่วงแรก อย่างไรก็ตาม หน้าจอแบบดิจิทอลมีความคมชัดที่น่าพอใจ มองเห็นการแสดงผลได้ชัดเจน ปราศจากการรบกวนสายตาจากแสงสะท้อนภายนอก เนื่องจากมีส่วนกรอบของหน้าจอครอบเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญของรถยนต์จากค่าย ALFA ROMEO อย่างไรก็ตาม เหล่าแฟนพันธุ์แท้ยุคดั้งเดิมอาจรู้สึกขัดใจเล็กน้อยกับการติดตั้งอุปกรณ์ใช้งานที่เป็นบแรนด์จากประเทศฝรั่งเศส เอาเข้าจริง แม้แต่รถสปอร์ทสัญชาติอิตาเลียนอย่าง LAMBORGHINI (ลัมโบร์กินี) ก็มีการติดตั้งอุปกรณ์คุณภาพสูงจากค่ายรถสัญชาติเยอรมัน นั่นคือ AUDI (เอาดี) แต่เราถือว่านั่นเป็นเพียงรายละเอียดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และน่าจะทำใจยอมรับได้ จุดที่เราสังเกตเพิ่มเติม คือ ปุ่มปรับโหมดการขับขี่ ดูไม่คุ้นเคยแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับรถร่วมค่ายรุ่นอื่นๆ ก่อนหน้านี้ (แต่หากเลือกการออกแบบแบบดั้งเดิม อาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนกว่าเดิม) อย่างไรก็ตาม การใช้งานแบบดิจิทอลที่ดูทันสมัย มีตำแหน่งการติดตั้งที่แตกต่างจากเดิม และการตอบสนองโดยรวมยังช้ากว่าการกดปุ่มโดยตรง
การปรับแต่งที่สมดุล
สิ่งที่ทีมงานของเราได้รับรู้ในการทดสอบช่วงถัดมา คือ ความสมดุลโดยรวมของตัวรถ ข้อมูลจำเพาะหลายหัวข้อมีความเฉพาะเจาะจงสำหรับ ALFA ROMEO JUNIOR การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าถูกปรับแต่งให้มีสมรรถนะที่เร้าใจ ภายใต้โครงสร้างตัวถังของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีชื่อว่า CMP เป็นโครงสร้างตัวถังที่ถูกใช้งานในรถยนต์ร่วมเครือหลากหลายรุ่น แต่มีการปรับแต่งให้มีความแตกต่างกันในส่วนของชุดสปริง ชอคอับ ชุดคานเสริมต่างๆ รวมถึงระบบควบคุมการตอบสนองของระบบรองรับ และชุดพวงมาลัยที่ถูกปรับแต่งให้มีการตอบสนองที่ฉับไว จุดสำคัญอีกประการ คือ มอเตอร์ไฟฟ้าของรุ่นทอพ VELOCE ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ มีกำลังสูงสุดที่ 281 แรงม้า ส่งกำลังแบบ 4 ล้อตลอดเวลา ควบคุมการส่งกำลังด้วยอีเลคทรอนิค พร้อมปุ่มใช้งานการสตาร์ทระบบไฟฟ้า มีตำแหน่งติดตั้งที่เห็นได้ชัดบนคอนโซลหน้า พร้อมออกตัวได้อย่างทันใจ หากผู้ขับที่ต้องการความคุ้นเคยแบบดั้งเดิม รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้มีระบบเสียงสังเคราะห์ (สามารถเปิด-ปิดการทำงานได้ หรือเลือกให้ทำงานโดยไม่รบกวนเสียงระบบความบันเทิง) แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกโล่งใจ คือ การไม่พยายามจะทำเสียงสังเคราะห์เสมือนเครื่องยนต์สันดาป (เสียงสังเคราะห์ที่ชวนแปลกหูอาจส่งผลให้การทำเวลาต่อรอบนั้นช้าลง) แต่เป็นเสียงสังเคราะห์ที่มีรูปแบบเฉพาะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากพละกำลังจากแรงม้า และแรงบิดที่ค่อนข้างสูงแล้ว น้ำหนักโดยรวมของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ก็ไม่มากเกินไปนัก (ประมาณ 1.7 ตันกว่าๆ) ช่วยให้มีอัตราเร่งที่ฉับไว เมื่อกดคันเร่งสุดเพื่อการออกตัว อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5.9 วินาทีเท่านั้น และอัตราเร่งระยะ 0-1,000 ม. สามารถไต่ถึงช่วงความเร็วสูงได้ในเวลาอันสั้น ที่ประมาณต่ำกว่า 200 กม./ชม. เล็กน้อย
จุดที่น่าชื่นชม
บริเวณด้านหน้ารถ ส่วนที่คล้ายกับฝาปิดเครื่องยนต์ แต่ความจริงแล้วเป็นฝาปิดของที่เก็บของด้านหน้า ใช้สำหรับเก็บสายชาร์จไฟฟ้า เป็นการออกแบบที่น่าสนใจมาก ช่วยเพิ่มประโยชน์ใช้สอย และเพิ่มพื้นที่เก็บของได้อีกทาง
จุดที่ควรปรับปรุง
การติดตั้งปุ่มใช้งานในตำแหน่งต่างๆ อาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิตบางส่วน แต่เรามีความเห็นว่า JUNIOR ควรมีรูปแบบของปุ่มใช้งานโหมดการขับขี่ที่เหมาะสมกว่านี้ แทนที่รูปแบบที่คล้ายกับรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศส การงานบางครั้งยังสับสันกับตำแหน่งของโหมดที่กำลังใช้งาน
เข้าโค้งได้เฉียบเกินตัว
นอกจากอัตราเร่งที่ฉับไวในทางตรงแล้ว เรามีความสงสัยว่าตัวรถจะมีการตอบสนองที่น่าพอใจแค่ไหน สำหรับการหักเลี้ยวในทางโค้ง เป็นหนึ่งในหัวข้อสำคัญของการทดสอบในสนามแข่งแห่งนี้ ข้างใต้รถไม่ห่างจากผู้ขับ คือ ชุดเพลาขับจากมอเตอร์ไฟฟ้า มาพร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 35.6 กก.ม. ส่งกำลังสู่ล้อทั้ง 4 ตำแหน่ง เหมาะสำหรับการทำเวลาต่อรอบในสนามแข่ง ในช่วงโค้งความเร็วต่ำของการทดสอบระดับการยึดเกาะถนน ทีมงานของเราสามารถกดคันเร่งสุดขณะออกจากโค้งได้โดยที่รถแทบไม่เสียการทรงตัวเลย พร้อมกับการหักเลี้ยวพวงมาลัยที่ทำได้ต่อเนื่อง และมั่นคง ส่วนหน้าของ JUNIOR สามารถหันตามการหักเลี้ยวได้อย่างแม่นยำ ไม่มีอาการหน้าดื้อโค้งปรากฏให้เห็น เสริมด้วยการทำงานของระบบความปลอดภัยที่จะเพิ่มแรงเบรคอย่างเหมาะสมกับล้อด้านในโค้ง โดยมีการทำงานที่ไม่รบกวนจังหวะการขับขี่ขณะอยู่ในโค้ง ลักษณะการทำงานดังกล่าวยังมีประสิทธิภาพดีแม้ในส่วนของถนนเปียก ตัวรถยังคงมีความหนึบแน่นที่น่าพอใจมาก แม้พื้นผิวถนนจะมีความลื่นก็ตาม ระบบส่งกำลังแบบ TORSEN D ช่วยให้รถมีการยึดเกาะที่ดีในหลากหลายสภาวะ และมีการบังคับควบคุมที่ง่ายดาย แม้อาการกระชากของตัวรถจากแรงบิดที่มหาศาล หรือศัพท์เฉพาะที่เรียกกันว่า TORQUE STEERING มีให้สัมผัสเล็กน้อยก็ตาม เป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับรถยนต์สมรรถนะสูงที่ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า ในกรณีที่กดคันเร่งอย่างดุดัน พวงมาลัยยังคงมีความมั่นคงอย่างน่าพอใจ สามารถควบคุมรถคันนี้ได้ไม่ยากเย็น สมกับการเป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา นอกจากนี้ น้ำหนักของพวงมาลัยสามารถปรับแต่งได้จากโหมดการขับขี่ทั้ง 3 รูปแบบ แต่ในโหมดที่เน้นสมรรถนะอย่าง DYNAMIC พวงมาลัยจะถูกเพิ่มน้ำหนักเข้ามา การตอบสนองจะฉับไวยิ่งขึ้น การเข้าโค้งทำได้เฉียบคม และตอบสนองคันเร่งได้ฉับไวขึ้นเช่นกัน ถือเป็นโหมดการขับขี่ที่เหมาะมากสำหรับการขับในสนามแข่ง ข้อมูลของการทำเวลาในสนามแข่งสามารถดูรายละเอียดได้ในหน้าถัดๆ ไป และเมื่อการปรับแต่งมีความลงตัวเช่นนี้ ความเร้าใจของการขับจึงตามมา ขณะที่ล้อคู่หน้าสามารถหักเลี้ยวได้อย่างแม่นยำ ส่วนท้ายของตัวรถก็มีความมั่นคงที่น่าพอใจไม่แพ้กัน มีการตอบสนองที่แม่นยำตามการควบคุมของผู้ขับ ซึ่งผู้ขับเพียงผ่อนแรงกดคันเร่งเล็กน้อย แค่นี้ก็สามารถควบคุมตัวรถได้อย่างไม่ยากเย็น หรือในกรณีที่ใช้การกดคันเร่งแบบเน้นสมรรถนะ ระบบช่วยเหลือการควบคุมการส่งกำลังไปยังล้อแต่ละตำแหน่งให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ผ่านการทำงานของระบบ ESP (ไม่สามารถปิดการทำงานได้ทั้งหมด) ช่วยให้รถมีการทรงตัวที่ดีขณะทำอัตราเร่งในโค้ง เป็นจุดเด่นที่น่าพอใจในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น การหักหลบสิ่งกีดขวางขณะใช้ความเร็วสูง การหักเลี้ยวกะทันหันอาจทำให้ตัวรถมีอาการท้ายปัดเล็กน้อย แต่ระบบช่วยเหลือดังกล่าวช่วยให้ผู้ขับสามารถควบคุมรถได้อย่างไม่ยากเย็นเกินไป หรือตัวรถยังคงมีสมดุลที่เหมาะสม
จุดสังเกตที่น่าสนใจของการปรับแต่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ คือ ระบบรองรับที่ควรจะเพิ่มความหนึบแน่นให้กับชุดชอคอับได้มากกว่านี้ เราสังเกตว่าอาการโคลงของตัวรถมีค่อนข้างชัดเจนขณะการหักเลี้ยวกะทันหัน แม้การรองรับแรงสั่นสะเทือนจะทำได้ค่อนข้างน่าพอใจก็ตาม จากความนุ่มนวลที่เหมาะสมของช่วงล่าง มีผลดีในแง่ของความสะดวกสบายในห้องโดยสาร อย่างไรก็ตาม ด้วยการเป็นรุ่นทอพที่เน้นสมรรถนะ ความหนึบแน่นย่อมมีความสำคัญไม่แพ้กัน ในการทดสอบบนพื้นผิวถนนที่มีความลื่นเป็นพิเศษ เราพบว่าระบบรองรับสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในแง่ของความนุ่มนวล เบาะคู่หน้าจะมีความสะดวกสบายมากกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเบาะด้านหลังที่มีแรงสั่นสะเทือนมากกว่าเล็กน้อย ส่วนหนึ่งมาจากการใช้ระบบรองรับด้านหลังแบบทอร์ชันบีม ส่วนเสียงรบกวนขณะรถแล่น อยู่ในระดับที่ค่อนข้างเงียบอย่างน่าพอใจ แม้ยางที่ใช้จะเน้นความหนึบแน่นมากกว่าความนุ่มเงียบโดยรวม สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพของระบบเบรค JUNIOR รุ่นนี้มีการติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ช่วยให้ระยะเบรคอยู่ในระดับที่เหมาะสมในหลากหลายสภาวะ อย่างไรก็ตาม เรามีความเห็นว่าแป้นเบรคสามารถเพิ่มความหนักแน่นได้มากกว่านี้ในกรณีที่ถูกใช้งานอย่างหนักหน่วง
รุ่น BEV VELOCE
ราคา
ของรถทดสอบ 48,500 ยูโร (ประมาณ 1,790,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
มอเตอร์ไฟฟ้า
วางด้านหน้า
กำลังสูงสุด
207 กิโลวัตต์/281 แรงม้า
แบทเตอรี
ความจุ 51 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ระยะทำการสูงสุด
จากผู้ผลิต 322 กม.
จุดแข็ง
- จุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ คือ ความคล่องแคล่วของการขับขี่ ทั้งในแง่ของของการตอบสนองที่มั่นคง และมีอัตราเร่งที่น่าพอใจมาก สามารถรองรับการขับขี่ในสภาวะที่หลากหลาย ในส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้า มีการปรับแต่งอย่างลงตัว มีสมรรถนะที่เร่าใจ และทำตัวเลขจากการทดสอบที่เหลือเชื่อในหลายหัวข้อ
จุดอ่อน
- ในสภาวะการขับขี่แบบเน้นสมรรถนะเต็มที่ เช่น การขับในสนามแข่ง ท่ามกลางจุดเด่นจากการทดสอบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ เราพบว่า ความทำงานของระบบเบรค ขณะที่ระบบช่วยเหลือการขับขี่ยามฉุกเฉิน มีการรบกวนจังหวะการเบรคในบางครั้ง นอกจากนี้ คุณภาพการประกอบ บางส่วนควรปรับปรุง
สืบทอดการขับขี่ที่เร้าใจ
ALFA ROMEO รุ่นต่างๆ ได้แก่ 4C 8C และ GIULIA GTA ต่างก็เป็นรถยนต์สมรรถนะสูง ถูกพัฒนาโดยหัวหน้าทีมวิศวกร นั่นคือ DOMENICO BAGNASCO (บุคคลในรูปด้านล่าง) มีหน้าที่ปรับแต่งความสปอร์ทให้กับรถยนต์หลายรุ่นของ ALFA ROMEO ทำงานร่วมกับทีมงานของเขาในการรังสรรค์ให้ JUNIOR รุ่นนี้มีบุคลิกเฉพาะตัว แม้องค์ประกอบของตัวถังหลยาส่วนจะถูกใช้ร่วมรถยนต์รุ่นอื่นๆ
“สิ่งที่ผมชื่นชอบมากที่สุด” BAGNASCO กล่าว “คือ การขับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ด้วยการใช้เพียงแป้นคันเร่งเท่านั้น ผู้ขับเพียงถอนเท้าจากคันเร่งขณะเจ้าโค้ง ตัวรถก็ชะลอความเร็วได้ดีพอแล้ว หากมีความคุ้นเคย ผู้ขับเพียงควบคุมระดับการกดคันเร่งให้เหมาะสม สามารถทะยานในสนามแข่งได้อย่างไม่มีปัญหา” นอกจากนี้เสริมด้วยการปรับแต่งเหล็กกันโคลงให้ลงตัว และมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลังสูง มีกำลังสูงสุดที่ 240 แรงม้า และเพิ่มเป็น 281 แรงม้าขณะเน้นสมรรถนะ
“เรามีความมั่นใจว่าโครงสร้างตัวถังของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้สามารถรองรับพละกำลังมากกว่า 40 แรงม้าได้สบาย ทำให้เรากล้าที่จะปรับแต่งมอเตอร์ไฟฟ้าให้เน้นสมรรถนะแบบจัดเต็ม” นอกจากนี้ BAGNASCO มีความพึงพอใจกับการตอบสนองของการหักเลี้ยวจากรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ มีการปรับแต่งองศาของชุดระบบรองรับ และอัตราการทดของพวงมาลัยอย่างลงตัวกับอัตราส่วนที่ 14.6:1
ระบบรองรับด้านหน้าที่เฉียบคม
ระบบรองรับด้านหน้าแบบ แมคเฟอร์สันสตรัท ถูกปรับแต่งมาอย่างลงตัว ส่วนประกอบต่างๆ ถูกให้มีองศาที่พร้อมรองรับสมรรถนะของตัวรถ แต่จุดสำคัญ คือ การเลือกใช้สปริงที่มีเหมาะกับการใช้งาน รวมถึงการปรับแต่งชุดชอคอัพ และเหล็กกันโคลง ความสูงของตัวถังจะลดลงมา 250 มม. และเน้นความหนึบแน่นมากกว่าเดิม โดยยังคำนึงถึงความนุ่มนวลในระดับที่เหมาะสมด้วย
ความหนึบที่พอเหมาะ
ระบบรองรับด้านหลังแบบ ทอร์ชันบีม พร้อมเหล็กกันโคลง ปรับแต่งชุดสปริง และชอคอัพอย่างเหมาะสม ในรุ่นย่อยที่ได้ทดสอบติดตั้งระบบรองรับแบบแปรผันการตอบสนองได้ และระบบไฮดรอลิคที่ทันสมัย
ชุดเพลาขับพวงมาลัย
ระบบบังคับเลี้ยวแบบ TORSEN D ปรับแต่งอัตราทดอย่างลงตัว โดยมีอัตราทดที่ 36 % ขณะทำการหักเลี้ยว ส่วนการขับขี่ตามปกติจะมีอัตราส่วนที่ 34 % ผู้ผลิตของระบบังคับเลี้ยวเป็นเจ้าเดียวกับที่พัฒนาระบบพวงมาลัย ทำให้ระบบบังคับเลี้ยวมีการทำงานที่สอดประสานกัน กับอัตราส่วนที่ 14.6:1
มอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่
มอเตอร์ไฟฟ้ารุ่น M4 ถูกพัฒนาโดยกลุ่มค่ายรถ STELLANTIS ผลิตจากโรงงานเดียวกันกับมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่น M3 ที่มีกำลังสูงสุด 156 แรงม้า และรุ่นที่ขนาดเล็กกว่าอย่าง M2 ใช้งานกับรถยนต์ขนาดเล็ก ด้วยมอเตอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่า สร้างกำลังสูงสุดที่ 281 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 35.2 กก.ม. และมีรอบมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 15,200 รตน.
ข้อมูลจำเพาะ ข้อมูลของรถทดสอบจากผู้ผลิต
มอเตอร์ไฟฟ้า
- วางด้านหน้า ขับเคลื่อนด้วยสนามแม่เหล็ก
- กำลังสูงสุด 207 กิโลวัตต์/281 แรงม้า
- แรงบิดสูงสุด 345 นิวทันเมตร/35.2 กก.ม.
แบทเตอรี
- แบบลิเธียม-ไอออน ติดตั้งใต้พื้นรถ
- ระบบไฟฟ้าแบบ 400 โวลท์ ความจุใช้งานจริง 51 กิโลวัตต์ชั่วโมง (ทั้งหมด 54 กิโลวัตต์)
การชาร์จไฟฟ้า
- แบบ 3 เฟส รองรับแบบ AC สูงสุด 11 กิโลวัตต์
- รองรับแบบ DC สูงสุด 100 กิโลวัตต์ ที่ 400 โวลท์
ระบบส่งกำลัง
- ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า
- ชุดควบคุมการทำงานของมอเตอร์
- ชุดเฟืองท้ายส่งกำลัง
รูปแบบตัวถัง
- โครงสร้างตัวถังวัสดุโลหะ แบบ 2 กล่อง 5 ประตู 5 ที่นั่ง
- ระบบรองรับด้านหน้า แบบแมคเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
- ระบบรองรับด้านหลัง แบบ ทอร์ชันบีม คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
- ชอคอัพแบบ ไฮดรอลิค
- ระบบเบรคแบบจาน พร้อมช่องระบายอากาศ เอบีเอส อีเอสพี
- พวงมาลัยแบบ ฟันเฟือง และตัวหนอน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า
ยาง
- MICHELIN PILOT SPORT EV 225/40 R20 94V
- ชุดปะยางฉุกเฉิน
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
- ระยะฐานล้อ 2,560 มม.
- ความกว้างฐานล้อคู่หน้า 1,520 มม. คู่หลัง 1,520 มม.
- ความยาว 4,170 มม. กว้าง 1,780 มม. สูง 1,510 มม.
- น้ำหนักโดยรวม 1,590 กก.
- พื้นที่เก็บสัมภาระท้าย 1,590 ลิตร
สถานที่ผลิต
- เมือง TYCHY (ประเทศโปแลนด์)
การทดสอบที่สนาม VAIRANO
เราไม่เคยทดสอบเวลาต่อรอบกับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ แต่ผลของเวลาต่อรอบสนามแข่งทำได้ใกล้เคียงกับรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปหลายรุ่น หรือรถยนต์ไฟฟ้าที่มีพละกำลังมากกว่านี้ JUNIOR ทำเวลาต่อรอบในระดับหัวแถว อัตราเร่งมีความฉับไว พร้อมการยึดเกาะถนนที่ยอดเยี่ยม ทะยานออกจากโค้งได้รวดเร็ว และส่วนท้ายรถมีอาการท้ายปัดในระดับที่ควบคุมได้ สามารถบังคับตัวรถได้ไม่ยากเย็น ทั้งในช่วงโค้งต่อเนื่อง และโค้งที่ใช้ความเร็วสูง ข้อจำกัดที่เราพบจากการขับบนสนามแข่ง นั่นคือ ระบบเบรคที่ควรเพิ่มหนักแน่นให้มากกว่านี้ได้ แม้ระยะเบรคโดยรวมจะทำด่าพอใจก็ตาม
รายละเอียดที่น่าสนใจ
ชุดไฟเลี้ยวที่มีตำแห่งติดตั้งรุ่นย่อยปกติทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ในรุ่นทอพถูกติดตั้งชุดไฟแบบ แอลอีดี มีความสวยลงตัวกว่าเดิม ส่วนล้อแมกมีขนาด 20 นิ้ว เป็นแบบ 4 ก้าน เน้นโทนสีแดงเข้ม ขณะที่ภาพด้านล่าง แสดงให้เห็นโลโกของ ALFA ROMEO บนเสา ซี ลวดลายจางๆ แต่ยังมองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน
รถยนต์ไฟฟ้ามาดสปอร์ท
จอแสดงผลระบบความบันเทิงถูกติดตั้งบริเวณตรงกลางของคอนโซลหน้า และมีตำแหน่งที่ไม่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับรถยนต์ร่วมค่ายรุ่นอื่นๆ เป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงด้านการออกแบบที่ช่วยให้การใช้งานของผู้โดยสารมีความสะดวกยิ่งขึ้น การใช้งานถูกจัดวางตำแหน่งเป็นกลุ่มเอาไว้อย่างชัดเจน ปุ่มต่างๆ อยู่ในระยะเอื้อมมือใช้งานได้สะดวก ขณะที่คอนโซลเกียร์ถูกออกแบบให้มีลักษณะเรียวบาง ไม่กินเนื้อที่ เราวัดพื้นที่ของผู้โดยสารด้านหน้า บว่ามิติโดยรวมไม่แตกต่างจากคู่แข่งมากนัก โดย JUNIOR มีความใกล้เคียงกับ JEEP AVENGER (เบาะนั่งมีความสูงจากพื้นห้องโดยสารที่ 240 มม. และจากพื้นถนนที่ 570 มม.) แต่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้จะมีสไตล์การออกแบบที่เน้นความสปอร์ทมากกว่า ตัวเบาะโอบกระชับสรีระเป็นอย่างดี และส่วนแผงหน้าปัดมีกรอบล้อมรอบคล้ายกล้องส่องทางไกลช่วยป้องกันแสงสะท้อนบนหน้าจอได้เป็นอย่างดี และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สืบทอดตลอดมาของค่ายรถแห่งนี้ พื้นที่ของส่วนผู้โดยสารมีความใกล้เคียงกับรถยนต์ร่วมค่ายระดับเดียวกัน พื้นที่ของเบาะหลังมีความสูงที่น่าพอใจ และส่วนช่วงขามีความกว้างค่อนข้งามาก
1. ปุ่มใช้งานระบบความปลอดภัยระดับที่ 2
2. ปุ่มใช้งานระบบสั่งงานด้วยเสียง และระบบเครื่องเสียง พร้อมปุ่มควบคุมการทำงานของจอแผงหน้าปัด
3. จอแผงหน้าปัดแบบดิจิทอลขนาด 10.3 นิ้ว
4. ปุ่มลัดสำหรับใช้งานระบบความบันเทิงต่างๆ รวมถึงระบบช่วยเหลือการขับขี่ ไฟฉุกเฉิน และปุ่มลอค/ปลดลอคประตู
5. จอแสดงผลหลักขนาด 10.0 นิ้ว พร้อมระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เนท และระบบเนวิเกเตอร์
6. แผงคอนโซลกลางร่วมปุ่มใช้งานเอาไว้ด้วยกัน รวมถึงปุ่มใช้งานระบบปรับอากาศ
7. แท่นชาร์จมือถือแบบไร้สาย ส่วนแท่นวางใช้วัสดุยาง ป้องกันมือถือลื่นไถล และมีช่องชาร์จแบบ USB-C
8. ปุ่มเริ่มทำงานของระบบไฟฟ้า การทำงานของระบบส่งกำลัง พร้อมปุ่มตัว B นั่นคือ โหมดเน้นการสร้างกระแสไฟฟ้าเต็มที่
9. ปุ่มใช้งานโหมดการขับขี่ต่างๆ (ได้แก่ โหมดเน้นการประหยัดพลังงานไฟฟ้า โหมดปกติ และโหมดเน้นสมรรถนะ) และปุ่มเบรคมือแบบไฟฟ้า
เบาะผู้ขับ
จากภาพด้านบน วนตามเข็มนาฬิกา ตำแหน่งของเข็มขัดนิรภัยปรับด้วยไฟฟ้า ใช้วัสดุหนังอย่างดี และผ้ากำมะหยี่ ข้างใต้ปุ่มใช้งานระบบปรับอากาศมีแท่นชาร์จมือถือแบบไร้สาย (พร้อมโลโก BISCIONE ของ ALFA ROMEO) พร้อมช่องต่อแบบ USB-C 2 จุด ถัดมา คือ จอแผงหน้าปัดขนาด 10.3 นิ้ว ปรับเปลี่ยนรูปแบบได้หลากหลาย สามารถใช้งานผ่านปุ่มบนพวงมาลัย แป้นเหยียบใช้วัสดุอลูมิเนียมผสมกับวัสดุยางป้องกันการลื่นจากเท้าของผู้ขับ ช่องว่างบริเวณใต้พนักพิงศีรษะมีรูปทรงคล้ายกับโล่บนโลโกของค่ายรถแห่งนี้ ช่องแอร์ทรงกลมเป็นรูปแบบที่คุ้นเคย และใช้งานได้สะดวก ภาพด้านล่าง ตำแหน่งของผู้ขับจะอยู่สูงขึ้นมาจากพื้นถนนที่ 570 มม. และสูงจากพื้นรถที่ 240 มม. เบาะด้านหลังมีพื้นที่มากพอสำหรับความสะดวกสบาย ส่วนพื้นที่ช่วงขามีระยะประมาณ 230 มม.
JUNIOR มีรูปแบบที่แตกต่างจาก ALFA ROMEO ยุคดั้งเดิม
การเปรียบเทียบรูปทรงของรถยนต์ของ ALFA ROMEO เป็นเวลายาวนานร่วม 70 ปี บ่งบอกว่า JUNIOR มีรูปแบบที่แตกต่างจากเดิมอย่างชัดเจน หรือ นี่คือ รูปทรงแบบใหม่ของค่ายรถแห่งนี้ ? หรือจะเป็นการสิ้นสุดของรูปแบบดั้งเดิมที่หลายคนเคยหลงใหลมาเป็นเวลาช้านาน ? รูปทรงด้านหน้าของรถยนต์แต่ละรุ่นตั้งแต่ยุคอดีต มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างชัดเจน สไตล์ที่ไม่เหมือนใครในยุคดั้งเดิม ตลอดจนการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของค่ายรถแห่งนี้ หากต้องเลือกรถยนต์ 3 รุ่นในอดีตมานำเสนอ จะเห็นรูปแบบที่มีความคล้ายคลึงกันในรถยนต์หลากหลายรุ่น แต่สำหรับ JUNIOR กลับไม่ใช่อย่างนั้น ทางบริษัทแม่อย่าง STELLANTIS ตัดสินใจที่จะออกแบบรถยนต์รุ่นนี้ขึ้นมาใหม่ให้มีความแตกต่างจากเดิม ซึ่งเอาเข้าจริง เราไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวเท่าใดนัก เนื่องจากค่าย ALFA ROMEO มีประวัติศาสตร์ที่ผูกพันกับประเทศอิตาลีมาเป็นเวลาหลายปี
“ผมขอนำคำกล่าวของเพื่อนนักออกแบบชื่อดัง นั่นคือ WALTER DA SILVA เขาเคยพูดเอาไว้ว่า JUNIOR มีรูปทรงที่ไม่ได้เจริญรอยตามรถยนต์ร่วมค่ายจากในอดีต เห็นได้จากความแปลกตา และแตกต่าง จากรูปทรง การออกแบบดยรวมรอบคัน และเส้นสายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”
GT JUNIOR 1966
รุ่น GT JUNIOR ถูกออกแบบโดย GIOEGETTO GIUGIARO จากสำนัก BERTONE ได้รับการตบสนองอย่างบ้นหลาม จากเส้นสายที่เฉียบคมในยุคนั้น
JUNIOR ZAGATO 1969
นี่คือ JUNIOR ที่ผลิตออกมาจำนวนจำกัด ตัวถังถูกออกแบบตามอากาศพลศาสตร์เต็มพิกัด และมีเบาะนั่ง 2 ตำแหน่ง การออกแบบโดยรวมให้ความรู้สึกสปอร์ท แต่ลดทอนความหรูหราบางส่วนออกไปเช่นกัน
STELVIO 2016
เอสยูวีขนาดใหญ่ยังคงสร้างยอดจองได้อย่างต่อเนื่องแม้ทำตลาดมาปลายปีแล้ว ระยะโอเวอร์แฮงที่กระชับสั้น และมีสปอยเลอร์ท้ายรูปทรงปราดเปรียว ทำให้ ALFA ROMEO รังสรรค์เอสยูวีมาดสปอร์ทเป็นครั้งแรก
TONALE 2022
TONALE คือ รุ่นน้องของ STELVIO ก็ว่าได้ แม้ส่วนหน้าของตัวรถจะมีความยาวเล็กน้อย แต่เส้นสายด้านข้างของตัวถังเน้นความเรียบง่ายมากกว่า
JUNIOR 2024
อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว JUNIOR มีรูปแบบที่แตกต่างจากบรรดารถยนต์ร่วมค่ายในอดีต หลังคาสีดำตามสมัยนิยม แต่ไม่ใช่รูปแบบที่ ALFA ROMEO เคยนำมาใช้ เส้นด้านข้างตัวถังตวัดเฉียงขึ้น และเฉียงลงเล็กน้อยที่ส่วนท้ายของตัวถัง เน้นความปราดเปรียวในตัว มีการออกแบบให้มือเปิดประตูบานหลัง ถูกซ่อนอยู่ในเสา ซี เพื่อเจตนา คือ การเพิ่มความโฉบเฉี่ยวให้กับตัวถัง แต่ผลลัพธ์ยังไม่โดนใจเท่าใดนัก
เครื่องยนต์ระบบไฮบริดมีพละกำลังมากกว่าเดิม
รุ่นรถยนต์ไฟฟ้า VELOCE เป็นรุ่นที่แสดงออกถึงความแปลกใหม่ได้มากที่สุดสำหรับ JUNIOR โดยเริ่มทำตลาดในช่วงต้นปี 2025 ทำให้ ALFA ROMEO รุ่นนี้มีทางเลือกครบทั้งระบบไฮบริด หรือการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเริ่มทำตลาดในช่วงเดือนกันยายนปีที่แล้วทั้ง 2 รุ่นย่อย ส่วนรุ่นเครื่องยนต์สันดาป คือ เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบเรียง ขนาด 1.2 ลิตร เสริมด้วยชุดเทอร์โบแปรผัน และการใช้สายพานโซ่ (มีกำลังสูงสุดที่ 136 แรงม้า) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ ขณะที่รุ่นรถยนต์ไฟฟ้าใช้มอเตอร์กำลังสูงสุด 156 แรงม้า พร้อมแบทเตอรีความจุ 51 กิโลวัตต์ชั่วโมง ถูกใช้งานกับรถยนต์ในเครือของ STELLANTIS หลายรุ่น โดยแต่ละรุ่นย่อยทั้งเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า ในรุ่น BASE และ SPECIALE จะใช้กระจังหน้ารูปโล่ที่มีรูปทรงแตกต่างกัน (รุ่น LEGGENDA คือ รูปด้านบน ส่วนรุ่น PROGRESSO คือ รูปด้านล่าง) นอกจากนี้ หากเพิ่มเงินอีก 2,000 ยูโร จะได้อุปกรณ์ใช้งานเพิ่มเติมได้แก่ ระบบเนวิเกเตอร์ กล้องมองภาพรอบคัน และระบบช่วยเหลือการขับขี่ระดับที่ 2 จุดที่น่าสนใจ คือ รุ่นไฮบริด มีพโรโมชันส่งเสริมการขายมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเงินดาวน์ที่ 3,406 ยูโร โดยจะเป็นรถยนต์ 35 นแรกจากทั้งหมด 200 คัน และมีราคาของอุปกรณ์เสริมสูงสุดที่ 19,276 ยูโร
พื้นที่ใช้สอย ทัศนวิสัย พื้นที่เก็บสัมภาระ และการชาร์จไฟ
การทดสอบสมรรถนะ
การประเมินผลของ QUATTRORUOTE
ตำแหน่งเบาะผู้ขับ
แม้ว่าจะเป็นรถที่มีความสูงในระดับหนึ่ง แต่ผู้ขับสามารถนั่งได้ในท่าทางที่ค่อนข้างผ่อนคลายได้ เบาะนั่งให้ความรู้สึกสบาย และโอบกระชับสรีระได้ดี แม้ว่าเราจะอยากให้ที่นั่งต่ำลงมากว่านี้
แผงหน้าปัด และปุ่มใช้งาน
แผงคอนโซลหน้าดูโดดเด่นมากในด้านการออกแบบ และการตกแต่ง การใช้งานก็ถือว่าทำได้สะดวก ยกเว้นสวิทช์ปรับโหมดการขับขี่ที่อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานได้ไม่สะดวกเท่าใดนัก
แผงมาตรวัด
ส่วนมาตรวัดได้รับการป้องกันจากแสงแดดด้วยฝาครอบลักษณะเหมือนกล้องส่องทางไกล หน้าจอดิจิทอลมีกราฟิกที่เรียบร้อย เป็นระเบียบ และแสดงผลข้อมูลในปริมาณที่พอเหมาะ ใช้งานได้สะดวก
ระบบความบันเทิง
หน้าจอตรงกลางต้องก้มมองเล็กน้อย การแสดงผลด้วยรูปกราฟิกออกแบบได้ดี มีระบบเนวิเกเตอร์ บริการออนไลน์ และการเชื่อมต่ออินเตอร์เนท
ระบบปรับอากาศ
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติโซนเดียว ซึ่งเป็นแบบเดียวกับรถรุ่นอื่นในพแลตฟอร์มนี้ มีการทำงานที่ดี ช่องลมด้านหน้าใช้งานง่าย ส่วนด้านหลังกลับไม่มีช่องลม
ทัศนวิสัย
มีจุดยกเว้น คือ มุมอับสายตาตอนเลี้ยว ส่วนอื่นไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด แม้แต่ผู้โดยสารด้านหลังจะมีมุมมองผ่านกระจกหน้าต่างค่อนข้างเล็กก็ตาม มีกล้องมองรอบคันเสริมการมองเห็นได้ดี
คุณภาพการตกแต่ง
แม้ว่าคุณภาพโดยรวมจะอยู่ในมาตรฐานของรถยนต์ระดับนี้ แต่รายละเอียดบางจุด และคุณภาพการประกอบทำให้รถยนต์รุ่นนี้มีห้องโดยสารที่ลงตัวอย่างน่าประทับใจ
อุปกรณ์เสริม
รุ่นทอพนี้มีอุปกรณ์ที่ดีที่สุดที่สามารถใส่ในรุ่น JUNIOR รวมถึงล้อแมกขนาด 20 นิ้ว และเบาะนั่งแบบสปอร์ท
อุปกรณ์ความปลอดภัย/ระบบช่วยเหลือการขับขี่
นอกจากระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่จำเป็นตามกฎหมายแล้ว ยังมีระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติระดับ 2 ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์รุ่นนี้ ขณะที่ในรุ่นพื้นฐานต้องซื้อเพิ่มเป็นแพคเกจ
พื้นที่ภายในห้องโดยสาร
พื้นที่ภายในห้องโดยสารเหมาะสมกับขนาดตัวถัง บริเวณเบาะหน้ากว้างขวาง ความสบายของเบาะหลังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ส่วนประกอบที่ใช้วัสดุแข็งสำหรับเบาะหน้าทำให้รู้สึกเกะกะเล็กน้อย
ที่เก็บสัมภาระท้าย
พื้นที่ส่วนนี้มีให้เพียงพออย่างน่าพอใจ มีฝาปิดที่ปรับเปลี่ยนได้หลายระดับ ฝาท้ายเปิด/ปิดอัตโนมัติ และช่องเก็บสายชาร์จด้านหน้าซึ่งถือเป็นจุดเด่นของรถรุ่นนี้
ความสะดวกสบาย
ระบบช่วงล่างหนึบแน่น แต่ไม่รู้สึกแข็งกระด้าง อย่างไรก็ตาม ยางแก้มเตี้ยทำให้รู้สึกสะเทือนเมื่อล้อแล่นผ่านสิ่งกีดขวาง การเก็บเสียงทำได้ดีในระดับหนึ่ง
ระบบขับเคลื่อน
มอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่รหัส M4 ที่อัพเกรดจาก 240 เป็น 281 แรงม้า ให้แรงกระชากจากอัตราเร่งอย่างดุดันในระดับที่ควบคุมได้โดยไม่รุนแรงเกินไป
สมรรถนะ
ด้วยตัวเลขการทดสอบใสนแต่ละหัวข้อ บ่งบอกถึงสมรรถนะในระดับที่ฉับไวพอสมควร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาต่ำกว่า 6 วินาที และในระยะทาง 0-1,000 ม. ก็ทำความเร็วสูงสุดได้แล้ว
การตอบสนองของพวงมาลัย
การตอบสนองโดยรวมเหมาะสมกับบุคลิกของตัวรถ ให้ความรู้สึกหนักแน่นในโหมด DYNAMIC และมีความแม่นยำที่ดีในการขับขี่แบบสปอร์ท ให้การตอบสนองที่น่าพอใจ
ระบบเบรค
ระบบเบรคมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ให้ระยะเบรคที่สั้นมากในทุกสภาพการยึดเกาะถนน การควบคุมแรงเบรคยังสามารถปรับแต่งได้ โดยเฉพาะในโหมดกการขับขี่แบบสปอร์ท
ความคล่องแคล่วการขับขี่
รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้มีคุณสมบัติที่ดีอยู่แล้วจากพแลตฟอร์มนี้ถูกยกพัฒนาขึ้นไปอีก ผลลัพธ์ คือ การขับสนุกบนทางโค้ง และมีมั่นคงในการทดสอบช่วงความเร็วสูง
การสิ้นเปลืองพลังงาน
ในหัวข้อนี้เรายังไม่ได้วัดผลออกมาเพราะรถยังอยู่ในขั้นตอนการรับรอง จากการอ่านค่าบนมาตรวัด ยังถือว่าดีกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวม
ระยะทางที่วิ่งได้
เช่นเดียวกับหัวข้อก่อนหน้า จากพิจารณาข้อมูลบนหน้าจอแสดงผล เราพบว่าระยะทางที่ระบุไว้โดยผู้ผลิตประมาณ 320-330 กม. (มาตรฐาน WLTP) ดูจะมีความเป็นไปได้
การชาร์จไฟฟ้า
รองรับพลังงาน 11 กิโลวัตต์แบบกระแสสลับ และ 100 กิโลวัตต์แบบกระแสตรง ซึ่งเหมาะสมกับความจุของแบตเตอรี่และความต้องการใช้งาน
การบริการหลังการขาย
ระบบเนวิเกเอตร์มีฟังค์ชันการคำนวณเส้นทางสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ทั้งจุดหมายปลายทาง และระยะทาง ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีที่ไม่สามารถมองข้ามได้ในรถยนต์กลุ่มนี้ ขณะที่จุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนถูกรวมอยู่ในข้อเสนอการซื้อ พร้อมบริการติดตั้งที่บ้าน และสำหรับการชาร์จสาธารณะจะมีบัตรของ ALFA ROMEO E ซึ่งสามารถใช้งานได้กับเกือบทุกเครือข่ายในประเทศอิตาลี และภูมิภาคยุโรปด้วยบัญชีเดียว
การปรับแต่งโครงสร้างตัวถังสามารถรับสมรรถนะได้ดีกว่าเดิม บ่งบอกการเป็นพแลตฟอร์มตัวถังคุณภาพสูง