FERRARI PUROSANGUE
ม้าลำพองสีแดงที่สร้างประวัติศาสตร์มายาวนาน โชคชะตา และกระแสแห่งโลกยานยนต์นำพาค่ายรถแห่งนี้สู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กับแนวคิดใหม่ของซูเพอร์คาร์ที่ยกระดับขึ้นมาอีกขั้น เหล่าแฟนพันธุ์แท้ของ FERRARI พร้อมแล้วหรือยัง ? รัดเข็มขัดให้แน่น แล้วมาพิสูจน์ด้วยกัน !
ความคุ้นเคยที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สำหรับคนที่ "ไม่คุ้นเคย" เพราะสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนถึงความแตกต่างจากรุ่นอื่นๆ คือ ขนาดตัวถังของรถยนต์รุ่นนี้ FERRARI PUROSANGUE (แฟร์รารี ปูโรซังกเว) คือ แนวทางใหม่ที่เกิดจากการพัฒนาสู่เส้นทางที่ค่ายรถแห่งนี้ไม่เคยก้าวย่างมาก่อน แต่ยังคงไว้ซึ่งความเร้าใจอันน่าทึ่งภายใต้คันเร่ง และความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ที่น่าพึงพอใจ ความคาดหวังของผู้ขับขี่รถยนต์ที่ร่ำรวยในปัจจุบัน รวมถึงรายละเอียดอีกหลายประเด็นที่บ่งบอกความดุดัน ก้าวล้ำไปสู่ความสมดุลที่ไม่เคยมีเกิดขึ้นมาก่อน ระหว่างอารมณ์ของการขับขี่ (สะท้อนถึงความต้องการภายใน) และยังรวมไปถึงการใช้งานเพื่อความสะดวกสบาย (จากชีวิตประจำวัน) ภายใต้ทีมงานจากเมืองมาราเนลโล พวกเขาแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าพวกเขารู้วิธีจัดการกับสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาที่มีประสิทธิภาพสูง ภายใต้ตัวถังที่มีน้ำหนักโดยรวมที่ 2,033 กก. (ไม่รวมของเหลวในตัวรถ) กับการกระจายน้ำหนักที่สมดุลเช่นกัน กับความยาวเกือบ 5 ม. พร้อมความสูง 1,590 มม. (มากกว่าครอสส์โอเวอร์ของ FIAT (เฟียต) ถึง 2 เท่า) ภายใต้เส้นสายที่โค้งมน แฝงเอกลักษณ์ของค่ายม้าลำพองในตัว การบังคับเลี้ยวที่เฉียบคมแบบรถสปอร์ทสมรรถนะสูง พร้อมอัตราเร่ง 0-200 กม./ชม. ใน 10.6 วินาที (ช้ากว่ารุ่นคลาสสิคอย่าง F40 เพียงเล็กน้อย) พร้อมซุ่มเสียงที่เร้าใจของเครื่องยนต์แบบ วี 12 สูบ แม้จะไม่แผดดังเหมือนรถสปอร์ทร่วมค่ายหลายรุ่น แต่ก็ยังน่าฟังไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ การส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังเป็นหลัก ผู้ขับสามารถสนุกไปกับสมรรถนะ และการบังคับควบคุมได้พร้อมกัน หรือจะเปลี่ยนการขับขี่ที่เน้นความนุ่มนวล สะดวกสบายแบบครอบครัว และการบรรทุกสัมภาระช่วงสุดสัปดาห์ รถคันนี้ตอบสนองได้ดีเช่นกัน เป็นการผสานกันของการใช้งานที่อยู่ในรถยนต์คันเดียวที่หาได้ยาก ถึงอย่างนั้น FERRARI ยังคงวางเดิมพันกับแนวทางใหม่ของค่าย ผ่านการออกแบบรถยนต์รุ่นนี้ โดยเห็นได้จากล้อที่ใช้ (และพวงมาลัย) รูปทรงของเบาะนั่ง และลักษณะของประตู การพัฒนาสู่แนวทางใหม่อาจต้องใช้เวลาถึง 2 ปี เพื่อให้การรับรู้เกิดขึ้นในวงกว้าง สุดท้ายแล้ว หลายคนก็ให้การตอบรับที่น่าพอใจสำหรับรถยนต์ของค่ายม้าลำพองคันนี้ กลายเป็นรถยนต์ที่ต้องเข้าคิวรอการส่งมอบเป็นระยะเวลานานอย่างอดทน และจะหายากยิ่งกว่ารถสปอร์ทพันธุ์แท้ของค่ายด้วยซ้ำในอนาคต โดยจะมีการผลิตไม่เกิน 20 % ของกำลังการผลิตทั้งหมด กับราคาเริ่มต้นที่ 390,000 ยูโร หรือประมาณ 14,230,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า
เส้นสายบ่งบอกสมรรถนะ
แม้ตัวถังจะมาในสไตล์ครอสส์โอเวอร์ แต่มัดกล้ามบนตัวรถบ่งบอกว่า รถคันนี้สามารถทำความเร็วในระดับ 310 กม./ชม. ขึ้นไปได้สบาย นอกจากนี้ ยังมาพร้อมพื้นที่ใช้สอยที่เหมาะสม (ความจุสัมภาระที่ 473 ลิตร น้อยกว่า BMW 3-SERIES TOURING (บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ทัวริง) ที่ 27 ลิตร) ประตูบานท้ายมีขนาดใหญ่ อนุญาตให้ผู้ใหญ่ 2 คนนั่งได้สะดวกสบายบนเบาะหลัง พร้อมที่วางแขนซึ่งให้ความสะดวกสบายยิ่งกว่า (อย่างไรก็ตาม การออกแบบระบบใช้งาน ถือเป็นผลงานชิ้นเอกทางวิศวกรรมจริงๆ ผ่านการใช้งานที่ทันสมัย) เบาะนั่งมีตำแหน่งที่เหมาะสม ให้มุมมองของการขับขี่ที่ชัดเจน มองเห็นสิ่งแวดล้อมรอบคันได้อย่างไม่มีปัญหา มีทัศนวิสัยที่ปลอดโปร่ง ท่ามกลางสภาพการจราจรในแต่ละวัน นอกจากนี้ ตัวถังก็มีส่วนโค้งเว้าที่บ่งบอกแนวทางการออกแบบสไตล์ใหม่ของค่าย แฝงเส้นสายที่สะท้อนความคลาสสิคบนตัวถังยกสูง และมีความยาวมากกว่ารถร่วมค่ายหลายรุ่น ขณะเดียวกัน มีตัวถังบางส่วนที่เน้นความปราดเปรียว เส้นสายลู่ต่ำลงมา เป็นการออกแบบที่เปี่ยมด้วย “ชั้นเชิง” รังสรรค์ขึ้นมาเพื่อประสิทธิภาพของการขับขี่ นอกจากนี้ ยังลดค่าไอเสียเฉลี่ยบางส่วนด้วยระบบ AUTO START & STOP ช่วยให้ครอสส์โอเวอร์สไตล์สปอร์ทคันนี้มีความเหมาะสมในตัวเมืองของหลายภูมิภาค และยังช่วยให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดีขึ้นด้วย (แต่อย่าคาดหวังมากนัก เพราะตัวเลขน่าจะออกมาที่ไม่เกิน 6 กม./ลิตร) แต่เมื่อใดที่ผู้ขับกดคันเร่งเพื่อเน้นสมรรถนะ เครื่องยนต์แบบ วี 12 สูบ ก็พร้อมจะสร้างความเร้าใจทันที
เครื่องยนต์อันร้อนแรง
ภายในฝากระโปรงมีขุมพลังขนาด 6,496 ซีซี กำลังสูงสุด 725 แรงม้า จากรุ่น GTC4 LUSSO (จีทีซี 4 ลุสโซ) ได้รับการพัฒนา และปรับปรุงให้ลงตัวสำหรับรถยนต์รุ่นนี้ สมรรถนะมีความดุดันแบบที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับรุ่น 812 COMPETIZIONE (812 กมเปติซิโอเน) รวมถึงรายละเอียดของชุดท่อไอดี ท่อไอเสีย รวมถึงระบบน้ำมันหล่อลื่น ปั๊มน้ำหล่อเย็น และระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงซุ่มเสียงที่ยังคงเร้าใจไม่แพ้รถยนต์รุ่นอื่นๆ และค่าไอเสียเฉลี่ยในระดับที่เหมาะสม แต่ยังตอบสนองความเร้าใจแก่บรรดาแฟนๆ ของ FERRARI ด้วยอัตราเร่งอันดุดัน วางอยู่ใต้ฝากระโปรงวัสดุอลูมิเนียม (วัสดุเช่นเดียวกับระบบรองรับ) เพื่อการขับขี่อันเฉียบคม การส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ เชื่อมต่อกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา อันชาญฉลาด แบบที่เจอมาแล้วกับรุ่น FF (เอฟเอฟ)และ GTC4 LUSSO การส่งกำลังที่สามารถแปรผันได้ตามสภาวะการขับขี่ มีการเข้าโค้งที่หนึบแน่น ผนวกกับการกระจายน้ำหนักที่เหมาะสมอีกแรง
เร้าใจเกินคาด
ความน่าสนใจของรถยนต์คันนี้อยู่ที่ระบบรองรับอันล้ำสมัย สามารถแปรผันการตอบสนองได้ ควบคุมด้วยระบบอีเลคทรอนิคผ่านระบบไฟฟ้าแบบ 48 โวลท์ ทำให้รถยนต์ของ FERRARI รุ่นนี้มีประสิทธิภาพการควบคุมที่เหนือชั้นเกินคาด ระบบรองรับที่ติดตั้งระบบวาล์วแปรผัน ทำงานร่วมการประมวลผลหลากหลายสภาวะ ช่วยให้ชอคอัพทั้ง 4 ชุดแปรผันระดับอาการโคลง อาการกระดกหน้า/หลัง ความอ่อน/แข็งของระบบรองรับ และความสูงในระดับที่เหมาะสม ช่วยให้การบังคับควบคุมทำได้ไม่ยากเย็นเกินไป ทีมงานของเราสามารถสนุกกับการขับขี่บนสนามทดสอบ โดยมีสภาพื้นผิวถนนที่ปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งบางๆ และพื้นถนนที่เปียกชื้น จัดเป็นพื้นผิวถนนที่ท้าทายรถยนต์ที่มีพละกำลังสูงกว่า 700 แรงม้า เช่นนี้ (ผู้ขับใช้รอบเครื่องยนต์สูงถึง 7,700 รตน. แต่ขีดจำกัดของเครื่องยนต์ทำได้สูงกว่านั้น) โดยมีอีกหนึ่งความท้าทาย คือ น้ำหนักโดยรวมที่ค่อนข้างสูง การตอบสนองการขับขี่ให้ความรู้สึกที่เชื่องมือ แต่แฝงด้วยความหนักแน่น เฉียบคม แม้ขณะใช้ความเร็วสูง ผู้ขับอาศัยการหักเลี้ยวที่พอเหมาะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นคุณลักษณะการขับขี่ที่พบเจอด้จากรถสปอร์ทของ FERRARI หลายรุ่น
นี่คือ รถยนต์ที่สะท้อนให้เห็นว่า การรังสรรค์รถยนต์ที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะ และประสิทธิภาพในระดับสูง มาจากการรังสรรค์ที่ละเอียถี่ถ้วน ตัวอย่างที่พิสูจน์ได้ คือ ระบบปรับอากาศ สามารถควบคุมการใช้งานผ่านหน้าจอสัมผัส แสดงผลของการทำงานผ่านตัวเลขหลายชุด ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถปรับแต่งอุณหภูมิในห้องโดยสารได้อย่างละเอียด อย่างไรก็ตาม การใช้งานทั่วไป เช่น การปรับทิศทางของลมแอร์ยังสามารถทำได้ง่ายดายผ่านวงแหวนบริเวณขอบของช่องแอร์ที่อยู่ด้านบน ช่วยให้บริเวณคอนโซลหน้ามีลักษณะที่เรียบเนียน ส่วนปุ่มใช้งานต่างๆ ถูกติดตั้งบนพวงมาลัย ช่วยผู้ขับมีสมาธิกับการขับขี่เต็มที่ ไม่ต้องละสายตา หรือละมือจากพวงมาลัยสำหรับการใช้งานส่วนอื่นๆ นอกจากนี้รมปูพื้นห้องโดยสาร เปลี่ยนวัสดุแบบผ้าดั้งเดิม มาเป็นวัสดุที่เน้นความทนทานของการใช้งานมากยิ่งขึ้น รูปแบบการใช้งานดังกล่าว นับว่ามีความเหมาะสมกับการใช้งานแบบอเนกประสงค์ โดยเฉาะกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การใช้งานกับอุปกรณ์สกี หรือ การขับขี่บนเส้นทางชนบทเพื่อสัมผัสธรรมชาติ
สรุปโดยรวม ใครก็ตามที่ชื่นชอบรถยนต์ที่มีขนาดตัวใหญ่โต แต่ในขณะเดียวกัน ยังคงมีความคารดหวังต่อพละกำลังอันมหาศาล และความหลงใหลต่อความล้ำสมัยของโลกยานยนต์ รถยนต์คันนี้สามารถสนองความต้องทุกข้อตามที่กล่าวมา FERRARI พร้อมที่จะมอบความยอดเยี่ยมในหลายด้านจากรถยนต์รุ่นนี้ ดั่งซูเพอร์คาร์ที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่ยังเร้าใจตามสไตล์สปอร์ทสัญชาติอิตาเลียน
ข้อมูลทางเทคนิค เครื่องยนต์ 1 บลอค เกียร์ 2 ชุด
โครงสร้างตัวถังใช้วัสดุอลูมิเนียมชั้นสูง ผสมโลหะที่มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ และมีวัสดุคาร์บอน ที่มีจุดเด่น คือ ความแข็งแรงมาก (ทนแรงบิดได้สูง และมีความยืดหยุ่นที่ลงตัว) แบบที่ใช้งานมาแล้วในรถสปอร์ทหลายรุ่นของค่ายม้าลำพอง โดยมีน้ำหนักที่เหมาะสมเช่นกัน ช่วยให้ตัวรถมีน้ำหนักโดยรวมมากกว่า 2 ตันเล็กน้อย ส่วนเครื่องยนต์ที่ติดตั้งด้านหน้า มีตำแหน่งที่ร่นเข้ามากลางตัวรถมากขึ้น ติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะจำนวน 2 ชุด ชุดหนึ่งติดตั้งกับเฟืองขับเคลื่อนด้านหลัง (ระบบ E-DIFF) ช่วยให้การกระจายน้ำหนักไปยังล้อแต่ละตำแหน่งมีความสมดุล (สัดส่วนด้านหน้า 49 % และด้านหลัง 51 %) ขณะที่กำลังของเครื่องยนต์บางส่วนจะถูกส่งมายังด้านหน้าของขุมพลังสู่ล้อคู่หน้า โดยมีชุดส่งกำลังผ่านเกียร์อีกหนึ่งชุดแบบ 2 จังหวะ (จะตัดการส่งกำลังหากความเร็วสูงกว่า 190 กม./ชม.) นอกจากนี้ยังเสริมด้วยระบบรองรับที่ล้ำสมัย นั่นคือ ชุดชอคอัพควบคุมด้วยระบบอีเลคทรอนิคผ่านระบบไฟฟ้าแบบ 48 โวล์ท สามารถแปรผันการตอบสนองตามสภาวะการขับขี่ และสภาพพื้นผิวถนน ลดอาการโคลงของตัวรถ และปรับความสูงจากพื้นถนนให้มีความเหมาะสม ระบบเบรคควบคุมด้วยอีเลคทรอนิคเช่นกัน มาพร้อมจานเบรคแบบคาร์บอนเซรามิคขนาดใหญ่โต (ด้านหน้า 398 มม. ด้านหลัง 380 มม.) พร้อมระบบ เอบีเอส รุ่นล่าสุด สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำบนสภาพพื้นถนนลื่น
ข้อมูลจำเพาะ
ข้อมูลจากผู้ผลิตของรถทดสอบ
เครื่องยนต์
• วางด้านหน้า ตามยาว
• แบบ วี 12 สูบ (ทำมุม 65 องศา)
• ความจุ 6,496 ซีซี
• กำลังสูงสุด 725 แรงม้า ที่ 7,750 รตน.
• แรงบิดสูงสุด 73.0 กก.-ม. ที่ 6,250 รตน.
ระบบส่งกำลัง
• ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
• เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
สมรรถนะ
• ความเร็วสูงสุด 310 กม./ชม.
• 0-100 กม./ชม. 3.3 วินาที
• 0-200 กม./ชม. 10.6 วินาที
• อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.8 กม./ลิตร
• อัตราการปล่อยไอเสียเฉลี่ย 2,393 กรัม/กม.
มิติตัวถัง และน้ำหนักโดยรวม
• ระยะฐานล้อ 3,020 มม.
• ความยาว 4,970 มม. กว้าง 2,030 มม. สูง 1,590 มม.
• น้ำหนักโดยรวม 2,033 กก.
ราคา
• 390,000 ยูโร (ประมาณ 13,200,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
