Quattroruote ทดสอบ
TOYOTA PRIUS
ทายาทลำดับที่ 5 ของสายพันธุ์ไฮบริดที่ทำตลาดในโลกมาหลายปีกับการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนอย่างเห็นได้ชัด รุ่นที่เราทดสอบใช้ระบบพลัก-อิน ไฮบริด ลดค่าไอเสียลงอย่างได้ผล แต่ต้องแลกกับพื้นที่เก็บสัมภาระไปบางส่วน
เมื่อเห็นรูปทรงภายนอกของรถยนต์รุ่นนี้ เราพบว่าเส้นสายแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ตัวถังปราดเปรียว เส้นสายเฉียบคม และไหลลื่น โดยรวมแล้ว ลงตัว และเย้ายวนใจไม่น้อย แทบจะคาดไม่ถึงว่า นี่คือ รถยนต์ที่มีชื่อรุ่นว่า PRIUS (ปรีอุส) แต่สิ่งนี้ คือ ความจริงที่เกิดขึ้นทายาทลำดับที่ 5 ของสายพันธุ์ไฮบริด สัญชาติญี่ปุ่น ถูกปรับปรุงในหลายด้าน และสร้างความประหลาดใจได้มากมาย โดยไม่สูญเสียจุดเด่นดั้งเดิมแต่อย่างใด การเปลี่ยนแปลงอีกประการที่โดดเด่นไม่แพ้กัน คือ การทำตลาดด้วยรุ่นเครื่องยนต์ระบบพลัก-อิน ไฮบริด ซึ่งเป็นรูปแบบของขุมพลังเพียงแบบเดียวที่ทำตลาดในประเทศอิตาลี สามารถแล่นด้วยไฟฟ้าล้วนเป็นระยะทางสูงสุดที่ 69 กม. (จากข้อมูลของผู้ผลิต) นอกจากนี้ตัวถังยังมีการลู่ลมที่ยอดเยี่ยม จึงขับได้ไกล แม้แบทเตอรีจะมีความจุที่ 13.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง (ใช้เวลา 4 ชม. ในการชาร์จเต็ม เพราะรองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับที่ 3.5 กิโลวัตต์ เท่านั้น) กับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเรียง แบบ ATKINSON กำลังสูงสุด 152 แรงม้า ผสานการขับเคลื่อนร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ทำให้มีกำลังสูงสุดทั้งระบบที่ 223 แรงม้า มากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ถึง 100 แรงม้า ส่งผลให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 6.8 วินาที เท่านั้น จากข้อมูลของผู้ผลิต
สิ่งที่แลกมากับการเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่แลกกับการเปลี่ยนแปลงของรูปทรงตัวรถ คือ การใช้งานโดยรวม รวมถึงความจุของที่เก็บสัมภาระ ในประเด็นแรก แม้ระยะฐานล้อจะเพิ่มจากรุ่นก่อนหน้านี้ถึง 50 มม. เราพบว่าการเข้าไปนั่งภายในห้องโดยสาร เราต้องก้มศีรษะเล็กน้อย เพราะหลังคามีลักษณะลาดเทค่อนข้างมาก ขณะที่ความจุของที่เก็บสัมภาระมีเพียง 284 ลิตร ถือว่าไม่มากนัก หากมองในแง่การเป็นรถยนต์ระดับ ซี-เซกเมนท์ ที่มีความยาวตัวถังรวม 4,060 มม. นอกจากนี้ชุดแบทเตอรียังถูกติดตั้งบริเวณข้างใต้ของเบาะแถว 2 (และยังต้องขยับเนื้อที่ให้ถังน้ำมันอีกด้วย)
จุดที่น่าพอใจในส่วนถัดมา คือ การออกแบบห้องโดยสารในรูปแบบใหม่ที่มีความแตกต่างไม่แพ้ รูปทรงภายนอก แผงคอนโซลหน้ามีการออกแบบที่เรียบเนียน โปร่งโล่ง และมีความทันสมัย การเลือกใช้วัสดุ และคุณภาพการประกอบถูกยกระดับให้ดีขึ้นกว่า PRIUS รุ่นก่อนหน้านี้ อย่างเห็นได้ชัด แต่การปรับตำแหน่งของพวงมาลัย (มีการติดตั้งปุ่มมัลทิฟังค์ชันที่ครบครัน) ต้องลดต่ำลงค่อนข้างมากหากต้องการจะเห็นแผงหน้าปัดได้ชัดเจน เนื่องจากจอแผงหน้าปัดถูกติดตั้งที่ค่อนข้างสูง ส่วนจอแสงผลหลักมีขนาดใหญ่ ปุ่มใช้งานระบบปรับอากาศถูกติดตั้งด้านล่างหน้าจอ โชคดีที่เป็นปุ่มใช้งานแบบดั้งเดิม เพราะกดใช้งานได้สะดวก ตัวเบาะมีตำแหน่งต่ำลงมา และรูปทรงของเบาะโอบกระชับสรีระได้ดี ตัวเบาะให้ความรู้สึกที่นุ่มนวล ช่วยตอกย้ำอีกหนึ่งจุดเด่นของรถยนต์รุ่นนี้ คือ ความสะดวกสบาย
PRIUS เริ่มการทำงานของขุมพลังระบบไฮบริดได้อย่างเงียบสนิท หากแบทเตอรียังมีพลังงานไฟฟ้ามากพอ รถคันนี้สามารถแล่นด้วยไฟฟ้าล้วนเป็นระยะทางไกลพอสมควร ตามข้อมูลของผู้ผลิตระบุ อย่างไรก็ตาม หากมีการเพิ่มความเร็วมากขึ้น เครื่องยนต์สันดาปจะเริ่มเข้ามามีบทบาททันที ทำให้อัตราเร่งมีความฉับไว และไหลลื่น การขับเคลื่อนระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์สามารถสอดประสานกันได้อย่างเรียบเนียน ไม่มีจังหวะสะดุดแม้แต่น้อย ตอบสนองต่ออัตราเร่งได้ยอดเยี่ยม ส่งผลให้มีความน่าพอใจ หากผู้ขับไม่ได้กดคันเร่งสุดทันทีทันใด การส่งกำลังที่ไหลลื่นของขุมพลังจะไม่สามารถทำได้ในกรณีดังกล่าว การสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมีความเหมาะสม แม้ขณะขับขี่ที่ความเร็วสูง หากการใช้งานมีความยืดหยุ่นของการกดคันเร่งแบบการใช้งานทั่วไป เราจะเข้าใจได้ทันทีว่า TOYOTA (โตโยตา) มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนารถยนต์ระบบไฮบริดอย่างแท้จริง ยากที่ใครจะเทียบได้แม้รถยนต์ในปัจจุบัน
ส่วนคันเกียร์ยังมีให้ใช้งานอยู่ มีโหมดสำหรับเน้นการชาร์จกระแสไฟฟ้าสู่แบทเตอรี (ถูกปรับแต่งการทำงานให้ไหลลื่นดีมาก) แต่หากผู้ขับต้องการที่จะปรับระดับความหน่วงของมอเตอร์ไฟฟ้า จะต้องทำผ่านหน้าจอหลักเท่านั้น (ไม่มีแพดเดิล ชิฟท์ สำหรับใช้งานระบบดังกล่าว) การทำงานของระบบไฮบริดมีความเรียบเนียนดีมาก และลดทอนเรื่องอัตราเร่งที่ค่อนข้างฉับไวของ PRIUS ลงบางส่วน ภายใต้รูปทรงที่โฉบเฉี่ยว และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่บ่งบอกสมรรถนะของตัวรถได้ดี ขณะที่การบังคับควบคุมทั้งในแง่ของการใช้ความเร็วสูง หรือการใช้ความเร็วต่ำในตัวเมือง การ ตอบสนองอาจไม่ถึงกับเที่ยงตรง และแม่นยำเสียทีเดียว ผู้ขับแทบไม่รู้สึกถึงสภาพพื้นผิวถนนจากแรงสั่นสะเทือนของพวงมาลัย ระบบรองรับสามารถดูดซับเอาไว้ได้เกือบทั้งหมด อาจเป็นเพราะการปรับแต่งที่เน้นความนุ่มนวลสะดวกสบายก็เป็นได้ ส่วนระบบช่วงล่างเน้นความนุ่มหนึบที่พอเหมาะ อาการโคลงขณะเข้าโค้งมีไม่มากนัก แม้ไม่ถึงกับหนึบแน่น และมีตัวรถที่นิ่งขณะเข้าโค้งเสียทั้งหมด ถือว่ายังเข้าโค้งได้มั่นคงอย่างน่าพอใจ เป็นคุณลักษณะที่ลงตัวมากพอในแง่ของการขับขี่โดยรวม นอกจากนี้น้ำหนักของตัวรถก็ไม่มากเกินไป หากมองในแง่ของการเป็นรถยนต์ พลัก-อิน ไฮบริดที่มีน้ำหนักประมาณ 1.6 ตัน ภายใต้ระบบรองรับ คือ ด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบมัลทิลิงค์ แม้จุดยึดจะไม่ซับซ้อนมากนักก็ตาม
ทางเลือกอื่นในอนาคต
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า PRIUS รุ่นล่าสุดจะมีทางเลือกเฉพาะเครื่องยนต์พลัก-อิน ไฮบริด (ในประเทศอิตาลี) สเปคของตัวรถมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นหลายด้าน แทบจะลืมความเป็นรถแทกซีแบบที่คุ้นเคยกันไปได้เลย ท่ามกลางรถร่วมค่าย TOYOTA รุ่นอื่นๆ ที่มีระบบไฮบริด เช่น RAV4 (รัฟโฟร์) รวมถึง YARIS (ยารีส) และ COROLLA (โคโรลลา) การทำตลาดเต็มตัวจะมีในช่วงกลางปีนี้ แม้ราคาที่ชัดเจนจะยังไม่ถูกเปิดเผย แต่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 44,000 ยูโร โดยประมาณ แต่มีโอกาสที่ราคาจะสูงกว่านี้ได้อีก จากบรรดาออพชันต่างๆ โดยอาจสูงถึงระดับ 50,000 ยูโร หากมีการเลือกติดตั้งหลังคาแบบรับพลังงานจากแสงอาทิตย์ (หากวันไหนที่มีแดดจ้า รับแสงแดดได้เต็มที่ อาจได้พลังงานไฟฟ้ามากพอสำหรับการขับเป็นระยะทางประมาณ 8 กม. แบบไร้มลพิษ) พูดง่ายๆ คือ ยิ่งเย้ายวนใจได้อีก แต่แลกมากับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นพอสมควร
เราทดลองขับ PRIUS รุ่นล่าสุด กับขุมพลังพลัก-อิน ไฮบริด ที่ประเทศกรีซ ผ่านถนนหนทางของกรุงเอเธนส์ ตัวถังถูกพรางบางส่วน เพราะเป็นรถยนต์ที่ยังไม่ทำตลาดจริงขณะทำบทความ
รุ่น PLUG-IN
ข้อมูลรถทดสอบจากผู้ผลิต
เครื่องยนต์
• วางด้านหน้า ตามขวาง
• เบนซิน 4 สูบเรียง
• ความจุ 1,978 ซีซี
• กำลังสูงสุด 152 แรงม้า ที่ 6,000 รตน.
• แรงบิดสูงสุด 19.4 กก.-ม. ที่ 4,400-5,200 รตน.
ระบบไฮบริด
• ส่งกำลังแบบคู่ขนาน
• กำลังสูงสุด 163 แรงม้า
• แรงบิดสูงสุด 21.2 กก.-ม.
กำลังสูงสุดทั้งระบบ
• 223 แรงม้า
แบทเตอรี
• แบบ ลิเธียม ไอ-ออน ความจุ 13.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ระบบส่งกำลัง
• ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า
• เกียร์อัตโนมัติแปรผัน E-CVT
สมรรถนะ
• ความเร็วสูงสุด 177 กม./ชม.
• อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 6.8 วินาที
• อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ไม่ระบุ
• อัตราการปล่อยไอเสียเฉลี่ย ไม่ระบุ
มิติตัวถัง และน้ำหนักโดยรวม
• ระยะฐานล้อ 2,750 มม.
• ความยาว 4,600 มม. กว้าง 1,780 มม. สูง 1,420 มม.
• น้ำหนัก 1,605 กก.
ราคา
• ยังไม่ระบุ
รุ่นที่ 1 - ปี 1997
ปฐมบทการทำตลาดรถยนต์ไฮบริดของ TOYOTA สู่ตลาดโลก โดยในภูมิภาคยุโรปมีการทำตลาดในอีก 3 ปีให้หลัง
รุ่นที่ 2 - ปี 2003
รุ่นที่ 2 มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และถูกนำมาใช้เป็นรถแทกซีเป็นจำนวนมาก
รุ่นที่ 3 - ปี 2009
สืบทอดจุดเด่นจากรุ่นก่อนหน้านี้หลายประการ แต่มีการเพิ่มทางเลือกด้วยรุ่นพลัก-อิน ไฮบริด
รุ่นที่ 4 - ปี 2016
โครงสร้างตัวถังแบบ TNGA ช่วยให้การขับขี่ถูกพัฒนาขึ้นมาอีกขั้น และการออกแบบที่มีอิสระยิ่งขึ้น เส้นสายจึงค่อนข้างแปลกตา
ข้อมูลทางเทคนิค จุดเด่นที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง ทะยานอย่างมั่นคง
PRIUS รุ่นล่าสุดถูกพัฒนาจุดเด่นที่มีให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม รายละเอียดทางเทคนิคที่น่าสนใจ คือ การใช้โครงสร้างพื้นฐาน TNGA ถูกนำมาใช้กับรถยนต์หลายรุ่นของ TOYOTA แน่นอนว่า รวมถึง PRIUS รุ่นก่อนหน้านี้ด้วย โดยเป็นการนำมาใช้เป็นครั้งแรก ณ เวลานั้น เครื่องยนต์แบบพลัก-อิน ไฮบริด ของรุ่นปัจจุบัน ก็มีองค์ประกอบหลายส่วนจากรุ่นที่ทำตลาดในปี 1997 รูปแบบการส่งกำลังที่สอดประสานกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า มีอัตราเร่งที่ทันใจ อีกหนึ่งจุดเด่น คือ การไม่จำเป็นต้องมีชุดเกียร์อัตโนมัติแบบดั้งเดิมอีกต่อไป
