Quattroruote ทดสอบ
MERCEDES-BENZ C-CLASS
MERCEDES-BENZ C-CLASS โปรย ทายาทลำดับที่ 5 ของอนุกรมที่สืบทอดมายาวนาน อัดแน่นด้วยความทันสมัย หยิบยืมบางส่วนมาจากรุ่นพี่ตัวธงอย่าง S-CLASS ระบบความปลอดภัยที่เหนือชั้น และเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ที่โดดเด่นด้านการประหยัดเชื้อเพลิง รวบรัดตัดความแล้ว นี่คือ ซีดานที่ลงตัวที่สุดรุ่นหนึ่ง
รุ่น 220D MILD HYBRID PREMIUM
ราคา (จากผู้ผลิต)
• 56,956 ยูโร (ประมาณ 2,310,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
• ดีเซล เทอร์โบ 4 สูบเรียง
• 1,992 ซีซี
กำลังสูงสุด
• 200 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย
• จากผู้ผลิต 19.2 กม./ลิตร
• จากการทดสอบ 18.2 กม./ลิตร
• ความคุ้มค่า 7.97 ยูโร/100 กม.
ค่าไอเสียเฉลี่ย
• จากผู้ผลิต 131 กรัม/กม.
• จากการทดสอบ 146 กรัม/กม.
ระบบความบันเทิง คุณภาพในระดับสุดยอด
แผงคอนโซลออกแบบได้อย่างลงตัว มีมุมมองที่พอดีกับสายตาผู้ขับ และทำมุมเอียงเข้าหาเล็กน้อย จอภาพขนาด 11.8 นิ้ว (ตามขนาดที่แท้จริง) แสดงผลระบบ MBUX กับระบบความบันเทิงที่น่าสนใจมาก รายละเอียดต่างๆ ถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสม รวมถึงระบบเนวิเกเตอร์ แสดงผลจุดสำคัญในแผนที่ เช่น อนุสาวรีย์ต่างๆ เป็นแบบ 3 มิติ ขณะที่จุดแสดงตำแหน่งมีการอัพเดทตรงตามความเป็นจริง การใช้งานกับเมนูต่างๆ ทำได้ง่ายดาย แต่เราอยากแนะนำว่า หากกำลังขับขี่อยู่ การใช้งานด้วยระบบสั่งงานด้วยเสียงจะเหมาะสมกว่า ระบบดังกล่าวเข้าใจประโยคที่พูดออกมาได้ดี เริ่มต้นการทำงานด้วยวลี “HEY, MERCEDES” และยังรวมถึงการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การปรับอุณหภูมิในห้องโดยสาร การเลือกสถานีวิทยุ สามารถสนทนากับระบบ MBUX ก็ได้ เพื่อเปิดระบบปรับอากาศจากระยะทางไกล ระบบไฟส่องสว่าง รวมถึงการควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่บ้านจากในรถ หากเครื่องใช้ในบ้านดังกล่าวติดตั้งระบบรองรับ โดยปัจจุบันมียี่ห้อ BOSCH และ SAMSUNG ขณะที่หน้าจอขนาดใหญ่บนคอนโซลกลาง แสดงผลอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย สภาพอากาศ ใช้งานเวบเบราเซอร์ ค้นหาร้านอาหาร บาร์ส์ และโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ หรือ ใช้ปรับโหมดการขับขี่ทั้งหมด 4 รูปแบบ (ได้แก่ ECO COMFORT SPORT และ INDIVIDUAL ตามความต้องการของผู้ขับ)
การออกแบบที่ผสมผสานระหว่างความสวยงามลงตัว และระบบความบันเทิงที่ครบครัน
1. เบรคมือไฟฟ้า
2. ปุ่มใช้งานระบบไฟส่องสว่าง
3. ระบบครูส คอนทโรล แปรผัน
4. จอแผงหน้าปัดขนาด 12.3 นิ้ว
5. ก้านใช้งานระบบเกียร์
6. ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และระบบสตาร์ท/ดับอัตโนมัติ
7. จอภาพระบบสัมผัสขนาด 12 นิ้ว
8. วัสดุตกแต่งด้วยไม้สีดำ สลับวัสดุอลูมิเนียม
9. ปุ่มเสมือนบนหน้าจอ ควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยก 2 โซน
10. ปุ่มใช้งานโหมดการขับขี่ ปุ่มไฟฉุกเฉิน ปุ่มสแกนลายนิ้วมือ ปุ่มปรับระดับเสียง
11. ที่วางของพร้อมจุดวางแก้ว ช่องต่อ USB และแท่นชาร์จมือถือแบบไร้สาย
12. ที่พักแขน ข้างใต้เป็นที่เก็บของ
หลังจากทีมงานของเราเติมน้ำมันเต็มถัง 66 ลิตร พบว่าสามารถแล่นได้ไกลถึง 1,300 กม. เลยทีเดียว โดยไม่ต้องอาศัยการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งระบบ พลัก-อิน ไฮบริด แม้แต่น้อย จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่ถนนหลวง สู่การโดยสารอันนุ่มนวล สะดวกสบาย สมกับการนั่งมาในรถยนต์ซีดาน ไม่ใช่ เอสยูวี ขนาดใหญ่เทอะทะ แม้ต้องยอมรับอยู่บ้างว่าทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซลอาจลดความนิยมลงพอสมควรในปัจจุบัน เมื่อแล่นผ่านช่องเก็บเงินของทางด่วน เราใช้ความเร็วที่ 130 กม./ชม. อย่างคงที่ ที่ 1,600 รตน. เท่านั้น เป็นผลดีจากระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ทำให้ผู้ขับมีความเพลิดเพลินมาก เสียงรบกวนเล็ดลอดเข้ามาภายในห้องโดยสารซึ่งเป็นธรรมดา แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น รวมถึงเสียงของยางขณะแล่น ที่ความเร็วระดับดังกล่าว มีเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารที่ 67 เดซิเบล เท่านั้น เทียบง่ายๆ คือ ผู้โดยสารสามารถพูดคุยสนทนากันได้ตามปกติ โดยไม่ต้องใช้เสียงเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความรำคาญให้แก่ใครหลายๆ คน
อีกส่วนหนึ่งมาจากระยะฐานล้อที่เพิ่มขึ้น (จากเดิม 2,840 เป็น 2,870 มม.) จึงทำให้มีระยะช่วงขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนซุ้มอุโมงค์เกียร์ยังคงมีอยู่ ตามปกติวิสัยของรถยนต์ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง อย่างน้อยการเดินทางกับผู้โดยสาร 4 คน ก็มีความสะดวกสบายเหลือเฟือ เชื่อว่าการโดยสารเป็นระยะทางไกล คือ สิ่งที่น่ารื่นรมย์มากๆ สำหรับ C-CLASS (ซี-คลาสส์) รุ่นนี้ (รหัส W206)
ประหยัดน้ำมันยอดเยี่ยม
นอกเหนือจากความสะดวกสบายแล้ว การแล่นบนทางหลวงที่ใช้ความเร็วคงที่ ทำให้รถรุ่นนี้มีระยะทำการที่ไปได้ไกลมากๆ จากอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำ เนื่องจากเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 200 แรงม้า พ่วงด้วยระบบไฮบริดขนาดเล็ก และตัวถังที่ลู่ลมเป็นอย่างดี ทำให้จิบน้ำมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตลอดเส้นทางบนทางหลวง ทีมงานทดสอบของเราทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยได้ที่ 20.6 กม./ลิตร และมีตัวสูงสุดที่ 20.8 กม./ลิตร ในช่วงเส้นทางนอกเมือง เป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับรถยนต์ขนาดเล็กด้วยซ้ำไป บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของ C-CLASS รุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี
โดยรวมแล้ว การขับขี่ทางไกลกับรถรุ่นนี้ เป็นไปอย่างนุ่มนวล สะดวกสบายมากๆ ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยมาอยู่ที่ระดับ 18.0 กม./ลิตร เนื่องจากการขับขี่ในตัวเมืองจะสิ้นเปลืองมากขึ้นที่ 15.1 กม./ลิตร ถือเป็นผลลัพธ์ที่ทำได้ดีไม่แพ้คู่แข่งในระดับเดียวกัน นอกจากนี้ เครื่องยนต์ดีเซลบลอคนี้ยังมีจุดเด่นอื่นๆ นอกเหนือจากการประหยัดเชื้อเพลิง นั่นคือ สมรรถนะที่น่าพอใจไม่น้อย แม้จะไม่ถึงกับดุดันเร้าใจถึงที่สุด ยิ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง BMW 320D (บีเอมดับเบิลยู 320 ดี) ที่ทำอัตราเร่งได้ดีกว่าเพียงชั่วเสี้ยววินาทีก็ตาม แต่ซีดานของ MERCEDES-BENZ (เมร์เซเดส-เบนซ์) คันนี้ มีการตอบสนองที่ดีเช่นกัน หากกดคันเร่งในจังหวะที่เหมาะสม อัตราเร่งมีความฉับไวไม่น้อย ชดเชยกับเวลาที่เสียไปในส่วนอื่นๆ ส่วนหนึ่งมาจากการส่งกำลังที่ไหลลื่นอย่างยอดเยี่ยมของเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ
จุดเด่นจาก S-CLASS
ขณะที่เราขับรถคันนี้ไปตามเส้นทางที่ทอดไกลอย่างเพลิดเพลิน ทำให้มีเวลาที่จะหันมาสำรวจส่วนอื่นๆ ของห้องโดยสาร เริ่มจากแผงคอนโซลหน้ารูปแบบใหม่ มีการออกแบบที่หรูหรา ใกล้เคียงกับซีดานตัวธงร่วมค่ายอย่าง S-CLASS (เอส-คลาสส์) พร้อมจุดเด่น คือ ระบบความบันเทิงที่ทันสมัย ตรงกลางมีหน้าจอขนาดใหญ่ จัดเรียงในแนวตั้ง ระบบสัมผัส มีขนาดใหญ่ถึง 12 นิ้ว แสดงผลระบบใช้งาน MBUX (เป็นอุปกรณ์ติดตั้งจากโรงงาน) ขณะที่แผงหน้าปัดแบบดิจิทอล แสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว (เปลี่ยนรูปแบบได้หลากหลาย) มองเห็นได้ชัดเจนผ่านพวงมาลัย อีกหนึ่งจุดเด่นที่เราเคยกล่าวถึงหลายครั้งแล้ว นี่คือ ระบบความบันเทิงที่ลงตัวเลยก็ว่าได้ รองรับการสั่งงานด้วยเสียง แม้กระทั่งประโยคที่มีความซับซ้อน ก็สามารถประมวลผลคำสั่งได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้มีระบบใช้งานผ่านแป้นระบบสัมผัสแบบที่เห็นมาแล้วในรถยนต์ของ MERCEDES-BENZ หลายรุ่น ช่วยให้การเลื่อนเมนูคำสั่งบนหน้าจอ ทำได้สะดวก และไม่ต้องละสายตาจากถนนในขณะขับขี่
หากต้องขับรถคันนี้เป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง ผู้เป็นเจ้าของควรเลือกติดตั้งชุดระบบช่วยเหลือการขับขี่เพิ่มเติมด้วย แม้จะมีราคาถึง 2,415 ยูโร แต่คุ้มค่าอย่างแน่นอน เพราะมีระบบความปลอดภัยที่ทันสมัยเพิ่มเติมเข้ามาหลายรายการ จากการทดสอบแต่ละระบบ ทีมงานของเราให้คะแนนเต็ม 5 ดาว แทบทุกหัวข้อ เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติของ C- CLASS มีจังหวะการทำงานที่เหมาะสม สามารถชะลอความเร็วได้ทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นหุ่นจำลองผู้ใหญ่กับรถเข็น และเด็กเล็กที่มีเป้สะพายหลัง รวมถึงวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว ระบบก็สามารถตรวจจับได้ จากการทดสอบในสนาม VAIRANO
เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ของ MERCEDES-BENZ ยุคปัจจุบันที่เราเคยทดสอบไปก่อนหน้านี้ พบว่าระบบรักษาตัวรถให้อยู่กลางเลน มีการทำงานที่นุ่มนวลกว่าเดิม เมื่อล้อเริ่มแล่นไปทับเส้นแบ่งเลนบนถนน ระบบจะค่อยๆ บังคับทิศทางของพวงมาลัยทีละน้อย โดยไม่รบกวนระบบเบรคแต่อย่างใด (ไม่เช่นนั้นผู้ขับอาจรู้สึกรำคาญได้) การทดสอบในส่วนถัดมา ประสิทธิภาพของระบบเบรคบนพื้นถนนแห้งไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ในสภาวะพื้นผิวถนนที่มีความลื่นมากขึ้น ระยะเบรคกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าที่คิดเอาไว้ โดยทำได้ที่ 127 ม. สำหรับการหยุดรถจากความเร็ว 100 กม./ชม. ภายใต้สภาวะที่ล้อข้างหนึ่งอยู่บนพื้นเปียก และล้ออีกฝั่งอยู่บนพื้นผิวขรุขระ สาเหตุของระยะเบรคที่มากเกินควร น่าจะมาจากการเลือกใช้ยางที่ลดทอนการเกาะถนนบางส่วน เพราะต้องการใช้งานยางที่มีค่าต้านการหมุนของล้อต่ำ เพื่อผลดีในแง่ของการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
ผลกระทบอีกประการจากยางที่เลือกใช้งาน คือ ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนขณะหักเลี้ยวแบบกะทันหัน ทำได้ไม่ดีนัก รวมถึงการทำอัตราเร่งในบางช่วงที่ไม่ต่อเนื่องเท่าไร (ช่วงความเร็ว 81 กม./ชม.) ซึ่งเป็นการทดสอบโดยการหักเลี้ยวต่อเนื่องอย่างฉับไวบนพื้นผิวเปียก แต่อย่างน้อย ระบบ อีเอสพี ก็มีจังหวะการทำงานที่ลงตัว ให้ความรู้สึกที่ปลอดภัย และมั่นคง ตัวรถไม่เสียการทรงตัวแม้แต่น้อย แต่หากขับขี่แบบเน้นสมรรถนะเต็มที่ ผู้ขับจะรู้สึกได้ว่า การยึดเกาะถนนลดน้อยลงอย่างชัดเจน
การเข้าโค้งที่มั่นใจได้
ระบบรองรับที่ปรับแต่งสไตล์สปอร์ทกับรถทดสอบ มีการตอบสนองที่น่าพอใจ การบังคับควบคุมทำได้ไร้ที่ติ ความหนึบแน่นของระบบรองรับไม่มากจนเกินไป รวมถึงขณะแล่นผ่านพื้นผิวขรุขระ และทางต่างระดับ โดยระบบรองรับดังกล่าวไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มแต่อย่างใด แต่หากใครที่ต้องการเน้นความนุ่มนวล สะดวกสบายเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องติดตั้งระบบรองรับแบบสปอร์ทก็ได้
อย่างไรก็ตาม C- CLASS รุ่นนี้ถูกปรับแต่งให้มีการเข้าโค้งที่มั่นคงมากพอ การควบคุมทิศทางของล้อคู่หน้า ทำได้ไม่ยากเย็น การตอบสนองมีความต่อเนื่องที่ดี ไม่แพ้คู่แข่งรายอื่นๆ เช่น ALFA ROMEO GIULIA (อัลฟา โรเมโอ จูลีอา) และ BMW 3-SERIES (บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 3) การหักเลี้ยวให้ความรู้สึกที่มั่นคง และยังสามารถควบคุมการตอบสนองของตัวรถได้ดี พวงมาลัยเน้นความสบาย และการตอบสนองที่ต่อเนื่อง มากกว่าการตอบสนองแบบฉับไว เพื่อการขับขี่ที่ไหลลื่น โดยรวมเป็นการปรับแต่งที่เข้ากับบุคลิกของรถยนต์จาก MERCEDES-BENZ ได้อย่างลงตัว
การรักษาระดับความเร็วของรถรุ่นนี้ทำได้ไม่ยากเย็น เป็นจุดเด่นที่น่าพอใจในแง่ของความสะดวกสบายของการขับขี่ อย่างไรก็ตาม การหันมาใช้ระบบรองรับด้านหน้า (เป็นแบบ 4 จุดยึด จากเดิมที่เป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท) และการปรับแต่งบางอย่างเพิ่มเติม ทำให้ความเร้าใจขณะขับขี่ถูกลดทอนลงบางส่วน ในส่วนนี้ เรามีความเห็นว่า GIULIA คือ รถที่ขับได้สนุกเร้าใจมากที่สุด ตามมาติดๆ กัน คือ BMW ซึ่งเราอาจจะนำมาเปรียบเทียบกันชัดๆ ในภายหลัง
พื้นที่ใช้สอย และทัศนวิสัย + พื้นที่เก็บสัมภาระ
การทดสอบระบบความปลอดภัย
ข้อมูลทางเทคนิค การส่งต่อความล้ำสมัย
รถยนต์อนุกรมนี้ถือกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อ 28 ปีก่อน โดยรุ่นล่าสุดจัดเป็นทายาทลำดับที่ 5 ของสายพันธุ์ C-CLASS โดยถูกถ่ายทอดความล้ำสมัยหลายประการจากรถยนต์ที่มีระดับสูงกว่า จุดสำคัญ 2 อย่างที่เห็นได้ชัด คือ ช่วงล่างด้านหน้าแบบ 4 จุดยึด แทนที่ระบบแมคเฟอร์สันสตรัท ทำให้มีประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน และความสะดวกสบายที่พัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน รวมถึงระบบช่วยเลี้ยวล้อคู่หลัง (อุปกรณ์เลือกติดตั้ง) ทำให้มีความคล่องแคล่วในช่วงความเร็วต่ำ และความมั่นคงในช่วงความเร็วสูง สิ่งที่ C-CLASS รุ่นล่าสุดสะท้อนให้เห็น คือ ความมั่นคงของตัวรถในทุกสภาวะ เป็นผลดีจากระบบรองรับด้านหลังแบบมัลทิลิงค์ 5 จุดยึด ถูกนำมาใช้งานตั้งแต่รหัส 190 ที่เปิดตัวในปี 1982 นอกจากนี้ ยังถูกเสริมระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ค่ายรถสัญชาติเยอรมันแห่งนี้ติดตั้งถุงลมนิรภัยตรงกลางสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าใน C-CLASS รุ่นล่าสุด มีตำแหน่งตรงกลางระหว่างเบาะนั่งคู่หน้าระหว่างคนขับ และผู้โดยสาร ลดโอกาสการบาดเจ็บของศีรษะอย่างได้ผล และยังมีระบบไฟหน้าควบคุมการส่องสว่างแบบดิจิทอล (ไม่มีติดตั้งในรุ่น PREMIUM) โดยเป็นไฟแบบแอลอีดีจำนวน 3 ดวง สามารถปรับการส่องสว่างได้อย่างเหมาะสมตามสภาพแวดล้อม สะท้อนแสงผ่านกระจกขนาดเล็กถึง 1.3 ล้านดวง นอกจากนี้ยังมีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซลผสมระบบไฮบริดขนาดเล็ก ถูกปรับปรุงให้เป็นรุ่นล่าสุด ผสานการส่งกำลังกับมอเตอร์ 48 โวลท์ 15 กิโลวัตต์ มีแรงบิดสูงสุดที่ 20.4 กก.-ม. ติดตั้งบริเวณเพลาข้อเหวี่ยง (สีน้ำเงินตามที่แสดงในภาพ) มีการทำงานที่หลากหลาย นอกเหนือจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ ความจุของเครื่องยนต์ถูกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จาก 1,950 ซีซี เป็น 1,992 ซีซี จากการปรับแต่งลูกสูบทำให้ช่วงชักเพิ่มขึ้นกระบอกสูบละ 2 มม. ขณะที่ระบบอัดอากาศ คือ เทอร์โบจำนวน 2 ชุด วางตำแหน่งแตกต่างกัน การจุดระเบิดมีแรงอัดของเทอร์โบที่ 2,500-2,700 บาร์ ส่วนการควบคุมให้ค่าไอเสียจากการจุดระเบิดไม่สูงเกินไป มาจากการออกแบบท่อไอเสียที่มีประสิทธิภาพ เครื่องยนต์ดีเซลบลอคนี้ถูกติดตั้งที่กรองไอเสียแบบใหม่ล่าสุด มีจุดประสงค์ คือ การลดสารไนโตรเจนออกไซด์ที่มาจากการจุดระเบิดน้ำมันดีเซล โดยซ้อนกันถึง 2 ชั้น เพื่อการกรองไอเสียที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ตำแหน่งการติดตั้งจะอยู่ใกล้กับชุดเทอร์โบ เพื่อการตอบสนองที่ดีตั้งแต่สตาร์ทเครื่องยนต์ สำหรับ C-CLASS รุ่นล่าสุดมีรูปแบบเฉพาะที่ถูกนำมาใช้งานครั้งแรก (นอกเหนือจากสารผสม ADBLUE แบบรุ่นก่อนหน้านี้) คือ ชุดกรองไอเสียเพิ่มเติมบริเวณใต้พื้นรถ ทำงานได้ดีแม้ในสภาวะเครื่องยนต์ที่ยังไม่ร้อนได้ที่ ช่วยลดสารไนโตรเจนออกไซด์ได้ดีขึ้นอีกระดับ และกรองไอเสียได้ดีแม้ในสภาวะที่เครื่องยนต์ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ข้อมูลจำเพาะของรถที่นำมาทดสอบจากผู้ผลิต
เครื่องยนต์
• ดีเซล เทอร์โบ วางด้านหน้า
• แบบ 4 สูบเรียง
• กระบอกสูบ 82.0 มม.
• ช่วงชัก 94.3 มม.
• ความจุ 1,992 ซีซี
• กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่ 4,200 รตน.
• แรงบิดสูงสุด 44.9 กก.-ม. ที่ 1,800-2,800 รตน.
• เสื้อสูบ และฝาสูบ ใช้โลหะน้ำหนักเบา light alloy
• เพลาปรับสมดุล 2 ชุด
• ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 4 วาล์วต่อลูกสูบ (สายพานโซ่)
• คอมมอนเรล เทอร์โบ 2 ชุด (พร้อมครีบแปรผัน) และอินเตอร์คูเลอร์
• ชุดกรองไอเสีย 2 ชุด
• ระบบไฮบริดขนาดเล็กแบบ 48 โวลท์
ระบบส่งกำลัง
• ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง
• เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ
ยาง
• GOODYEAR EAGLE F1 ASYMMETRIC 5 คู่หน้า 225/45 R18 95Y หลัง 255/40 R18 97Y
• พร้อมชุดปะยาง
รูปแบบตัวถัง
• ตัวถังแบบโลหะผสมอลูมิเนียม แบบ 3 กล่อง 4 ประตู 5 ที่นั่ง
• ระบบรองรับด้านหน้าแบบปีกนกคู่ คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
• ระบบรองรับด้านหลังแบบมัลทิลิงค์ 5 จุดยึด คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
• ชอคอับแบบไฮดรอลิค
• ระบบเบรคแบบจาน พร้อมช่องระบายความร้อน เอบีเอส และอีเอสพี
• ระบบบังคับเลี้ยวแบบ ฟันเฟือง และตัวหนอน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า
• ความจุถังน้ำมัน 66 ลิตร
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
• ระยะฐานล้อ 2,870 มม.
• ความกว้างฐานล้อคู่หน้า 1,600 มม. หลัง 1,610 มม.
• ความยาว 4,750 มม. กว้าง 1,820 มม. สูง 1,440 มม.
• น้ำหนักโดยรวม 1,755 กก. รวมน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 2,380 กก. น้ำหนักลากจูงสูงสุด 1,800 กก.
• ความจุที่เก็บสัมภาระ 455 ลิตร
ผลิตที่
• เมืองเบรเมน (ประเทศเยอรมนี)
คุณภาพการประกอบ มีจุดต้องติเพียงเล็กน้อย
ค่าย MERCEDES-BENZ รังสรรค์ความหรูหรา เหนือระดับ ให้กับซีดาน C CLASS รุ่นล่าสุด ได้อย่างลงตัว หลังจากพิจารณาโดยรอบ แทบไม่พบจุดต้องติใดๆ เลย คุณภาพการประกอบถูกใส่ใจในทุกรายละเอียด การพ่นสีตัวถัง และการประกอบชิ้นส่วนภายนอกตัวถังทำได้เรียบร้อย เนียนสนิท ไม่มีจุดบกพร่อง รวมถึงแผ่นปิดวัสดุพลาสติค ประกอบเข้ากับส่วนประกอบวัสดุโลหะได้แนบสนิทเช่นกัน ดูมิดชิด เช่น รอบๆ ส่วนที่เก็บสัมภาระท้าย จะยกเว้นส่วนฝากระโปรงเท่านั้น ห้องโดยสารมีการประกอบที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดเช่นกัน คุณภาพของวัสดุที่ใช้ และการตกแต่งโดยรวมมีความลงตัวมากๆ ต้องสังเกตกันอย่างละเอียดสักหน่อย จึงจะพบจุดจ้องติเล็กๆ น้อยๆ เช่น จุดยึดของบานพับประตู จะเห็นชัดเจนเมื่อเปิดประตู และการประกอบที่ไม่เนียนเสียทั้งหมด
ภายนอก
การพ้นสีตัวถัง และการประกอบโดยรวม ทำได้อย่างไร้ที่ติ จุดเชื่อมบริเวณประตู และฝากระโปรงหน้ามีการใส่ใจในรายละเอียด สมกับความหรูของตัวรถ
ภายใน
วัสดุที่ใช้ และการออกแบบโดยรวมมีความลงตัวในทุกรายละเอียด ถือเป็นการออกแบบภายในที่น่าพึงพอใจมาก หากเพิ่มปุ่มใช้งานแบบดั้งเดิมอีกเล็กน้อย จะใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น
จุดที่น่าพอใจ
1. การเลื่อนกระจกด้วยไฟฟ้า เมื่อเลื่อนลงมาเกือบล่างสุด ระบบจะชะลอความเร็วลงมา ช่วยลดเสียงรบกวนของกลไกอย่างได้ผล
2. ส่วนที่เก็บของทุกตำแหน่งจะถูกเคลือบด้วยวัสดุดูดซับเสียงรบกวน รวมถึงช่องเก็บของเล็กๆ บนแผงประตู ส่วนล่างของช่องเก็บของจะใช้วัสดุพลาสติค ทำความสะอาดง่าย
จุดที่ควรปรับปรุง
3. รายละเอียดบางอย่างไม่เหมาะกับมาดหรูของตัวรถ เมื่อประตูหน้าเปิดออก จะมองเห็นจุดเชื่อมต่อต่างๆ มากเกินไป โดบเฉพาะส่วนที่เชื่อมต่อกับแผ่นโลหะ
4. รายละเอียดบางอย่างน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เช่น สลักของประตูบานท้าย จะโผล่ขึ้นมาให้เห็นชัดเจนเกินไป
การทดสอบสมรรถนะ
การประเมินผลของ QUATTRORUOTE
เบาะผู้ขับ
ตัวเบาะมีระยะช่วงแขน และขาที่มากเหลือเฟือ การปรับตำแหน่ง (ด้วยมือ และไฟฟ้า) ทำได้หลากหลาย สามารถปรับตำแหน่งเบาะได้ตามต้องการอย่างแน่นอน การโดยสารเป็นระยะทางไกล เบาะรองรับช่วงสะโพกช่วยให้นั่งได้สบายดีมาก
แผงคอนโซล และปุ่มใช้งาน
การออกแบบที่ประณีต และเน้นความหรูหรา ถอดแบบจาก S CLASS โดยตรง สิ่งที่คล้ายกัน คือ ปุ่มใช้งานต่างๆ ถูกย้ายไปอยู่บนหน้าจอ แต่ยังใช้งานได้ดี จัดวางตำแหน่งได้เป็นสัดส่วน เหมือนกับปุ่มกดแบบดั้งเดิม
แผงหน้าปัด
แผงหน้าปัดแบบดิจิทอลผ่านหน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว กับข้อมูลที่หลากหลาย และเปลี่ยนรูปแบบได้มากมาย ใช้งานผ่านปุ่มบนพวงมาลัย การใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว อาจต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยในระยะแรก
ระบบความบันเทิง
หนึ่งในจุดเด่นที่แท้จริงของรถรุ่นนี้ คือ ระบบ MBUX บ่งบอกถึงคุณภาพที่อัดแน่น กราฟิคที่แสดงผลมีความคมชัด การทำงานของระบบเนวิเกเตอร์ตอบสนองรวดเร็ว เหนือสิ่งอื่นใด คือ ระบบสั่งงานด้วยเสียงที่สามารถประมวลผลประโยคที่ซับซ้อนได้ดีมาก
ระบบปรับอากาศ
การใช้งานสามารถทำผ่านกรสั่งงานด้วยเสียง หรือจากแป้นระบบสัมผัสตรงกลาง ระบบอัตโนมัติ แยก 2 โซน ให้ความเย็นได้ทั่วถึงห้องโดยสาร และมีการทำงานที่เงียบ พร้อมช่องแอร์ด้านหลัง
ทัศนวิสัย
ตำแหน่งเบาะนั่งที่มีความสูงอย่างเหมาะสม และส่วนกระจกหน้าต่างมีขนาดใหญ่ ทำให้ทัศนวิสัยปลอดโปร่ง ขณะถอยรถ สามารถพึ่งพากล้องมองภาพรอบคันได้ (กล้องความละเอียดสูง) แต่กลับไม่มีระบบกล้องมองภาพรอบคัน
คุณภาพการประกอบ
การออกแบบแต่ละส่วนมีความลงตัวแทบทุกองค์ประกอบ และ นอกจากนั้น แม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ C CLASS รุ่นนี้ มีการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง และการประกอบที่ได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี คือ ความประณีตภายในที่ไม่แพ้ภายนอก
อุปกรณ์ใช้งานต่างๆ
ราคาของตัวรถจะขึ้นอยู่กับรายการอุปกรณ์เลือกติดตั้งเช่นกัน นอกเหนือจากรุ่นย่อยที่มีให้เลือกมากมาย (ทั้งหมด 6 รุ่นย่อย) หากเลือกรุ่น PREMIUM จะยังไม่มีระบบปรับอากาศแยก 3 โซนมาให้
ระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่
ระบบความปลอดภัยจากโรงงานมีความครบครัน แต่สามารถเพิ่มได้อีกจากชุดระบบความปลอดภัยเพิ่มเติม หากติดตั้งมาแล้ว ซีดานสัญชาติ เยอรมัน คันนี้สามารถผ่านการทดสอบระบบความปลอดภัยได้ทุกหัวข้ออย่างสมบูรณ์
พื้นที่ใช้สอย
พื้นที่ด้านหน้ากว้างขวางเหลือเฟือ ส่วนเบาะด้านหลัง การขึ้น/ลง พอใช้ได้ (น่าจะปรับปรุงให้ดีกว่านี้อีก) และพื้นที่มีมากพอ รองรับผู้โดยสาร 2 คนได้สบาย หากมีผู้โดยสารคนที่ 3 จะถูกกินเนื้อที่ช่วงขาจากการมีอุโมงค์เกียร์
ที่เก็บสัมภาระ
ความจุทั้งหมด 428 ลิตร ทำได้ดีกว่าคู่แข่งอย่าง BMW 3 SERIES (ที่ 407 ลิตร) รวมถึง GIULIA (ที่ 378 ลิตร) เบาะนั่งด้านหลังพับเก็บได้แบบ 40:20:40 มีการประกอบที่ดี และช่วยให้การใช้งานทำได้หลากหลาย
ความสะดวกสบาย
การปรับแต่งช่วงล่างแบบสปอร์ท ระบบรองรับยังตอบสนองให้มีการขับขี่ที่ไหลลื่น การเก็บเสียงในห้องโดยสารทำได้ดีมาก จากข้อดีของตัวถังที่ลู่ลม และเสียงรบกวนจากยางขณะแล่นที่ต่ำ
เครื่องยนต์
การเสริมระบบอัดอากาศ และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก (ที่ 48 โวล์ท) แต่การตอบสนองที่ดีของเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบเรียงยังมีอยู่อย่างครบถ้วน มีการทำงานที่ต่อเนื่อง ฉับไว และเสียงรบกวนต่ำ
อัตราเร่ง
รุ่น 220D อาจมีอัตราเร่งที่ไม่ได้โดดเด่นจากคู่แข่งระดับเดียวกัน 0-100 กม./ชม. ที่ 8.2 วินาที แต่สำหรับการใช้งานทั่วไป อัตราเร่งระดับนี้ก็ฉับไวเหลือเฟือแล้ว
อัตราเร่งยืดหยุ่น
อัตราเร่งในส่วนนี้ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจมากนัก ถือว่าทำได้ดีตามสมควร เป็นผลดีจากเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบที่ตอบสนองได้อย่างยืดหยุ่น และแรงบิดอันเหลือเฟือ (ที่ 44.9 กก.-ม.) เกียร์อัตโนมัติส่งกำลังได้ยอดเยี่ยม
ระบบส่งกำลัง
การส่งกำลังทำได้ต่อเนื่องเป็นอย่างดี และเปลี่ยนจังหวะได้ฉับไว มีการทำงานที่ช่วยให้การขับขี่เป็นไปตามต้องการผู้ขับอย่างแท้จริง ระบบเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ทำงานได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง สมเป็นเป็นระบบส่งกำลังประสิทธิภาพสูง
การบังคับควบคุม
การปรับแต่งพวงมาลัยที่ลงตัว ทำให้การตอบสนองมีความแม่นยำ และต่อเนื่อง แม้ความฉับไวจะถูกลดทอนลงไปบางส่วน อย่างไรก็ตาม การบังคับเลี้ยวทำได้เที่ยงตรงกับการขยับตำแหน่งของล้อคู่หน้า
ระบบเบรค
การเบรคบนพื้นผิวแห้งทำได้ดีในทุกสภาวะ ความทนทานอยู่ในระดับน่าพอใจ และแป้นเบรคที่ยังไร้อาการล้าหลังเบรคอย่างต่อเนื่อง ในสภาวะพื้นผิวลื่น ระยะเบรคของ C CLASS กลับมากขึ้นเกินคาด ส่วนหนึ่งมาจากการใช้งานที่มีการยึดเกาะถนนไม่ดีนัก
ความคล่องแคล่ว
ความคล่องแคล่ว และฉับไว อาจไม่เท่ากับคู่แข่งอย่าง GIULIA แต่ถทอว่าทำได้ดีพอในระดับหนึ่ง การหักเลี้ยวแบบกะทันหัน ตัวรถไม่มีอาการที่จะเสียการทรงตัว ระบบช่วยเหลือแบบอิเลคทรอนิคทำงานได้ดีมาก แม้ยางจะด้อยเรื่องการยึดเกาะถนนไปหน่อย
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
การขับขี่บนทางด่วน สามารถทำตัวเลขได้ที่ 20.6 กม./ลิตร (เกือบ 21.0 กม./ลิตร สำหรับการขับทางไกล) ผลดีอีกประการจากถังน้ำมันขนาด 66 ลิตร ทำให้มีระยะทำการสูงสุดร่วม 1,000 กม. นับเป็นจุดเด่นที่ยังทำให้เครื่องยนต์ดีเซลมีความน่าสนใจอยู่
จุดแข็ง
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เครื่องยนต์มีการประหยัดเชื้อเพลิงดีมาก เสริมด้วยระบบไฮบริดขนาดเล็ก และตัวถังที่มีอากาศพลศาสตร์ลงตัว ทำให้มีระยะทำการที่มากมาย
ระบบความปลอดภัย หากเลือกติดตั้งระบบความปลอดภัยเพิ่มเติม รถคันนี้จะมีระดับความปลอดภัยที่แทบจะสมบูรณ์แบบก็ว่าได้
จุดอ่อน
ระบบเบรค จานเบรคมีการทำงานที่หนักแน่นดี แทบไร้อาการล้าของชุดเบรค แต่พื้นผิวเปียก ระยะเบรคกลับมาขึ้นเกินควร ผลมาจากการใช้งานที่การยึดเกาะถนนไม่ดีนัก
ทัศนวิสัย เสาทั้ง 4 และกระจกมองข้างมีขนาดใหญ่ ส่งผลต่อทัศนวิสัยพอสมควร