Quattroruote ลองของแรง
PORSCHE 911 GT3
รหัส 992 ที่ใกล้เคียงตัวแข่งมากที่สุด จากการรังสรรค์ตัวถังที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ และหลักอากาศพลศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมจากตัวแข่งขนานแท้ของ 911 นำมาสู่ความสมดุลของสมรรถนะที่หลายคนใฝ่ฝันถึง
รุ่น PDK
ราคา (รถทดสอบ)
176,855 ยูโร (ประมาณ 9,870,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
เบนซิน สูบนอน
3,996 ซีซี
กำลังสูงสุด
510 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
จากผู้ผลิต 8.1 กม./ลิตร
จากการทดสอบ 7.3 กม./ลิตร
ความคุ้มค่า
21.56 ยูโร/100 กม.
ค่าไอเสียเฉลี่ย
จากผู้ผลิต 283 กรัม/กม.
จากการทดสอบ 326 กรัม/กม.
ใครก็ตามที่คิดว่าการแข่งรถมีไว้เพื่อการสร้างภาพลักษณ์ทางการตลาดของค่ายรถเท่านั้น อาจเป็นสิ่งที่ถูกเพียงบางส่วน ในอีกแง่มุมหนึ่ง เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่ค่ายรถหลายแห่งมีแนวคิดว่า “แข่งชนะในอาทิตย์ สู่ยอดขายที่ดีในวันจันทร์” จนกระทั่งปัจจุบัน การแข่งรถยังคงถูกพิจารณาว่าเป็นหนทางของการทำกำไรจากยอดขายของรถที่ผลิตจริงในตลาด หนึ่งในวิธีการที่นิยมกัน คือ การถ่ายโอนวิทยาการจากสนามแข่งสู่รถที่ใช้งานบนท้องถนน เพื่อเกื้อหนุนซึ่งกันและกันอย่างลงตัว แต่หนทางดังกล่าว หากจะพูดกันตรงๆ แล้ว สามารถบรรลุผลได้เพียงไม่กี่กรณีเท่านั้น
ความจริงแล้วฝ่ายพัฒนารถแข่งประเภท GT และหน่วยงานที่รับผลิตชอบเรื่องรถแข่งของ PORSCHE (โพร์เช) ต่างก็มีสำนักงานอยู่ที่เดียวกัน กับการร่วมมือกันพัฒนา 911 GT3 (911 จีที 3) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นมา ภายใต้องค์ประกอบหลายส่วนจากรุ่นล่าสุดในรหัส 992 กับการเสริมประสิทธิภาพรอบคันจากสนามแข่งขัน เฉพาะรูปทรงโดยรวมชื่อชั้นที่ถูกสืบทอดมาหลายรุ่น และอารมณ์ความเร้าใจที่ถูกพิสูจน์มาแล้วจากผู้ได้มีโอกาสขับขี่ ล้วนเป็นทีมงานผู้พัฒนาได้ตระหนักอยู่เสมอ ทีมที่ทำหน้าที่รังสรรค์รถรุ่นนี้มีเป้าหมาย คือ การแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะในระดับขีดสุดของตัวรถ ความเร้าใจที่ตราตรึงให้แก่ผู้ที่ชื่นชอบ 911 ตลอดมา นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานรุ่นตัวแรงคันนี้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย ให้สะดวก และง่ายดายราวกับการสวมใส่รองเท้าคู่โปรดทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน ไม่ใช่เรื่องง่ายกับการเชื่อมโยงระหว่างคุณสมบัติของตัวแข่งขนานแท้ และการเป็นรถยนต์ที่ผลิตสำหรับการใช้งานจริง นั่นคือ พื้นฐานจากตัวแข่งจากคลาสส์ GT3 และ 992 รุ่นล่าสุด ต่างก็เปี่ยมด้วยองค์ประกอบที่ยอดเยี่ยมหลายประการ สู่การเป็นรถสปอร์ทจิตวิญญาณตัวแข่งที่ใช้งานได้จริงบนท้องถนน
เร้าใจในสนามแข่ง
วลีดังกล่าวปรากฎขึ้นมาในความคิดของทีมงาน แม้จะมีการทดสอบสมรรถนะที่หลากหลายแง่มุมกับรถสปอร์ทรุ่นนี้ แต่สุดท้ายแล้ว นิยามที่เหมาะสมอย่างแท้จริงย่อมหนีไม่พ้น ความสนุกเร้าใจในสนามแข่งขัน นับเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ง่ายๆ กับรถสปอร์ทที่สามารถใช้งานทั่วไป ในเวลาเดียวกันพร้อมคุณสมบัติแบบตัวแข่งขนานแท้ ด้วยเวลาต่อรอบสนามแข่งขันที่ฉับไว ฉับพลันก็สามารถเก็บสัมภาระที่ต้องการเอาไว้ในตัวรถได้สบาย ซึ่งเป็นคุณสมบัติของรถสปอร์ทสายพันธุ์ตัวแข่ง ในสิ่งที่เราต้องการจะบอก ก็คือ ความลับของรหัส 911 GT3 ที่ถูกสืบทอดมาหลายรุ่น (รุ่นล่าสุดจัดเป็นทายาทลำดับที่ 7 จากการเปิดตัวตั้งแต่ปี 1999) กับความจริงที่ว่า สมรรถนะของรถรุ่นนี้ใกล้เคียงกับตัวแข่งขนานแท้ นอกเหนือจากนั้น มันอาจจะเป็นรถแข่งที่นักแข่งมืออาชีพต้องการพร้อมความสะดวกสบายที่เหมาะสำหรับการแข่งรถเป็นระยะเวลานานแบบเอนดูรานศ์
จุดเด่นดังกล่าวมาจากสมรรถนะที่เชื่อถือได้ ถูกส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง การยึดเกาะถนนในระดับสูงแทบทุกสภาวะ แม้แต่ขณะที่ยางเริ่มหมดสภาพก็ตามที ผู้ขับสามารถรับรู้ถึงความมั่นคงที่รถสปอร์ทคันนี้แสดงออกมา ขณะรีดเค้นสมรรถนะถึงขีดสุดครั้งแล้วครั้งเล่า คุณสมบัติที่โดดเด่นช่วยสร้างความมั่นใจจากการบังคับควบคุมที่พอเหมาะ ผู้ขับแทบไม่ต้องประสบกับอาการของตัวรถที่มากเกินจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นอันเดอร์สเตียร์ หรือโอเวอร์สเตียร์ก็ตาม แต่ละสิ่งที่ว่ามาล้วนส่งผลกับเวลาต่อรอบทั้งนั้น โจทย์สำคัญของ GT3 รุ่นล่าสุด คือ การลดเวลาต่อรอบให้ได้ แม้เพียงชั่วเสี้ยววินาทีก็ถือว่าคุ้มค่า เพื่อรองรับการขับขี่ที่ดุดันได้แทบทุกสภาวะ และเพลิดเพลินกับการทะยานไปกับรถสปอร์ทคันนี้ ภายใต้ความเร้าใจที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม แต่ไม่ต้องออกแรงควบคุมให้เหนื่อยยากจนเกินไปสำหรับใครหลายๆ คน
หากจะให้ฟันธงสั้นๆ เรามีความเห็นว่า รหัส GT3 ที่ใช้พื้นฐานจากรุ่น 992 มีความลงตัวมากที่สุดเท่าที่สายพันธุ์นี้ถูกรังสรรค์ขึ้นมา ต้องยอมรับว่ารุ่นก่อนหน้านี้ก็มีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่มาถึงรุ่นล่าสุด ทีมงานที่รังสรรค์รถสปอร์ทที่สามารถสร้างผลงานยอดเยี่ยมกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
การพัฒนาตั้งแต่ด้านหน้า
เป้าหมายของการพัฒนารถรุ่นนี้มีความท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ จากตัวถังโดยรวมที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากขึ้น รวมถึงรูปแบบเครื่องยนต์ดั้งเดิม นั่นคือ เบนซิน 4.0 ลิตร แบบไร้ระบบอัดอากาศที่ใช้งานในตัวแข่งของคลาสส์ GT3 ต้องพัฒนาให้ผ่านเกณฑ์ไอเสียยุคปัจจุบันด้วย องค์ประกอบหลายส่วนถูกนำมาใช้เพื่อการคงไว้ซึ่งอัตราส่วนที่ลงตัวระหว่างกำลังสูงสุด และน้ำหนักโดยรวมเหมือนตัวแข่ง 911.2 GT3 กระบวนการลดน้ำหนักถูกนำมาใช้ในหลายๆ จุด และกำลังสูงสุดที่เพิ่มขึ้นประมาณ 12 แรงม้า (รวมแล้ว 510 แรงม้า) คุณลักษณะขณะขับเคลื่อน คือ สิ่งที่ถูกพัฒนาให้ดีกว่าเดิมเช่นกัน ในส่วนนี้ถูกพัฒนาโดยทีมงานด้านมอเตอร์สปอร์ทที่ร่วมกันพัฒนารถสปอร์ทรุ่นนี้อย่างใกล้ชิด เริ่มจากระบบรองรับด้านหน้า ถูกเปลี่ยนมาเป็นระบบมัลทิลิงค์แบบ 4 จุดยึดเป็นครั้งแรกของ 911 (ตามแนวทางของตัวแข่งรหัส GT3 R และ RSR ที่คว้าแชมพ์มาได้หลายรายการ) ขณะที่ระบบรองรับด้านหลังเป็นแบบมัลทิลิงค์ถูกเพิ่มความแข็งแรงเพื่อความหนึบแน่นที่สูงขึ้น เสริมด้วยตัวถังที่มีแรงกดมากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ถึง 150 % จากองค์ประกอบที่ถูกยกมาจากตัวแข่งแทบทั้งหมด รวมถึงสปอยเลอร์ท้ายแบบลอยตัว ผสานกับดิฟฟิวเซอร์ที่มีประสิทธิภาพในการจัดเรียงอากาศ รวมถึงองค์ประกอบในส่วนอื่นๆ ที่ถูกพัฒนามาอย่างละเอียดลออ
ผลลัพธ์นั้นน่าประทับใจมาก ทีมงานฝ่ายทดสอบรถของ PORSCHE สามารถทำเวลาต่อรอบจากสนามแข่ง NURBURGRING ได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ถึง 17.5 วินาที และเมื่อเรานำมาทดสอบที่สนาม VAIRANO ทีมงานของเราสามารถทำเวลาต่อรอบได้ดีกว่าที่ 1.7 วินาที เมื่อเทียบกับตัวแรง GT2 RS ที่มีกำลังสูงสุดถึง 700 แรงม้า และเร็วกว่า 2 วินาที เมื่อเทียบกับ GT3 RS ที่มี 520 แรงม้า (ทั้ง 2 รุ่นใช้พื้นฐานจากรหัส 991.2)
การบังคับควบคุมไม่ยากเย็นอย่างที่คิด
นอกเหนือจากเวลาต่อรอบที่ฉับไวกว่าเดิม สิ่งที่รถสปอร์ทรุ่นนี้ตอบสนองได้ คือ การเข้าถึงสมรรถนะระดับสูงที่ไม่ยากเย็นเกินไป การทำเวลาต่อรอบของ 911 รุ่นก่อนหน้านี้ ถือว่าน่าประทับใจไม่แพ้กัน แต่ต้องแลกกับการบังคับควบคุมที่ผู้ขับต้องใช้ความตั้งใจ และได้ออกแรงกันไม่น้อย การบังคับควบคุมกับรุ่นล่าสุดรหัส 992 กลับทำได้ง่ายดายกว่านั้น ภายใต้ความสมดุลที่เข้าใกล้คำว่า “สมบูรณ์แบบ” การปรับปรุงระบบรองรับด้านหน้า ทำให้การหักเลี้ยวมีความแม่นยำอย่างถึงที่สุด พวงมาลัยที่ตอบสนองได้อย่างเที่ยงตรง บังคับเลี้ยวได้ฉับไวดังใจแบบที่ไม่เคยพบเจอกับ PORSCHE รุ่นไหน การเข้าโค้งต่อเนื่องเป็นจุดที่อาจสร้างความกังวลใจให้แก่นักขับบางคน แต่ไม่ใช่สำหรับรถสปอร์ทรุ่นนี้ ส่วนท้ายของรถมีความมั่นคงเป็นอย่างมาก หนึบแน่นกับพื้นถนนในแทบทุกสภาวะ แม้กระทั่งช่วงโค้งความเร็วสูง ผู้ขับแทบไม่ต้องยกเท้าออกจากคันเร่งเพื่อชะลอความเร็วแม้แต่น้อย จุดเด่นของ 911 รุ่นนี้ มาจากองค์ประกอบที่โดดเด่นผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ และตอบสนองได้อย่างไหลลื่น ตัวถังมีความแข็งแรงมั่นคง แม้ในขณะที่รีดสมรรถนะออกมาเต็มที่ หรือหากเกิดอาการของตัวรถใดๆ ขึ้นมา จากการที่ยางเริ่มหมดสภาพ อาการใดๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวรถสามารถควบคุมได้ไม่ยากเย็น ผู้ขับยังมั่นใจได้ว่าสิ่งต่างๆ ยังอยู่ภายใต้การบังคับควบคุมไม่เปลี่ยนแปลง
การผสมผสานกันได้อย่างลงตัวของเครื่องยนต์กลไก และอากาศพลศาสตร์ระดับสูงที่ให้ความหนึบแน่นถึงขีดสุด มีบางครั้งเท่านั้นที่ผู้ทดสอบมีความรู้สึกว่า พละกำลังของขุมพลัง น่าจะมีมากกว่านี้อีกเล็กน้อย แต่ความเร้าใจที่มีให้ก็ถือว่าเหลือเฟือแล้ว กับการทะยานในแต่ละช่วงจังหวะเกียร์ไปจนถึงระดับ 9,000 รตน. เป็นคุณสมบัติที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในเครื่องยนต์ยุคปัจจุบัน รวมถึงรถยนต์ที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อการใช้งานบนท้องถนน สายพันธุ์ตัวแข่งรุ่นล่าสุดถูกติดตั้งระบบท่อไอดีแบบชิ้นเดียวกัน มีการตอบสนองที่ฉับไวทันทีที่ผู้ขับกดคันเร่ง และส่งกำลังออกมาอย่างต่อเนื่องจนถึงรอบเครื่องยนต์สูงสุดได้ในพริบตา สมกับการเป็นขุมพลังที่มาจากสนามแข่งขันโดยแท้จริง อีกหนึ่งความเร้าใจ คือ ซุ่มเสียงที่เร้าใจอย่างที่สุด ทีมงานผู้พัฒนารถรุ่นนี้ปรับแต่งเกียร์แบบ PDK ให้เปลี่ยนจังหวะได้อย่างฉับไว และหนักแน่นยิ่งขึ้น และลงตัวสำหรับการทะยานในสนามแข่งมากกว่าเดิม การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง และทำการเบรคอย่างหนักหน่วง ตัวรถสามารถรองรับได้สบายๆ เย้ายวนให้ผู้ขับรีดเค้นสมรรถนะของรถรุ่นนี้ตลอดเวลา สามารถเข้าใกล้ขีดสุดของตัวรถจากอัตราเร่งที่ดุดัน นอกเหนือจากนี้ สำหรับคนที่ยังชื่นชอบการขับขี่แบบดั้งเดิม รถสปอร์ทรุ่นนี้มีทางเลือกของเกียร์ธรรมดาอีกด้วย
พร้อมลุยสนามแข่ง แรงกดอากาศที่เลือกได้
การใช้เพียงอุปกรณ์สำหรับไขนอต และเวลาเพียง 5 นาที ก็เพียงพอสำหรับการปรับแต่ง GT3 ให้พร้อมสำหรับสนามแข่ง ก่อนอื่นต้องคลายนอตสกรู เพื่อปรับแต่งชุดสปอยเลอร์หลัง สามารถปรับทิศทางได้ 4 ระดับ เพื่อเพิ่มหรือลดแรงกดของกระแสอากาศ จุดเด่นที่ได้รับมาจากรุ่น 992 คือ พื้นใต้ตัวถังแบบปิดเรียบตลอดทั่วถึง ช่วยให้อากาศพลศาสตร์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หมายเหตุเพิ่มเติม ภาพด้านล่างทางขวามือ แสดงให้เห็นแผ่นจัดเรียงอากาศ 1 ใน 2 ตำแหน่ง ติดตั้งภายในซุ้มล้อด้านหน้า หากผู้ขับปรับแต่งให้เน้น “แรงกดต่ำ” ในกรณีที่สนามแข่งเป็นแบบเน้นความเร็วสูง จะต้องทำการคลายนอตสกรูทั้ง 2 อันออกก่อน และปรับระดับของแผ่นเรียงอากาศในลดต่ำลงมา ดังนี้แล้ว อากาศที่ไหลเวียนจะถูกปิดดั้นเล็กน้อย และช่วยให้แรงกดของอากาศที่ไหลเวียนบริเวณข้างใต้ลดลงตามกัน การปรับแต่งแต่ละขั้นจะทำให้ความเร็วสูงสุดลดลงมาเล็กน้อย (สูงสุดระดับละ 5 กม./ชม.) แต่ตัวรถจะมีอาการโอเวอร์สเทียร์มากขึ้น ในส่วนของการปรับแต่ง แรงกดอากาศจะมากกว่า 50 % เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ นั่นคือ 991.2 GT3 ขณะที่การปรับแต่งขั้นสูงสุด (สปอยเลอร์หลังเอนมาด้านหน้า และแผ่นเรียงอากาศด้านหน้ายกสูงขึ้นมา) แรงกดอากาศจะมากกว่าเดิมได้สูงสุดถึง 150 % เลยทีเดียว การปรับแต่งสามารถทำได้ด้วยตัวเองในสนามแข่ง อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีเวลาแวะไปที่อู่รถล่วงหน้า ก่อนเดินทางเข้ามายังสนามแข่ง ยังสามารถให้ทางอู่ปรับมุมของล้อรถทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ตัวเลขที่ทางผู้ผลิตแนะนำ คือ มุม 1.5 องศา สำหรับการใช้งานทั่วไปด้วย และสามารถปรับเป็น 2.15 องศา แต่อาจต้องระวังเรื่องการกินยางด้านในด้วย ทางเลือกของยางที่ใช้มีหลากหลายเช่นกัน ยางที่ติดมากับรถ คือ MICHELIN PILOT SPORT CUP 2 หรือ PIRELLI P-ZERO CORSA ส่วนใครที่ต้องการเน้นสมรรถนะในสนามแข่งเต็มที่ มีอีกทางเลือก คือ MICHELIN PILOT SPORT CUP 2 R ซึ่งเป็นยางที่เราใช้การในการทำเวลาต่อรอบระหว่างการทดสอบครั้งนี้ รายละเอียดจะอยู่ในหน้าถัดๆ ไป
อากาศพลศาสตร์ที่ถูกพัฒนามาอย่างลงตัว ด้านหน้าจะเป็นช่องรับอากาศจำนวน 2 ช่องบนฝากระโปรงหน้าแบบคาร์บอนไฟเบอร์ รับอากาศที่ไหลเวียนจากด้านล่าง สร้างแรงกดอากาศได้ดี ขณะที่สปอยเลอร์หลังจะถูกยึดจากด้านบน ทำให้อากาศที่ไหลเวียนจากส่วนเครื่องยนต์มีความไหลลื่นยิ่งขึ้น
ข้อมูลทางเทคนิค
GT3 จัดเป็น 911 เพียงรุ่นเดียวที่ใช้เครื่องยนต์แบบไร้ระบบอัดอากาศ ขนาด 4.0 ลิตร 6 สูบนอน ที่ขึ้นชื่อมาช้านาน สามารถลากรอบได้สูงสุดที่ 9,000 รตน. และเสริมความแข็งแรงของเครื่องยนต์ยิ่งขึ้นเพื่อรองรับการขับขี่แบบเน้นสมรรถนะในสนามแข่ง จุดเปลี่ยนแปลง คือ การปราศจากระบบไฮดรอลิคของชุดวาล์ว แต่ใช้ระบบสปริง และเพลาลูกเบี้ยวแบบดั้งเดิม ขณะที่ลิ้นปีกผีเสื้อจะเป็นแบบชุดเดียว จุดที่ GT3 รุ่นล่าสุด ถูกปรับปรุงจากรุ่นก่อนหน้านี้ คือ ระบบรองรับ มีการยกเครื่องใหม่โดยสิ้นเชิง ระบบรองรับด้านหน้าไม่ใช่แบบ แมคเฟอร์สัน สตรัท อีกต่อไปเหมือน 911 รุ่นอื่นๆ จะเป็นแบบจุดยึด 4 จุด มีจุดเด่นที่การรักษาองศาของล้อให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น (และช่วยให้เข้าโค้งได้ดีขึ้นเช่นกัน) และยังช่วยให้ตัวรถมีความมั่นคงยิ่งขึ้นขณะทำการเบรคอย่างหนักหน่วง ต่างจากระบบรองรับแบบ แมคเฟอร์สัน สตรัท ชุดชอกอับจะมีตำแหน่งที่เหมาะยิ่งกว่า และรองรับแรงเหวี่ยงจากด้านข้างได้ดีขึ้นขณะเข้าโค้ง เพื่อคุณลักษณะการขับขี่ที่เฉียบคมเป็นพิเศษ จุดยึดของระบบรองรับจะชเอมต่อกับตัวถังโดยตรง เพื่อความมั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น ทางผู้ผลิตเลือกที่จะใช้ระบบรองรับแบบมัลทิลิงค์ 5 จุดยึด แต่เพิ่มความแข็งแรงมากกว่ารุ่นปกติ มุมของล้อคู่หลังจะเป็น 2.0 องศา แทนที่แบบเดิม คือ 1.5 องศา นอกจากนี้ยังคำนึงถึงการลดน้ำหนักโดยรวมอย่างเข้มข้น ฝากระโปรงด้านหน้าแบบคาร์บอนไฟเบอร์ ล้อแมกน้ำหนักเบา ขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียว ท่อไอเสียก็ใช้วัสดุลโลหะน้ำหนักเบา และแบทเตอรีใช้งานแบบลิเธียม-ไอออน ทั้งหมดนี้ช่วยให้อัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าอยู่ที่ 2.8 กก./แรงม้า ทีมงานทางเทคนิคของ PORSCHE ยังปรับปรุงในเรื่องอากาศพลศาสตร์เช่นกัน พื้นด้านล่างของตัวรถจะเป็นแบบเรียบเสมอกัน ชุดช่องจัดเรียงอากาศด้านหลัง และช่องรับอากาศสำหรับระบายความร้อนชุดเบรกคู่หน้า สปอยเลอร์หลังที่สร้างแรงกดได้มหาศาล จากการติดตั้งแบบลอยตัว มีจุดยึดอยู่ด้านบน ไม่รบกวนการไหลเวียนของอากาศด้านล่างสปอยเลอร์ หากอยู่ในตำแหน่งเริ่มต้น จะสร้างแรงกดอากาศได้มากกว่า 50 % เพื่อเทียบกับ GT3 รุ่นก่อนหน้านี้ ขณะที่การปรับแต่งเพื่อการขับขี่แบบเน้นสมรรถนะ เหมาะสำหรับการขับในสนามแข่ง ที่ความเร็ว 200 กม./ชม. จะสามารถสร้างแรงกดได้มากกว่ารุ่นเดิมถึง 150 % เลยทีเดียว
ข้อมูลจำเพาะ ของรถที่นำมาทดสอบ
เครื่องยนต์
• เบนซิน วางตามยาว
• 6 สูบนอน
• กระบอกสูบ 102.0 มม.
• ช่วงชัก 81.5 มม.
• ความจุ 3,996 ซีซี
• กำลังสูงสุด 510 แรงม้า ที่ 8,400 รตน.
• แรงบิดสูงสุด 47.9 กก.-ม. ที่ 6,100 รตน.
• ฝาสูบ และเสื้อสูบใช้วัสดุโลหะน้ำหนักเบา
• ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ วาล์วแปรผัน 2 ชุด 4 วาล์ว ต่อ สูบ (สายพานโซ่)
• ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง
• ชุดกรองไอเสีย 2 ชุด
ระบบส่งกำลัง
• ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง
• เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ
• เพลาขับควบคุมการส่งกำลังด้วยอีเลคทรอนิค
ยาง
• MICHELIN PILOT SPORT CUP 2 ด้านหน้า 255/35 ZR20 97Y ด้านหลัง 315/30 ZR21 105Y
• ชุดปะยาง
รูปแบบตัวถัง
• โครงสร้างแบบโลหะ ผสมอลูมิเนียม และคาร์บอนไฟเบอร์ คูเป 2 ประตู 2 ที่นั่ง
• ระบบรองรับ ด้านหน้า ปีกนกคู่ คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
• ระบบรองรับ ด้านหลัง มัลทิลิงค์ 5 จุดยึด คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
• ชอกอับแบบไฮดรอลิค ควบคุมด้วยอีเลคทรอนิค
• ระบบบังคับเลี้ยวล้อคู่หลัง
• จานเบรคแบบคาร์บอนเซรามิค พร้อมช่องระบายอากาศ เอบีเอส อีเอสพี
• ระบบบังคับเลี้ยว ฟันเฟือง และตัวหนอน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า
• ความจุถังน้ำมัน 64 ลิตร
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
• ระยะฐานล้อ 2,460 มม.
• ความกว้างล้อคู่หน้า 1,600 มม. คู่หลัง 1,550 มม.
• ความยาว 4,570 มม. กว้าง 1,850 มม. สูง 1,280 มม.
• น้ำหนักโดยรวม 1,510 กก.รวมน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 1,782 กก.
• ความจุที่เก็บสัมภาระ 132 ลิตร
ผลิตที่
• เมือง ZUFFENHAUSEN (ประเทศเยอรมนี)
การทดสอบในสนาม VAIRANO เวลาต่อรอบไม่ได้มาจากแรงม้า
รถที่นำมาเทียบเวลาต่อรอบอาจจัดอยู่ในระดับที่สูงกว่า แต่ ความจริงก็ คือ 911 GT3 สามารถทำเวลาต่อรอบได้ช้ากว่า FERRARI SF90 STRADALE ASSETTO FIORANO ไปเพียง 1 วินาที เท่านั้น และช้ากว่ากันที่ 2 วินาที เมื่อเทียบกับ PAGANI HUAYRA BC บ่งบอกถึงตัวถังที่มีความมั่นคง และอากาศพลศาสตร์ชั้นสูง เท่าที่เคยรังสรรค์ขึ้นมาจาก PORSCHE การทดสอบถูกจัดขึ้นที่สนาม VAIRANO แบบพโร นั่นคือ ช่วงทางตรงจะมีมากเป็นพิเศษ เพื่อเปิดโอกาสให้รถสปอร์ทสมรรถนะสำแดงประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ GT3 มีแรงมหาศาลให้ระดับหนึ่ง แต่คู่เปรียบเทียบอีก 2 คัน มีกำลังสูงสุดมากกว่ากันเกือบเท่าตัว ทีเด็ดของ GT3 จึงอยู่ที่ความสมดุลที่สมบูรณ์แบบ และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขับอย่างแท้จริง ตัวรถมีความนิ่ง ประสิทธิภาพสูง เข้าโค้งได้ฉับไว และมีการยึดเกาะถนนที่ยอดเยี่ยม การตอบสนองของตัวรถอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และตอบสนองได้ฉับไวอย่างเหลือเชื่อ มีอาการ โอเวอร์สเทียร์ พอประมาณในช่วงโค้งความเร็วสูง ขณะที่ระบบรองรับด้านหลังรองรับสมรรถนะได้ดี ความหนึบแน่นที่เป็นธรรมชาติของรถรุ่นนี้ มีให้ตลอดเวลา แม้แต่ในสภาวะที่ยางเริ่มเสื่อมสภาพก็ตามที และแม้แต่ยางที่มีความแตกต่างกันก็ตาม ในกรณีนี้ ความจริงแล้ว ขณะทำเวลาต่อรอบแบบใช้ความเร็วเต็มที่ ทีมงานของเราใช้ยาง MICHELIN PILOT SPORT CUP 2 R แต่ในช่วงแรกจะใช้ยางรุ่น CUP 2 แบบปกติ การยึดเกาะถนนจะไม่ดีเท่า เวลาต่อรอบจะมากกว่ากันที่ 2 วินาที แต่การตอบสนองของตัวรถกลับมีความใกล้เคียงกัน และยังมั่นคงพอสมควร บ่งบอกว่าการปรับแต่งของรถคันนี้มีความใกล้เคียงกับรถแข่งจริงๆ นอกเหนือจากระบบรองรับ และอากาศพลศาสตร์ GT3 ยังมีจุดเด่นที่ เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง ที่สร้างความประทับใจได้มากมายไม่แพ้กัน เครื่องยนต์แบบ 6 สูบนอน มีการตอบสนองที่ยอดเยี่ยมทันทีที่ผู้ขับกดคันเร่ง และทำงานอย่างเที่ยงตรง ผนวกกับการส่งกำลังของเกียร์ PDK มีอัตราทดที่ลงตัวทั้ง 7 จังหวะ การลดรอบเครื่องยนต์ทำได้นิ่ง ไม่มีอาการสะดุด และสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างแม่นยำตลอดเวลา ส่วนระบบเบรกแบบคาร์บอนเซรามิค มีความหนักแน่นดีมาก หน่วงความเร็วได้ทุกสภาวะ และรองรับการขับขี่แบบเน้นสมรรถนะได้ยอดเยี่ยม ไม่มีแสดงอาการผิดปกติใดๆ ขณะที่ขับทำเวลาต่อรอบแบบใช้ความเร็วเต็มที่
ในสนามแบบสั้น เร็วไม่แพ้ FERRARI และ LAMBORGHINI
สำหรับสนาม VAIRANO แบบดั้งเดิม 911 GT3 สามารถทำเวลาที่ 1:09.681 นาที ถือเป็นเวลาต่อรอบที่ช้ากว่ากันไปเพียงเสี้ยววินาที เมื่อเทียบกับรถสปอร์ทระดับไฮเพอร์คาร์ พละกำลังสูงอย่าง FERRARI 488 PISTA (กับยางตัวแข่ง MICHELIN CUP 2 R) และ LAMBORGHINI HURACAN PERFORMANTE (ยาง PIRELLI TROFEO R) ขณะที่อีกรุ่นร่วมค่าย นั่นคือ GT2 RS ช้ากว่ากันที่ 1.4 วินาทีเท่านั้น กับยางรุ่นเดียวกัน แม้ทาง GT3 รุ่นล่าสุดจะมีพละกำลังน้อยกว่าพอสมควร แต่กลับเอาคืนได้ด้วยการยึดเกาะถนนในระดับสุดยอด
การทดสอบสมรรถนะ
การประเมินผลของ QUATTRORUOTE
เบาะผู้ขับ
รูปทรงของเบาะมีความลงตัวไร้ที่ติ เบาะทรงสปอร์ท โอบกระชับสรีระแบบรถแข่ง (อุปกรณ์เลือกติดตั้ง) มีความสวยงามโดดเด่น รองรับสรีระผู้ขับได้ดี ทั้งในขณะทำอัตราเร่ง และขณะเข้าโค้ง นอกจากนี้ยังนั่งได้สบายขณะขับทางไกลอีกด้วย
แผงคอนโซล และปุ่มใช้งาน
รหัส 992 รุ่นปกติ จะเน้นการใช้งานแบบดิจิทอลมากขึ้น สำหรับ GT3 จะเน้นที่การใช้งานสำหรับการขับขี่มากกว่า คันเกียร์ของระบบ PDK มีรูปทรงคล้ายกับเกียร์ธรรมดา บรรดาปุ่มใช้งานแบบดั้งเดิมจะเน้นการใช้งานที่คุ้นเคย และสะดวกสบาย
แผงหน้าปัด
มาตรวัดรอบตรงกลางขนาดใหญ่ ขนาบด้วยจอดิจิทอล การปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลต้องใช้ความคุ้นเคยเล็กน้อย ปุ่มปรับการทำงานบดบังการมองเห็นเล็กน้อย ในโหมดสำหรับสนามแข่ง นั่นคือ TRACK จะแสดงข้อมูลที่จำเป็นเท่านั้น รวมถึงไฟเตือนการเปลี่ยนจังหวะเกียร์
ระบบความบันเทิง
จอแสดงผลขนาด 10.9 นิ้ว ระบบสัมผัส ตอบสนองได้ดี และมีการแสดงผลที่เข้าใจง่าย ไม่ต้องใช้ความคุ้นเคยมากมายก็สามารถใช้งานฟังค์ชันต่างๆ ได้ครบ ติดตั้งระบบเชื่อมต่อ และรองรับแอพพลิเคชันตามสมัยนิยม
ระบบปรับอากาศ
ปุ่มใช้งานระบบปรับอากาศเป็นแบบดั้งเดิม ไม่ต้องใช้งานผ่านหน้าจอระบบสัมผัส แม้การปรับตกแต่งต่างๆ อาจจะเอื้อมไปที่ปุ่มใช้งานค่อนข้างลำบากสักนิด ถ้ากดใช้งานระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติก็ลดความยุ่งยากไปได้มาก
ทัศนวิสัย
ด้านหน้ามีความปลอดโปร่ง เสา เอ ค่อนข้างบาง และมองเห็นส่วนซุ้มล้อได้ แม้เป็นสายพันธุ์ตัวแข่ง แต่ถือว่าทำได้ดีกว่าคู่แข่งหลายเจ้า รูปทรงในห้องโดยสาร และการจัดวางโดยรวมทำให้ทัศนวิสัยด้านหลังทำได้ดีด้วย เป็นจุดบอดของรถสปอร์ทหลายราย
คุณภาพการประกอบ
งานประกอบทำได้ยอดเยี่ยม มีความประณีต และใช้วัสดุคุณภาพสูง การเย็บด้วยด้ายมีความละเอียดลอออย่างไร้ที่ติ มีจุดต้องติอยู่บ้าง คือ ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ทางฝั่งซ้ายของพวงมาลัย ใช้วัสดุพลาสติคที่ดูไม่สมราคา
อุปกรณ์ใช้งานต่างๆ
ทางเลือกของอุปกรณ์ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม มีมากมายหลายรายการ ผู้ใช้งานต้องพิจารณาให้ดี มีข้อดี คือ อุปกรณ์สำหรับการขับขี่ และความเร้าใจจะมีให้อย่างครบครัน รวมถึงเบาะนั่งแบบรถแข่ง และระบบเบรคแบบคาร์บอนเซรามิค
ระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่
รถคันนี้ติดตั้งระบบช่วยเบรคอัตโนมัติ และครูสคอนทโรล ต่างจาก 992 รุ่นปกติ คือ การปราศจากระบบช่วยเหลือการขับขี่ระดับที่ 2 หากมองในแง่ความสปอร์ทจากตัวแข่งแล้ว ถือเป็นเรื่องที่พอจะยอมรับได้
พื้นที่ใช้สอย
พื้นที่ใช้สอยโดยรวมถือว่ามีความเหมาะสมสำหรับรถสปอร์ทระดับนี้ การขึ้น/ลงห้องโดยสารไม่สะดวกอย่างที่คิด เมื่อเทียบกับรถร่วมค่ายอย่าง CAYENNE (คาเยนน์) ถือเป็นเรื่องปกติของรถสปอร์ทสมรรถนะสูง และเป็นจุดที่ผู้เป็นเจ้าของต้องแลกมา
ที่เก็บสัมภาระ
ด้านหลังของเบาะคู่หน้า ติดตั้งช่องเก็บของขนาดเล็กมาให้ แต่พื้นที่ก็ไม่มากนัก (นอกจากนี้อาจมีการติดตั้งราวเหล็กเพิ่มเติมเข้ามาอีก หากผู้เป็นเจ้าของต้องการ) พื้นที่เก็บของพอเพียงสำหรับผู้โดยสาร 2 คน สำหรับสัมภาระของการพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
ความสะดวกสบาย
หากมองในแง่ของสมรรถนะที่ดุดันในสนามแข่ง ความคุ้มค่าในแง่ของความสะดวกสบายอาจลดทอนลงบ้าง ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ถึงอย่างนั้น เบาะนั่งให้ความสะดวกสบายอย่างน่าพอใจ ชอคอับสามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี และซุ่มเสียงจากเครื่องยนต์สูบนอนยังคงรื่นรมย์หวานหูไม่เปลี่ยนแปลง
เครื่องยนต์
ขุมพลังที่ถูกพัฒนาขึ้นมาตามกฎของบังคับของตัวแข่ง มาพร้อมพละกำลังสูง ไร้ระบบอัดอากาศ ตอบสนองในช่วงรอบเครื่องยนต์สูง ซึ่งหาได้ยากในปัจจุบัน บุคลิกตามแบบฉบับเครื่องยนต์จากสนามแข่งโดยแท้จริง ให้ความรู้สึกที่เร้าใจถึงขีดสุด
อัตราเร่ง
หากวัดกันที่ตัวเลขตรงๆ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. คือ 2.96 วินาที ใกล้เคียงกับตัวเลขที่ทางผู้ผลิตระบุ คือ 3.0 วินาที เป็นอัตราเร่งที่ฉับไวมากสำหรับรถสปอร์ทขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง แต่เคล็ดลับที่แท้จริง มาจากเครื่องยนต์ที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ
อัตราเร่งยืดหยุ่น
หากต้องการอัตราเร่งยืดหยุ่นที่ฉับไว ผู้ขับอาจต้องเปลี่ยนมาใช้โหมดเกียร์แบบบวก/ลบ และลดจังหวะเกียร์ในบางครั้งเพื่อเรียกแรงบิดที่จะตอบสนองในช่วงรอบเครื่องยนต์สูง หากใช้โหมดอัตโนมัติตามปกติ เครื่องยนต์มีการตอบสนองที่ยืดหยุ่น และฉับไวอย่างน่าพอใจ
ระบบส่งกำลัง
เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ PDK ถูกปรับแต่งมาอย่างลงตัว เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของค่ายรถแห่งนี้ เปลี่ยนจังหวะได้ฉับไว อัตราทดเกียร์ที่กระชับสั้น สามารถเปลี่ยนจังหวะเกียร์ได้ในช่วงรอบเครื่องยนต์สูง ส่งกำลังได้อย่างลงตัวสมบูรณ์แบบ
พวงมาลัย
พวกมาลัยมีรูปทรง และการจัดวางปุ่มใช้งานที่ลงตัว รถสปอร์ทหลายคันควรดูเป็นตัวอย่าง การจัดวางปุ่มต่างๆ มีจำนวนที่พอเหมาะสำหรับการใช้งาน และมีรูปแบบที่ไม่ยุ่งยากเกินไป ทุกอย่างอยู่ในระยะนิ้วเอื้อมถึงได้สะดวก
ระบบเบรค
ระบบเบรคแบบคาร์บอนเซรามิคเป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้ง แต่ในกรณีที่ใช้จานเบรคแบบโลหะ ประสิทธิภาพโดยรวมก็ยังถือว่าน่าพอใจมาก การเบรคทำได้อย่างหนักแน่น หน่วงความเร็วได้อยู่หมัด มีความทนทานสูง รองรับการขับในสนามแข่งได้สบาย
ความคล่องแคล่ว
รหัส GT3 มีความหนึบแน่นถึงขีดสุด บ่งบอกสมดุลของตัวรถที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ไม่เว้นแม้แต่ในสภาวะที่ยางพร้อมใช้งานเต็มที่ หรือกำลังจะเสื่อมสภาพก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีการควบคุมที่ง่ายดาย ไม่ต้องออกแรงมากเกินไป ในกรณีที่ขับขี่แบบเน้นสมรรถนะเต็มที่
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
อัตราสิ้นเปลืองค่อนข้างสูงตามคาด ตัวเลขอยู่ที่ 7.3 กม./ลิตร และจะเหลือที่ 5.8 กม./ลิตร สำหรับการขับขี่ในตัวเมือง ส่วนการเน้นอัตราเร่งในสนามแข่งย่อมสิ้นเปลืองมากขึ้นอย่างแน่นอน หากจะคาดหวังการขับเป็นระยะทางไกล ความจุถังน้ำมันที่ 90 ลิตร อาจพอช่วยได้
จุดแข็ง
ความคล่องแคล่ว คุณสมบัติด้านความหนึบแน่นที่ยอดเยี่ยม จากการรังสรรค์อย่างถี่ถ้วนของทีมงานผู้พัฒนารถรุ่นนี้ ทุกรายละเอียดแทบไม่มีจุดบกพร่อง
เครื่องยนต์ หากใครที่ยังไม่ชอบใจกับเครื่องยนต์เทอร์โบในยุคปัจจุบัน เครื่องยนต์แบบไร้ระบบอัดอากาศ ขนาด 4.0 ลิตร บลอคนี้ จะสร้างความพึงพอใจได้อย่างแน่นอน
จุดอ่อน
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงค่อนข้างสูงเป็นธรรมดาของรถสปอร์ทสมรรถนะสูง ในรุ่นปกติจะใช้ถังน้ำมันความจุ 64 ลิตร ทำให้แล่นได้ไม่ไกลมากนัก
แผงหน้าปัด จอดิจิทอลด้านข้างมาตรวัดรอบมองเห็นค่อนข้างยาก และมีการใช้งานที่ค่อนข้างยุ่งยากเช่นกัน