Quattroruote ทดสอบ
ทดสอบ JEEP RENEGADE
ค่ายรถสัญชาติลูกผสมระหว่าง อิตาเลียน-อเมริกัน หันมาพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบไฮบริดอย่างต่อเนื่อง ด้วยขุมพลังประสิทธิภาพสูง และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ถ้าผู้ขับมีการชาร์จไฟฟ้าบ่อยๆ ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์อาจจะตรงกันข้าม
รุ่น 1.3 T4 4XE S
ราคา (จากผู้ผลิต)
- 41,500 ยูโร (ประมาณ 1,582,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
- เบนซิน เทอร์โบ 4 สูบเรียง+มอเตอร์ไฟฟ้า
- ความจุ 1,332 ซีซี
กำลังสูงสุด
- 240 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย
- จากผู้ผลิต 50.0 กม./ลิตร
- จากการทดสอบ 38 ความคุ้มค่า (ในเมือง) 8.21 ยูโร/100 กม.
- ความคุ้มค่า (นอกเมือง) 10.27 ยูโร/100 กม..3 กม./ลิตร
ค่าไอเสียเฉลี่ย
- จากผู้ผลิต 46 กรัม/กม.
- จากการทดสอบ 62 กรัม/กม.
เส้นสายที่แฝง “ความหมาย” ซ่อนอยู่ จากการออกแบบทั้งภายนอก และภายในของตัวรถ บ่งบอกความทันสมัย และรูปแบบรถยนต์ยุคหน้าของขุมพลังแบบไฮบริด แต่ขณะเดียวกันสามารถรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ได้ดีเช่นกัน ตามแบบฉบับรถยนต์สัญชาติอเมริกัน
ลักษณะดั้งเดิมที่คุ้นเคยจาก JEEP WILLYS (จีพ วิลลีย์ส์) ยังคงมีให้เห็นรอบคัน ตั้งแต่กระจกหน้าที่ทำมุมตั้งชัน ตัวถังส่วนหน้าที่ไล่เรียงต่อเนื่องกับขอบของกระจกหน้า (ช่วยให้มีทัศนวิสัยที่ดีขึ้นอีกด้วย) รวมถึงกระจกบานท้ายที่ทำมุมตั้งชันเช่นกัน แสดงถึงความเป็นตัวลุยทรงบึกบึน สืบทอดรูปแบบในอดีต และเตรียมผสมผสานการเป็นรถยนต์สมัยใหม่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น
ตัวลุยขั้นเทพ
แนวทางความสำเร็จของค่ายรถ JEEP (จีพ) ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ถูกเน้นหนักกับรูปแบบขุมพลังไฮบริด เตรียมทำตลาดในหลากหลายรุ่นย่อย แต่สิ่งที่ค่ายรถแห่งนี้ยังคงระลึกเสมอ คือ รากเหง้าของรถที่ทำตลาด ใช้เครื่องยนต์กลไกแบบดั้งเดิม การขับขี่ที่ตอบสนองได้อย่าง เฉียบคม โดยเฉพาะเส้นทางสมบุกสมบัน ระบบเฟืองท้ายที่สามารถลอคการส่งกำลังได้ รวมถึงชุดเกียร์ของระบบขับเคลื่อนที่เน้นแรงบิดเป็นพิเศษ ทั้งหมดที่ว่าจะต้องยังคงถูกรักษาเอาไว้สำหรับรถที่ทำตลาดในอนาคต เพียงแต่มีการปรับแต่งให้เหมาะสมกับเทคโนโลยียุคหน้า
รถยนต์รุ่นใหม่ที่ดำเนินตามแผนการดังกล่าว คือ RENEGADE (เรเนเกด) ทำตลาดในเวลาใกล้เคียงกับรถร่วมค่ายอย่าง COMPASS (คอมพาสส์) พร้อมรุ่นย่อยที่มีเหมือนกัน คือ 4XE (อ่านตามภาษาอังกฤษว่า โฟร์-บาย-อี) บ่งบอกการเป็นรถยนต์ขุมพลังไฮบริด มีจุดเด่นในเรื่องการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า โดยเฉพาะในตัวเมือง ช่วยให้ตัวรถมีภาษีประจำปีที่ถูกลง รวมถึงราคาของตัวรถที่ย่อมเยาขึ้น ตามแต่โครงสร้างภาษีของภูมิภาคที่ทำตลาด
พร้อมตะลุยป่าเขา
ถังนํ้ามันที่เล็กลง 11 ลิตร
นอกเหนือจากจุดเด่นในเรื่องของการประหยัดเชื้อเพลิง และความคุ้มค่าด้านราคาโดยรวม รุ่นย่อยที่ลงท้ายด้วย S บ่งบอกว่า RENEGADE ถูกผ่านการทดสอบมาอย่างเข้มข้น แม้จะเป็นตัวลุยขนาดกะทัดรัดสัญชาติ อิตาเลียน-อเมริกัน พร้อมรูปทรงที่โฉบเฉี่ยวทันสมัย กับภาพลักษณ์ของค่ายรถที่โด่งดังกับการลุยทางสมบุกสมบันอย่างสุดขั้ว แต่ด้วยมิติตัวถัง และคุณสมบัติรอบตัว ทำให้รถรุ่นนี้เหมาะกับผืนป่าอีกลักษณะหนึ่ง นั่นคือ ป่าชานเมืองที่ไม่หนาแน่นเกินไป
การทดสอบของเราเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ มุ่งสู่ถนนหลวง ผ่านการจราจรที่หนาแน่นในตัวเมือง ในช่วงแรก รุ่น 4XE คันนี้ขับเคลื่อนได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ ผู้ขับปรับให้เป็นโหมด HYBRID ระบบของเครื่องยนต์จะเน้นความสมดุล มีระยะทำการที่เหมาะสม RENEGADE ให้การ ขับเคลื่อนที่นุ่มนวล แม้ในบางครั้งจะพบว่า การส่งกำลังระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์สันดาปจะไม่ราบรื่นบ้างก็ตาม
หากผู้ขับทำการชาร์จแบทเตอรีความจุ 11.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง จนเต็มมาอย่างดีแล้ว ตัวรถสามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน เครื่องยนต์สันดาปจะหยุดการทำงานลง พร้อมกับเสียงที่เงียบสนิท โดยมีระยะทำการที่ประมาณ 40 กม. (จากการใช้งานจริง) ปราศจากมลพิษโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ระดับของแบทเตอรีจะลดลงอย่างรวดเร็ว หากเส้นทางที่ใช้ผ่านทางหลวง หรือทางด่วนเป็นระยะทางค่อนข้างไกล มอเตอร์ไฟฟ้าชุดนี้สามารถรองรับความเร็วสูงสุดถึง 140 กม./ชม. กับการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนๆ แต่ต้องอย่าลืมว่า ที่ความเร็วระดับดังกล่าวจะสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้ามากๆ
หากแบทเตอรีหมดลง 4XE จะเปลี่ยนมาขับเคลื่อนด้วยโหมด HYBRID โดยอัตโนมัติ ในแง่ของโหมดขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า RENEGADE อาจมีอัตราเร่งแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่แรงแบบหลังติดเบาะอะไรขนาดนั้น จนกระทั่งผู้ขับได้ใช้งานกำลังสูงสุดทั้งระบบที่ 240 แรงม้า อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อัตราเร่งจะฉับไวขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในโหมด SPORT (ที่มีเพิ่มเติมเข้ามาในรุ่นพลัก-อิน ไฮบริด) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.7 วินาที และอัตราเร่งยืดหยุ่นเสมือนการเร่งแซงที่ 70-120 กม./ชม. ในเวลาประมาณ 6 วินาทีเช่นกัน บ่งบอกสมรรถนะที่น่าพอใจของขุมพลังบลอคนี้ ให้การเร่งแซงที่ทันใจ แต่ยังสามารถบังคับควบคุมตัวรถได้อย่างมั่นใจเช่นกัน
แม้ JEEP รุ่นนี้จะใช้ขุมพลังแบบพลัก-อิน ไฮบริด แต่การขับเคลื่อนภายใต้โหมด HYBRID กลับมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ไม่ได้ต่ำอย่างที่คาดไว้ ตัวเลขเฉลี่ยที่ประมาณ 14 กม./ลิตร แยกเป็นการขับขี่บนทางหลวงที่ 16.2 กม./ลิตร และการขับขี่ในตัวเมืองที่ 12.4 กม./ลิตร ในกรณีที่ผู้ขับต้องการใช้งานบนสภาพการจราจรที่หนาแน่นในตัวเมืองเป็นระยะทางค่อนข้างมาก ควรลองหันมาใช้โหมด E-CHARGE โดยกดปุ่มใช้งานที่อยู่ใกล้ๆ เครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร 180 แรงม้า จะถูกทำหน้าที่สร้างประจุไฟฟ้า สามารถชาร์จ แบทเตอรีได้สูงสุดที่ 80 % ของความจุทั้งหมด (หรือรักษาระดับของแบทเตอรีเอาไว้ให้คงที่ด้วยการชาร์จอย่างต่อเนื่อง) อย่างไรก็ตาม การใช้งานลักษณะดังกล่าวจะทำให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้นมาก
ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้ 40 กม.
รถยนต์รุ่นนี้ใช้ล้อแมกขนาด 19 นิ้ว กับยางขนาด 235/45 และการตกแต่งโดยรวมที่มีภาพลักษณ์ด้านความสปอร์ท RENEGADE มีชื่อรุ่นต่อท้ายด้วยตัว S ยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมของตัวรถเอาไว้ เช่น ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบลอคการส่งกำลังได้ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่เน้นแรงบิดในช่วงความเร็วต่ำ อย่างไรก็ตามรูปแบบการทำงานของเครื่องยนต์กลไกอาจมีความแตกต่างออกไปจากเดิม โดยจะถูกเปลี่ยนเป็นระบบควบคุมระดับการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ และชุดส่งกำลัง ระบบดัง-กล่าวจะช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน และพโรแกรมการขับเคลื่อนภายใต้สภาวะการขับขี่รูปแบบต่างๆ หากผู้ขับต้องการลุยทางสมบุกสมบันแบบหนักหน่วงเต็มที่ ระบบขับเคลื่อนของรุ่น 4XE สามารถรองรับได้ดี เช่นกัน เทียบชั้นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อระดับสูงสุดที่มีชื่อว่า TRAILHAWK เลยทีเดียว
กลับมาที่การขับขี่บนป่าเขาระดับเบาในชนบท เราพบว่าการตอบสนองของระบบรองรับด้านหลังที่มีการตอบสนองค่อนข้างแข็งกระด้างเล็กน้อย การดูดซับแรงสั่นสะเทือนควรทำได้ดีกว่านี้สภาพพื้นผิวขรุขระต่อเนื่อง ขณะที่การขับขี่ในตัวเมือง RENEGADE ตอบสนองอย่างนุ่มนวล หักเลี้ยวได้ดังใจ แม้การปรับแต่งโดยรวมจะไม่ได้เน้นความสปอร์ท และการตองสนองที่หนึบแน่นอย่างชัดเจน การทดสอบด้วยการหักเลี้ยวกะทันหัน สามารถควบคุมตัวรถได้ไม่ยากเย็น แม้ผู้ขับจะมีทักษะการขับขี่ไม่มากนัก เป็นจุดดีจากระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่แบบอีเลคทรอนิคที่มีจังหวะการทำงานที่เหมาะสม ส่วนประสิทธิภาพของระบบเบรคมีระยะเบรคที่สั้นกระชับ และแป้นเบรคที่มีความทนทาน รองรับการเบรคที่หนักหน่วงโดยไม่มีอาการล้าให้เห็น ช่วยให้ระยะเบรคโดยรวมทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของรถยนต์ประเภทไฮบริดรุ่นอื่นๆ
ตัวรถโดยรวมมีความลงตัวที่น่าพอใจรอบด้าน แต่มีบางจุดที่ผู้ขับต้องพึงระลึกไว้เช่นกัน นั่นคือ ความจุของที่เก็บสัมภาระท้าย จะลดลง 60 ลิตร เมื่อเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล นอกจากนี้ การติดตั้งชุดแบทเตอรี และมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน มีตำแหน่งการติดตั้งตรงกลางระหว่างล้อคู่หลัง ทำให้ความจุของถังน้ำมันต้องลดลงตามกันไปด้วย โดยมีความจุลดลง 11 ลิตร (จากเดิม 48 เป็น 37 ลิตร)
สุดท้ายแล้ว บทสรุปโดยรวมของรถรุ่นนี้ คือ สิ่งที่ทางทีมงานต้องการจะเน้นย้ำเสมอมา สำหรับผู้ที่สนใจจะครอบครองรถยนต์ที่ใช้ขุมพลังแบบพลัก-อิน ไฮบริด ควรทำการชาร์จแบทเตอรีเป็นประจำให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จประจุไฟฟ้าจากในบ้าน แม้จะต้องใช้เวลาค่อนข้างมากสำหรับการชาร์จแบทเตอรีเต็ม (ในที่นี้ คือ ระยะเวลาร่วม 4 ชม. 40 นาที เทียบกับตู้ชาร์จแรงดันไฟฟ้าสูงที่ใช้เวลาเพียง 1 ชม. หรือเพียง 30 นาที สำหรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง) ผลดีที่ตามมา คือ การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลงได้บ้าง แต่ในกรณีที่ผู้ใช้งานไม่มีที่อยู่อาศัยเฉพาะตัว หรือไม่สะดวกในการชาร์จไฟฟ้า (หรือไม่สนใจที่จะชาร์จไฟฟ้า) ได้บ่อยอย่างที่ควรจะทำ เราแนะนำว่า ผู้ใช้งานควรหันมาเลือกรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปตามปกติทั่วไป
โดยรวมแล้ว JEEP RENEGADE คือ จุดเชื่อมต่อระหว่างยุคสมัยอันรุ่งเรื่องของค่าย กับชื่อชั้นด้านประสิทธิภาพการลุยทางสมบุกสมบันในระดับหัวแถว จนกระทั่งปัจจุบันกระแสรถยนต์ประเภทครอสส์โอเวอร์สไตล์ เอสยูวี ได้รับความนิยมมากขึ้น การหันมาพัฒนารถยนต์ที่สามารถตอบสนองความต้องการดังกล่าวเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความสะดวกสบาย และการใช้งานที่ทันสมัยเป็นสิ่งที่ถูกคำนึงถึงมากยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้ายุคใหม่ นอกจากนี้ขุมพลังยังต้องพัฒนาให้ทันกับกระแสยานยนต์ยุคหน้าอีกด้วย นั่นคือ เครื่องยนต์ที่เน้นการประหยัดเชื้อเพลิง และมีค่าไอเสียที่ต่ำ แต่สิ่งที่ยังคงต้องถูกรักษาเอาไว้ ย่อมหนีไม่พ้นสมรรถนะที่น่าพอใจ รวมถึงประสิทธิภาพการลุยทางสมบุกสมบันไม่แพ้บรรดารุ่นพี่ร่วมค่ายทั้งหลาย โจทย์แต่ละข้อที่กล่าวมาล้วนเป็นความท้าทายที่ RENEGADE ต้องพิชิตให้ได้ เป็นจุดกำเนิดของรุ่น 4XE ขุมพลังพลัก-อิน ไฮบริด มีความเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในตัว แรงบิดมหาศาลจากมอเตอร์ไฟฟ้า กลายเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อยุคใหม่ของเครื่องยนต์ทั้ง 2 ระบบ พร้อมอุปกรณ์ใช้งานที่ทันสมัย ไม่แพ้คู่แข่งระดับเดียวกัน เชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในอนุกรมที่จะทำให้ชื่อของ JEEP ยืนยงไปอีกนาน โดยเฉพาะในหมู่ผู้ชื่นชอบรถยนต์สายพันธุ์ลุย ไว้ใจได้ว่าคุณสมบัติการลุยทางสมบุกสมบันยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม คือ สิ่งที่มีมาช้านาน
ข้อมูลทางเทคนิค การขับเคลื่อนแบบไร้ชุดส่งกำลัง
การหันมาใช้ระบบขับเคลื่อนรูปแบบใหม่จาก JEEP กับเครื่องยนต์ 2 ระบบ ภายใต้เงื่อนไขประสิทธิภาพการลุยทางสมบุกสมบันแบบ 4x4 ที่ยังคงต้องรักษาเอาไว้ แนวทางใหม่ดังกล่าว คือ การติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้อคู่หลัง โดยไม่ต้องมีระบบส่งกำลังจากเครื่องยนต์มาเกี่ยวข้อง มีเพียงจุดควบคุมการส่งกำลัง และความเร็วให้สัมพันธ์กับล้อคู่หน้าเท่านั้น ช่วยให้มีการส่งกำลังที่แม่นยำยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการขับขี่บนทางสมบุกสมบัน แม้มอเตอร์ไฟฟ้าจะมีกำลังสูงสุดที่ 60 แรงม้า และแรงบิดสุงสุดที่ 25.5 กก.-ม. อาจดูไม่มากนักเมื่อเทียบกับกำลังสูงสุดทั้งระบบ แต่เน้นการส่งกำลังที่ต่อเนื่อง ส่วนชุดแบทเตอรีความจุ 11.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง ของระบบไฮบริด ติดตั้งบริเวณซุ้มเกียร์ ต่อเนื่องไปถึงบริเวณด้านล่างของเบาะหลัง ถัดไปเป็นถังน้ำมันขนาด 37 ลิตร ในส่วนการชาร์จไฟฟ้าแบบทั่วไป รองรับที่ 7.2 กิโลวัตต์ นั่นคือ ใช้เวลาชาร์จแบทเตอรีเต็มประมาณ 1 ชม. ครึ่ง แต่ยังมีอีกหนทางหนึ่ง คือ การชาร์จด้วยระบบไฮบริดในตัวเอง ภายใต้โหมด E-SAVE สามารถชาร์จได้ถึงระดับแบทเตอรีที่ 80 % (แต่ต้องแลกกับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นด้วย) เป็นผลดีจากการติดตั้งชุดสายพานต่อตรงกับเครื่องยนต์สันดาป แบบเบนซิน เทอร์โบ ขนาด 1.3 ลิตร กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ใช้เสื้อสูบวัสดุอลูมิเนียม แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน เพื่อจุดประสงค์ด้านความแข็งแรงทนทาน และลดเสียงรบกวนกับแรงสั่นสะเทือน เครื่องยนต์บลอคนี้มีชื่อเรียกว่า MULTIAIR พัฒนาต่อเนื่องเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว สามารถแปรผันการไหลเวียนของไอดี และระยะเวลาการยกของชุดวาล์ว ทำให้มีสมรรถนะ และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดีขึ้น รวมถึงค่าไอเสียที่ลดลง
ข้อมูลจำเพาะ
ข้อมูลของรถที่นำมาทดสอบ
เครื่องยนต์
- เบนซิน วางตามขวาง
- 4 สูบเรียง
- กระบอกสูบ 70.0 มม.
- ช่วงชัก 86.5 มม.
- ความจุ 1,332 ซีซี
- กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 5,750 รตน.
- แรงบิดสูงสุด 27.5 กก.-ม. ที่ 1,850 รตน.
- เสื้อสูบ และฝาสูบใช้วัสดุโลหะน้ำหนักเบา
- ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ ระบบวาล์วแปรผัน วาล์วไอดีแบบไฮดรอลิค ควบคุมด้วยอีเลคทรอนิค 4 วาล์ว/ลูกสูบ (สายพานโซ่)
- ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง เทอร์โบ และอินเตอร์คูเลอร์
- ชุดกรองไอเสีย
- มอเตอร์ไฟฟ้า
- กำลังสูงสุด 60 แรงม้า
- แรงบิดสูงสุด 25.5 กก.-ม.
- กำลังสูงสุดทั้งระบบ 240 แรงม้า
แบทเตอรี
- ลีเธียม-ไอออน ความจุ 11.4 กิโลวัตต์ชั่วโมงระบบส่งกำลัง
- ชุดควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้า
- เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ยาง
- บริดจสโตน ดูเอเลอร์ เอช/พี สปอร์ท 235/45 R19 99V
- ชุดปะยาง
รูปแบบตัวถัง
- โครงสร้างโลหะ 2 กล่อง 5 ประตู 5 ที่นั่ง
- ระบบรองรับด้านหน้า แมคเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
- ระบบรองรับด้านหลัง แมคเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
- ชอคอัพแบบไฮดรอลิค
- ระบบเบรคแบบ จาน พร้อมช่องระบายความร้อน เอบีเอส และอีเอสพี
- พวงมาลัยฟันเฟือง และตัวหนอน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า
- ถังน้ำมัน 37 ลิตร
มิติตัวถัง
- ระยะฐานล้อ 2,570 มม.
- ความกว้างของฐานล้อคู่หน้า/หลัง 1,540 มม.
- ความยาว 4,240 มม. กว้าง 1,810 มม. สูง 1,690 มม.
- น้ำหนักโดยรวม 1,770 กก. รวมน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 2,315 กก. น้ำหนักลากจูงสูงสุด 1,150 กก.
ความจุที่เก็บสัมภาระ
- 330-1,277 ลิตรสถานที่ผลิต
เมือง
- MELFI ประเทศอิตาลี