เรื่องเด่น Quattroruote
ทดสอบ MERCEDES-AMG G 63
การยืนหยัดในการเป็นตัวลุยระดับตำนานกว่า 40 ปี คือ เครื่องพิสูจน์ความยอดเยี่ยมของรถรุ่นนี้ ด้วยความโดดเด่นที่ผสมผสานระหว่างความอนุรักษนิยม และความทันสมัยเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เสริมด้วยขุมพลังเทอร์โบคู่ แบบ วี 8 สูบ ที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมที่สุดบลอคหนึ่งก็ว่าได้
รุ่น PREMIUM PLUS
ราคา (จากผู้ผลิต)
- 173,591 ยูโร (ประมาณ 7,300,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์
- เบนซิน เทอร์โบ วี 8 สูบ
- 3,982 ซีซี
กำลังสูงสุด
- 585 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
- จากผู้ผลิต 7.6 กม./ลิตร
- จากการทดสอบ 6.2 กม./ลิตร
- ความคุ้มค่า 22.61 ยูโร/100 กม.
ค่าไอเสียเฉลี่ย
- จากผู้ผลิต 299 กรัม/กม.
- จากการทดสอบ 384 กรัม/กม.
จุดเด่นสำคัญของรถรุ่นนี้สามารถพบเจอได้ในพื้นที่เพียงครึ่งตรม. นับเป็นรายละเอียดที่จะสัมผัสได้ทันทีที่เปิดประตูฝั่งผู้ขับ นั่นคือ ป้ายสัญลักษณ์ที่สลักคำว่า “SCHOECKL PROVED” เอาไว้บริเวณเสา บี ซึ่งเป็นชื่อของเทือกเขาที่ G-CLASS (จี-คลาสส์) ทุกคันต้องผ่านบททดสอบให้ได้ โดยเทือกเขาดังกล่าวตั้งอยู่ใกล้กับโรงงาน GRAZ (อยู่ในประเทศออสเตรีย เป็นที่ผลิต G-CLASS มาตั้งแต่ปี 1979) กับเส้นทางสมบุกสมบันแบบสุดขั้ว ประกอบด้วย ทางลาดชันขึ้นเขาถึง 60 % และทางลงเขาที่ 40 % เป็นบททดสอบที่โหดหินเพื่อรับรองประสิทธิภาพการลุยที่ถูกสืบทอดตลอดมา และข้างใต้ประตูรถยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมอีก นั่นคือ ท่อไอเสียคู่ที่ทอดยาวจากเครื่องยนต์แบบ วี 8 สูบ แม้จะไม่มีผลต่อมาดตัวลุยโดยรวม แต่บ่งบอกว่าเครื่องยนต์บลอคนี้ไม่ธรรมดา จากการรังสรรค์โดยทีมงานของ AMG (เอเอมจี) ผู้พัฒนารถสปอร์ทสมรรถนะสูงอย่าง PROJECT ONE (พโรเจคท์ วัน) และเครื่องยนต์ของรถแข่ง F1 (เอฟ วัน) รวมถึงรหัสตัวแรงทั้งหลาย และตัวแข่งมากมาย จนมาถึงตัวลุยที่มีชื่อเต็มว่า GELAENDEWAGEN ลองจินตนาการถึงการขับรถคันนี้ในชีวิตประจำวัน ขณะที่จอดติดไฟสัญญาณจราจร ท่อไอเสียทรงดุดันชุดนี้สะกดสายตาผู้คนบนท้องถนนอย่างได้ผล บ่งบอกพละกำลังที่ไม่เป็นรองใคร แม้เอาเข้าจริง รถคันนี้จะมีประสิทธิภาพการลุยในเวลาเดียวกัน รูปทรงที่มีเสน่ห์ของ G 63 (จี 63) ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นยามแล่นผ่านในตัวเมืองอย่างเมืองดูไบ และยังสามารถทะยานผ่านขุนเขาสูงชันได้อย่างไม่ยากเย็น จัดเป็นส่วนผสมที่หาได้ยากในรถยนต์คันหนึ่ง ถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นที่ผสมผสานอย่างลงตัวในรถรุ่นนี้ ขุมพลังที่มีพละกำลังเกือบ 600 แรงม้า รูปทรงฝากระโปรงที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อกว่า 40 ปีก่อน โดยในยุคนั้นใช้เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.4 ลิตร 79 แรงม้า ด้วยซ้ำไป รูปทรงของมือจับประตู และมือจับสำหรับขึ้นรถ ยังคงถูกรักษาเอาไว้ ห้องโดยสารถูกตกแต่งให้หรูหรามากขึ้น และมีความร่วมสมัย แม้ทำตลาดมาหลายปี รองรับการเดินทางผจญภัยที่สมบุกสมบันแทบทุกรูปแบบ นับเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง กับบรรยากาศที่ลงตัวระหว่างอดีต และปัจจุบัน จัดเป็นความคลาสสิคที่พบเจอได้รอบคัน ขณะที่ไฟหน้าเป็นทรงกลมอย่างที่ใช้ตลอดมา แต่มีความทันสมัยกับไฟแอลอีดีปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้ แถบวัดความสูงของตัวรถจะถูกระบุเอาไว้ด้านข้างของชุดบังโคลน ผู้ขับจะนั่งสูงขึ้นมาจากพื้นถนนประมาณ 1 ม. กระจกบังลมหน้าทำมุมเกือบตั้งฉาก และแผงหน้าปัดที่แสดงผลข้อมูลหลากหลาย ข้างหน้าผู้ขับมีจอแสดงผลขนาดใหญ่บนแผงคอนโซล แบบเดียวกับในรถยนต์ของ MERCEDES-BENZ (เมร์เซเดส-เบนซ์) หลายรุ่นในปัจจุบัน มีอุปกรณ์ใช้งานที่ทันสมัย และเบาะนั่งหุ้มหนังชั้นดีพร้อมระบบนวดในตัว ระบบทำความอุ่น และช่องแอร์ที่ทั่วถึง
การพัฒนาสู่อนาคต
แนวทางการพัฒนา G-CLASS ของ MERCEDES-BENZ คือ การรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้แทบทุกกระเบียดนิ้ว ต่างจากแนวทางของค่าย LAND ROVER (แลนด์ โรเวอร์) ที่พัฒนา DEFENDER (ดีเฟนเดอร์) รูปทรงโดยรวมแทบไม่เปลี่ยนไป นับจากรุ่นที่เริ่มทำตลาดในปี 1975 ถึงปี 1999 ของรุ่นแรก จุดเปลี่ยนแปลง คือ บรรดาเทคโนโลยีที่ใช้งานมีความทันสมัยตามกาลเวลา ท่ามกลางรูปทรงที่ยังคงคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นเสาประตูแนวตั้ง และประสิทธิภาพการลุยทางสมบุกสมบันในระดับหัวแถว และยังให้ความมั่นคงขณะแล่นบนพื้นถนน โดยรุ่นที่นำมาทดสอบ คือ รหัสตัวแรง AMG มีการพัฒนาในหลายด้าน นอกเหนือจากเครื่องยนต์แบบ วี 8 สูบ แล้ว ยังมีระบบรองรับแบบอิสระ และคานยึด 2 ชุด (ระบบรองรับด้านหลังยังเป็นแบบคานแข็ง) และช่วงล่างปรับการตอบสนองได้ด้วยอีเลคทรอนิค ดังนี้แล้ว ตัวลุยคันนี้จึงมีประสิทธิภาพการลุยที่ยอดเยี่ยม และยังมั่นคงในทางเรียบไม่แพ้กัน (การยึดเกาะถนนที่ไว้ใจได้) ความสนุกเร้าใจของผู้ขับจะเกิดขึ้นเมื่อกดปุ่มปรับโหมดขับเคลื่อนแบบ SPORT+ รวมถึงการลดกระจกด้านผู้ขับลงมา เพื่อสัมผัสเสียงของเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบคู่ ขนาด 4.0 ลิตร แม้ใจจริงแล้ว ผู้ทดสอบยังคงระลึกถึงความเร้าใจจากเครื่องยนต์บลอคใหญ่ขนาด 6.2 ลิตร ได้ดี กับอัตราเร่งที่เร้าใจอย่างถึงที่สุด รถคันนี้มีกำลังสูงสุดระดับ 585 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 86.7 กก.-ม. ภายใต้น้ำหนักโดยรวมที่ประมาณ 2,700 กก. ตัวลุยระดับหรูคันนี้ เมื่อกดคันเร่งสุดลงไป รถคันนี้ก็พร้อมพุ่งทะยานทันที ผู้ขับสัมผัสได้ถึงพละกำลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาเต็มพิกัด หากพูดกันตรงๆ คือ จากการทดสอบสมรรถนะ (อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.8 วินาที) ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับสปอร์ทซีดานอย่าง A 35 AMG (เอ 35 เอเอมจี) ที่มีแรงม้าน้อยกว่ากันเกือบครึ่งหนึ่ง หากมองข้ามตัวเลขอัตราเร่งไปแล้ว (หรือนาฬิกาวัดความเร็วบนคอนโซลหน้า) เครื่องยนต์บลอคนี้มีอัตราเร่งที่ดุดันอย่างแท้จริง จุดน่าสนใจอีกประการ คือ ระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 9 จังหวะ ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ วี 8 สูบอย่างลงตัว ช่วงการตอบสนองที่กว้าง (ที่ความเร็ว 130 กม./ชม. อยู่ที่ 1,800 รตน. เท่านั้น) มีการทำงานที่เรียบเนียน และฉับไวในการไต่ความเร็ว ระบบเกียร์แบบเน้นแรงบิดมีอัตราทดที่ต่ำ (ที่ 2.93 เท่านั้น) ช่วยให้การขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อตลอดเวลา (พร้อมเพลาขับแบบแยกส่วนหน้า/หลัง) ให้การขับเคลื่อนคล้ายรถสปอร์ท และการส่งกำลังกว่า 60 % ไปยังล้อคู่หลัง
เน้นความนุ่มนวล มากกว่าหนึบแน่น
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า รถคันนี้ไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อลุยในสนามแข่ง ถึงอย่างนั้น G 63 ก็มีความคล่องแคล่วไม่น้อย ภายใต้ล้อแมกขนาด 22 นิ้ว ในโหมด SPORT มีความหนักแน่นเพิ่มเข้ามาพอสมควร แต่หากขับขี่แบบเน้นอัตราเร่งมากขึ้น ผู้ขับจะเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบของน้ำหนักโดยรวม และความสูงที่ค่อนข้างมาก การตอบสนองอาจไม่ฉับไวอย่างที่ต้องการ อาการอันเดอร์สเตียร์เริ่มปรากฏให้เห็นการตอบ-สนองของพวงมาลัยอาจไม่แม่นยำตามระดับการหักเลี้ยวของล้อ อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของตัวแรง AMG คันนี้ไม่ใช่ประสิทธิภาพบนทางเรียบเสียทั้งหมด ระบบรองรับดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นขรุขระได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งหลุมลึกบนถนนก็สามารถแล่นผ่านได้อย่างราบเรียบ การติดตั้งวัสดุดูดซับเสียงจากภายนอก ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถพูดคุยกันได้ตามปกติ แม้จะมีเสียงรบกวนมากขึ้นในช่วงความเร็วสูง เนื่องจากตัวถังทรงเหลี่ยมของรถรุ่นนี้ และเสียงจากยางขนาดใหญ่ แต่อยู่ในระดับที่รับได้ ไม่รบกวนการโดยสารมากเกินไป นอกจากนี้ยังเร้าใจด้วยเสียงจากเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ มีเสียงแผดดังเป็นพิเศษเฉพาะในโหมด SPORT ยิ่งเครื่องยนต์ วี 8 สูบ แสดงพลังออกมามากเท่าไร อัตราสิ้น-เปลืองเชื้อเพลิงก็มากขึ้นตามกัน ขณะที่อากาศพลศาสตร์เป็นจุดที่ต้องทำใจ (ตัวเลขที่ 0.539 CD ด้วยซ้ำ !) และยังมีสาเหตุจากน้ำหนักโดยรวมที่ค่อนข้างมาก และขุมพลังเทียบชั้นรถแข่งตัวแรงในคลาสส์ GT3 (จีที 3) ผลลัพธ์ คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ประมาณ 6.2 กม./ลิตร ถือว่าไม่เลวร้ายมากนัก อย่างน้อยถังน้ำมันความจุถึง 100 ลิตร ทำให้รถรุ่นนี้แล่นได้ไกล
รูปแบบที่หลากหลาย รหัส G ที่ไม่ธรรมดา
ทีมงานพัฒนารหัสตัวแรง AMG เริ่มพัฒนารุ่นพิเศษของ G-CLASS ตั้งแต่ปี 1993 กับรุ่น 500 GE 6.0 AMG (500 จีอี 6.0 เอเอมจี) กับแนวคิดที่น่าสนใจ และทำตลาดควบคู่กับรุ่นปกติเสมอมาเป็นเวลาหลายปี การพัฒนาของตัวแรงมีความเป็นเอกเทศจากรุ่นปกติหลายส่วน (ยังมีรุ่นทอพ คือ รหัส G 65 (จี 65) กำลังสูงสุด 630 แรงม้า จากเครื่องยนต์เทอร์โบคู่แบบ วี 12 สูบ) ทีมทดสอบของเรายังจดจำความแตกต่างที่น่าประหลาดใจของรุ่นแรกๆ มาจนถึงตัวแรงรุ่นปัจจุบัน หนึ่งในนั้น คือ รุ่น G 63 AMG 6x6 (จี 63 เอเอมจี 6x6) มาพร้อมกับรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร กับการขับเคลื่อนถึง 6 ล้อ มีจุดเด่น คือ เพลาขับแบบคู่ ภายใต้ราคาที่ต่ำกว่า 500,000 ยูโรเล็กน้อย ทำตลาดช่วงปี 2013 เป็นตัวลุยที่ได้รับการตอบรับดีมาก ถัดจากรุ่นนี้ คือ G 500 4x42 (จี 500 4x42) ตัวถังมีความดุดัน และมีขนาดใหญ่โตขึ้น และยังมีรุ่นหรูขั้นสุดอย่าง MERCEDES-MAYBACH G 650 LANDAULET (เมร์เซเดส-มายบัค จี 650 ลันเดาเลท์) โครงสร้างตัวถังที่ใหญ่โต พัฒนา ต่อยอดจากรุ่น 6x6 และ 4x42 ระยะฐานล้อถึง 3,500 มม. รองรับผู้โดยสารได้ 4 คนตามแบบลีมูซีนหรู พร้อมเครื่องยนต์ วี 12 สูบ 630 แรงม้า มีจำนวนการผลิตทั้งหมดจำกัดที่ 99 คัน โดยคันสุดท้ายทำตลาดในปี 2017 กับราคาสำหรับการประมูลเพื่อการกุศลสูงถึง 1.2 ล้านยูโร นั่นเชียว
การพัฒนาที่ซ่อนอยู่ภายใน
รูปทรงที่เน้นเหลี่ยมสันถูกเห็นกันมาตั้งแต่ปี 1979 และมีการปรับโฉมในปี 1990 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ลึกลงไปภายในกลับมีอะไรมากกว่านั้นที่ G-CLASS มีการเปลี่ยนแปลงหลายส่วน ในรุ่นทอพใช้เครื่องยนต์ วี 8 สูบ เทอร์โบคู่ ขนาด 4.0 ลิตร (แทนที่รุ่นก่อนหน้านี้มีขนาด 5.5 ลิตร) เครื่องยนต์บลอคใหม่ใช้เทอร์โบแบบครีบแปรผันคู่ กับ รูปแบบกระบอกสูบตัว วี มีการตอบสนองที่ฉับไวยิ่งขึ้น และท่อไอเสียที่สูงขึ้นมา ช่วยให้ระบายไอเสียได้ดียิ่งขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และค่าไอเสียที่ดียิ่งขึ้น เครื่องยนต์สามารถตัดการทำงานจำนวน 4 กระบอกสูบ ในช่วง 1,000-3,250 รตน. มีการตอบสนองคันเร่งที่ดีโดยไม่ต้องอาศัยการกดคันเร่งสุดเสมอไป G-CLASS รุ่นนี้มีการยึดเกาะถนนที่น่าพอใจ เสริมด้วยระบบส่งกำลังแบบเน้นแรงบิด และชุดเฟืองท้ายที่ทำงานแยกส่วนกันระหว่างด้านหน้า และด้านหลัง การกระจายแรงบิดถูกควบคุมด้วยระบบอีเลคทรอนิคผ่านชุดคลัทช์ที่หลากหลาย และทำงานผ่านระบบอีเลคทรอนิคภายใต้การใช้งานทั่วไป ส่งกำลังร่วม 60 % ไปยังล้อคู่หลัง และอีก 40 % ไปยังล้อคู่หน้า ระบบผ่อนแรงพวงมาลัยด้วยไฟฟ้าถือเป็นของใหม่ของรถรุ่นนี้ ช่วยควบคุมตัวรถได้แม่นยำขึ้น ด้านหน้าใช้ระบบรองรับแบบอิสระ ระบบรองรับ และโครงสร้างตัวถังมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น มากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ถึง 55 %
ข้อมูลจำเพาะ (จากรถที่นำมาทดสอบ)
เครื่องยนต์
- เบนซิน วางด้านหน้า ตามยาว
- วี 8 สูบ (ทำมุม 90 องศา)
- กระบอกสูบ 83.0 มม.
- ช่วงชัก 92.0 มม.
- ความจุ 3,902 ซีซี
- กำลังสูงสุด 585 แรงม้า ที่ 6,000 รตน.
- แรงบิดสูงสุด 86.7 กก.-ม. ที่ 2,550-3,500 รตน.
- เสื้อสูบ และฝาสูบ ใช้โลหะน้ำหนักเบา
- ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ ระบบวาล์วแปรผัน พร้อมระบบตัดการทำงานเหลือ 4 สูบที่ความเร็วต่ำ
- ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูเลอร์
ระบบส่งกำลัง
- ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
- ชุดส่งกำลัง แยกชุดคลัทช์
- เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ พร้อมเกียร์แบบเน้นแรงบิด
- ชุดลอคเฟืองท้าย
ยาง
- ปิเรลลี สกอร์เพียน เซโร อซิมเมทริค (PIRELLI SCORPION ZERO ASYMMETRIC)
- ขนาด 295/40 R22 112W
- ชุดปะยาง
ตัวถัง
- ตัวถังวางอยู่บนแชสซีส์ โครงสร้างตัวถังใช้วัสดุโลหะ และอลูมิเนียม ทรง 2 กล่อง 5 ประตู 5 ที่นั่ง
- ระบบรองรับด้านหน้า ปีกนกคู่ คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
- ระบบรองรับด้านหลัง คานแข็ง พร้อมเหล็กกันโคลง
- ชอคอับแบบไฮดรอลิค ควบคุมด้วยอีเลคทรอนิค
- จานเบรคแบบมีช่องระบายความร้อน เอบีเอส อีเอสพี
- พวงมาลัยฟันเฟือง และตัวหนอน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า
- ความจุถังน้ำมัน 100 ลิตร
มิติตัวถัง และน้ำหนักโดยรวม
- ระยะฐานล้อ 2,890 มม.
- ความกว้างฐานล้อคู่หน้า/หลัง 1,650 มม.
- ความยาว 4,870 มม. กว้าง 1,980 มม. สูง 1,970 มม.
- น้ำหนักโดยรวม 2,560 กก. รวมน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 3,200 กก. น้ำหนักลากจูง 3,500 กก.
- พื้นที่เก็บสัมภาระ 454-1,941 ลิตร
ผลิตที่
- เมือง GRAZ (ประเทศออสเตรีย)