แม้คานขวางของ Kia Carnival จะถูกออกแบบโดยคำนึงถึงระบบด้านอากาศพลศาสตร์ แต่เมื่อเพิ่มความเร็วจะทำให้เกิดแรงฉุดเพิ่มขึ้นมาก แต่ถ้าใช้งานในเมืองจะไม่ทำให้ความสิ้นเปลืองเพิ่มมากเหมือนกับการใช้ความเร็วสูงบนไฮเวย์
หากพิจารณาค่าความสิ้นเปลือง 1.3 กม./ลิตร เมื่อถอดคานขวางจะได้ระยะเดินทางเพิ่มถึง 96 กม. หรือจาก 756 กม. เพิ่มเป็น 853 กม./น้ำมัน 1 ถัง หากเติมน้ำมันเต็มแล้วเดินทางระยะ 1,609 กม. จะต้องแวะเติมน้ำมันครั้งเดียว แต่ถ้าติดตั้งคานขวางจะต้องแวะเติมน้ำมัน 2 ครั้ง และเมื่อคำนวณค่าเชื้อเพลิง (ออคเทน 87) เฉลี่ยในสหรัฐฯ เจ้าของรถจะจ่ายเงินลดลง 14 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 459 บาท) ทุก 1,610 กม. และค่าเชื้อเพลิง 1 ปี (ใช้งานเฉลี่ย 21,687 กม./ปี ตามข้อมูลจากขนส่งสหรัฐฯ) โดยวิ่งไฮเวย์/ในเมืองพอๆ กัน จะคิดเป็นเงินเหรียญสหรัฐฯ ได้ถึงตัวเลข 3 หลัก
Kia Carnival ไม่ได้มีค่าความสิ้นเปลืองอยู่ในระดับแนวหน้าของรถประเภทเดียวกัน เพราะยังมี Toyota Sienna ไฮบริดรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ทำได้ 14 กม./ลิตร และ Chrysler Pacifica e Hybrid ที่ทำได้ 13.1 กม./ลิตร ตามด้วย Honda Odyssey ที่ 12.7 กม./ลิตร แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะระยะเดินทางเมื่อเติมน้ำมันเติมถัง Kia ถูก Toyota ทิ้งระยะเดินทางไปแค่ 16 กม. เท่านั้น
หากติดตั้งคานขวางแล้วต้องขนกล่องสัมภาระ, เรือคายัค หรือซัพบอร์ด ทำให้มีความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นจากคานขวางพร้อมสัมภาระ ก็นับว่าคุ้มค่า แต่ถ้าไม่ใช้งานแล้วควรจะถอดคานขวางออกดีกว่า ยอมเสียเวลาเพียงเล็กน้อย ก็จะช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิงอย่างชัดเจน

