ธุรกิจ
Mazda พร้อมสร้างทีมสู่เป้าหมาย 45,000 คัน
ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยหลังเข้ารับตำแหน่งในประเทศไทยว่า การมาครั้งนี้ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในห้วงเวลาที่ผู้คนทั่วโลกต่างกำลังเผชิญกับวิกฤตอันยาวนานจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ท่ามกลางภาวะความตึงเครียดจากสงครามทางการค้าระหว่างประเทศ และภาวะที่อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะการขาดแคลนชิ้นส่วนสำหรับการผลิตรถยนต์ ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไป พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง โดยประเทศไทยถือเป็นโจทย์สำคัญเพื่อที่จะผลักดันแผนพัฒนาธุรกิจ Mazda ให้เดินหน้าบรรลุตามวัตถุประสงค์กับเป้ายอดขายที่ตั้งไว้สูงถึง 45,000 คัน
"ถึงแม้ว่าการทำงานจะมีความแตกต่างของคนทำงานในแต่ละประเทศ ผู้คนจากต่างวัฒนธรรมก็จะมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาก็มีสิ่งที่คล้ายคลึงกันด้วยเช่นกัน ในประเทศไทย ผมสัมผัสได้ว่าคนที่นี่ทำงานหนักเพื่อบริษัท มีหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง ทำงานเป็นทีม ให้ความช่วยเหลือ และส่งเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่งคนญี่ปุ่นก็มีลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกัน คนไทยก็จะมีความเป็นปัจเจกบุคคลสูงกว่าคนญี่ปุ่น และจดจ่อกับหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง ผมต้องการนำข้อดีของทั้ง 2 วัฒนธรรมนี้มาประยุกต์ทำให้เป็นการทำงานแบบ Mazda Way"
อย่างไรก็ตาม การทำงานครั้งนี้ พร้อมที่จะนำความรู้ประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานในตลาดต่างประเทศ มาต่อยอดกับการทำงานในประเทศไทย อีกทั้งยังมีข้อได้เปรียบจากการทำงานในหลายตลาด ในหลายประเทศ ทำให้ผมได้เห็นความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า และดีเลอร์ และทำให้ได้ความรู้มากยิ่งขึ้น รวมถึงวิธีการในการตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนเหล่านี้ มากกว่าการทำงานแค่เพียงประเทศเดียว ซึ่งทำให้ผมสามารถนำความรู้ ตัวอย่างที่ดีๆ จากตลาดหนึ่งมาปรับใช้กับอีกตลาดหนึ่ง ในทุกประเทศลูกค้ามีความคาดหวังกับแบรนด์ Mazda ค่อนข้างสูง ซึ่งดีต่อพวกเรา โดยจะนำเอาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ มาใช้ให้มากที่สุด ซึ่งความคิดต่างๆ เหล่านี้ ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา นำมาใช้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า เพื่อยกระดับแบรนด์ Mazda ในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ หลังจากที่เพิ่งเปิดพโรเจคท์ CPO ไปเมื่อเร็วๆ นี้
สำหรับการทำงานในประเทศไทยครั้งนี้ มีเป้าหมายสูงสุด คือ การมอบความสุขให้แก่ผู้คน ซึ่งผู้คน หมายถึง ลูกค้า ดีเลอร์ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน โดยการทำให้ผู้คนมีความสุข ด้วย One Team และ Omotenashi Spirit เริ่มจาก One Team ทีมเวิร์ค คือ สิ่งที่สำคัญมาก คนเราไม่สามารถทำอะไรโดยปราศจากการสนับสนุนจากผู้อื่นได้ ทีมเวิร์คจะนำมาซึ่งโอกาสในการแลกเปลี่ยนไอเดีย และสร้างความแข็งแกร่งให้แต่ละคน เพื่อการทำงานเต็มประสิทธิภาพ ภายใต้เป้าหมายเดียวกัน สอง Omotenashi spirit คือ ปรัชญาที่ผมอยากให้ทุกคนในทีมจดจำไว้เสมอ ซึ่งสิ่งนี้ ไม่ใช่แค่จิตวิญญาณแห่งการต้อนรับเท่านั้น แต่เป็นการทำให้ทุกคนยิ้มได้ ด้วยสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ผมทราบดีว่า เป็นสิ่งที่ยากที่จะทำให้สำเร็จ แต่เราไม่เพียงแค่อยากทำให้ลูกค้าพึงพอใจเท่านั้น แต่หมายถึงการมอบสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ไม่ใช่เพียงแค่การบริการที่เสร็จสมบูรณ์ แต่เราต้องการให้ลูกค้าประหลาดใจ ไม่ใช่เพียงแค่ความสบายใจของลูกค้า แต่เราต้องการนำมาซึ่งความเชื่อมั่น ไม่ใช่เพียงแค่นำมาซึ่งความสุข แต่คือ ความอบอุ่น ผมจะนำปรัชญานี้มาใช้ตลอดช่วงเวลาทำงานที่ประเทศไทย
ส่วนนโยบายในการพัฒนา Mazda ประเทศไทย คือ การยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า ผ่านประสบการณ์ลูกค้าที่มีกับ Mazda ตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อ จนถึงการกลับมาซื้อซ้ำ ดังนั้น ผมต้องการที่จะเร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจของเราให้เป็น Retention Business Model ผมต้องการที่จะยกระดับแบรนด์ Mazda ให้ดียิ่งขึ้น สิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุด คือ ความชื่นชอบแบรนด์ของลูกค้า และสำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ การเพิ่ม Residual Value หรือการเพิ่มมูลค่าให้แก่รถยนต์ของลูกค้า
ส่วนสถานการณ์ของอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยมองว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจประเทศไทยจะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 2.5-3.5 % โดยปัจจัยหลักมาจาก (1) ความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น (2) การท่องเที่ยวภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น (3) การส่งออกสินค้าที่เพิ่มขึ้น เราคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งนี้ก็ยังคงต้องจับตามองปัจจัยลบต่างๆ อาทิ ราคาน้ำมัน และพลังงาน ภาวะเงินเฟ้อ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และยูเครน และการขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดทั้งระบบ คาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 820,000-850,000 คัน โดย Mazda ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 45,000 คัน
ในวันนี้ ถือว่าเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับการบริหาร Mazda ประเทศไทย ซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญที่ Mazda Motor ให้ความสำคัญ คนไทยมีความกระตือรือร้นอย่างมากต่อการเปิดตัวของรถยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งเห็นได้จากงานมหกรรมโชว์รถ นี่คือเหตุผลที่เราได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ต่างๆ เข้าสู่ตลาด เราไม่เคยลืมว่า ลูกค้าคนไทยมีความคาดหวังสูงมากกับ Mazda ซึ่ง Mazda ต้องการที่จะเติมเต็มความคาดหวังเหล่านั้น โดยสิ่งที่ Mazda จะเดินหน้าต่อจากนี้ คือ ส่งมอบความสุขให้แก่ลูกค้า และแฟน Mazda ด้วยคุณค่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในทุก Touchpoint รวมถึงในด้านดิจิทอล ผลักดันการดูแลลูกค้า และการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ เพื่อยกระดับสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้า สร้างความแข็งแกร่งของเครือข่ายผู้จำหน่าย เพิ่มศักยภาพในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนทางธุรกิจ เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และเกิดความพึงพอใจสูงสุด
สำหรับแผนการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า EV ในประเทศไทย Mazda กำลังทำการศึกษา และวางแผนการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า EV ในตลาดประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ ซึ่งข้อดี คือ เรามีเวลาที่จะทำการศึกษา และพัฒนารถ EV และมีเวลาในการศึกษาความคิดเห็นของลูกค้า เกี่ยวกับข้อดี และข้อเสียของรถ EV ที่มีวางจำหน่ายอยู่ในตลาดปัจจุบัน
แม้ว่า Mazda จะเป็นแบรนด์ที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่เราก็สามารถยืดหยัดอยู่ในตลาดอย่างสง่างาม ท่ามกลางการแข่งขัน หรือแบรนด์ยักษ์ใหญ่ได้ ด้วยเทคโนโลยี และการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ ทำให้เราเป็นแบรนด์ที่ถูกเลือกโดยลูกค้าทั่วโลก และเราก็มีแฟนคลับอยู่เป็นจำนวนมาก เราเชื่อว่า รถยนต์ของเราจะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งใหม่ๆ ได้อย่างแน่นอน และเราจะพยายามอย่างเต็มความสามารถที่จะให้รถยนต์ของเราเป็นรถที่ลูกค้าเลือกเป็นอันดับแรก
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิต
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/413014