ประเทศไทย กับเทคโนโลยี 5G

ในประเทศไทย การเชื่อมต่อไร้สายด้วยเทคโนโลยี 5G นับเป็นการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาจากยุค 4G อย่างก้าวกระโดด ซึ่งไม่ใช่แค่ดาวน์โหลดให้เร็วขึ้นเท่านั้น แต่ทุกสิ่งจะถูกเชื่อมต่อกันได้แบบไร้พรมแดน ไม่ว่าจะเป็น การรับ/ส่งข้อมูลด้านการศึกษา, การขนส่ง หรือทางการแพทย์ เป็นต้น 5G จึงเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายยุคที่ 5 (5^th Generation) ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย มาดูกันว่า 5G ทำอะไรได้บ้าง และมีจุดเด่น จุดด้อยอย่างไร จุดเด่น เทคโนโลยี 5G 5G เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายที่มีความเร็วในการรับ/ส่งข้อมูลถึง 20 กิกะไบต์/วินาที ซึ่งเร็วกว่าเทคโนโลยี 4G เดิมถึง 20 เท่า และเร็วมากพอที่จะดูวีดีโอแบบความคมชัดระดับ 8K บนโลกออนไลน์ได้แบบ 3 มิติ แบบไม่กระตุก หรือดาวน์โหลดวีดีโอ 3 มิติ ได้ภายใน 6 วินาที รวมถึงโหลดแอพพลิเคชันได้ใน 1-2 วินาที การรับ/ส่งข้อมูลเป็นจำนวนมากขนาดนี้ สามารถนำไปเชื่อมต่อไร้สายผ่านระบบอินเตอร์เนทได้อย่างคาดไม่ถึง เช่น การเชื่อมต่อกับยานยนต์ไร้คนขับ, การผ่าตัดได้จากระยะไกล, การสาธารณสุขทางไกล, หุ่นยนต์ในโรงงาน ฯลฯ รวมถึงสามารถช่วยให้เกิดการใช้งาน AR และ VR แบบเห็นภาพเสมือนจริงได้อย่างชัดเจน ซึ่งเคยมีแพทย์ชาวจีนใช้สมาร์ทโฟน Huawei 5G ผ่าตัดสมองคนไข้ที่อยู่ไกลออกไปถึง 3,000 กม. รวมทั้งในกิจกรรมต่างๆ แถมยังสามารถรองรับผู้ใช้งานได้ 1 ล้านคน/พื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมากกว่าเทคโนโลยี 4G ที่ 1 แสนคน/พื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร จุดด้อย 5G ก็มีมิใช่น้อย    อย่างที่รู้กันว่า 5G เป็นคลื่นความถี่สูงมาก (เฉพาะในประเทศไทยที่ประมูลกันไปแล้ว มีคลื่น 700, 2,600 MHZ และ 26GHZ เป็นต้น) แต่คลื่นความถี่สูงเดินทางได้ในระยะสั้นทำให้ครอบคลุมพื้นที่ได้น้อยจำเป็นต้องเพิ่มเสาสัญญาณเป็นจำนวนมากและคลื่น 5G ไม่สามารถทะลวงพื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวางได้ เช่น ตึก ฯลฯ ทำให้ความเร็วในการเชื่อมต่อช้าลง สำหรับผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟน 4G จะไม่รองรับเครือข่าย 5G  ข้อเสียอีกอย่างคือใช้งานได้เฉพาะในเมืองใหญ่หรือในย่านที่มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก ส่วนนอกเมืองออกไปการเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยี 5G อาจยังเข้าไม่ถึงคงต้องใช้เวลาสัก 2- 3 ปี ถึงจะครอบคลุมพื้นที่ได้หมด